Skip to main content


น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย


ไถ่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ อุ้มส่งใครก็ไม่มีใครรับ คนแถวนั้นกุลีกุจออยากจะให้เราพามันไปเหลือเกิน น้ำตาลเกือบจะได้อยู่ที่บ้านปีกไม้แล้ว ถ้าหากไม่ถูกแมวตบเสียก่อน ในที่สุด นายผู้ชายของกะทิจึงเสนอวงแขน อุ้มกลับบ้านอย่างยินดี คืนแรก มันครางหงิง ๆ ด้วยความหนาว ความเหงา เปลี่ยวเปล่าแปลกที่จนฉันรู้สึกสงสาร นี่เราพรากมันมาจากแม่หรือเปล่า หรือเจ้าของมันกำลังตามหาอยู่ใช่ไหม ฝากข่าวไปถามไถ่ก็ไม่มีใครติดตามหา


ลูกสาวตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง ’แม่จ๋า ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนูมีหมาตัวหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้เลี้ยงหมาอีกตัว’ นายผู้ชายกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่ล่ะ หมาอันพึงประสงค์ ไม่ได้หมาฝรั่งตัวใหญ่เฉลียวฉลาด ก็ขอหมาดอยดี ๆ มาเลี้ยงไว้เฝ้าสวนสักตัวก็แล้วกัน ในหัวของเขานั้นน่ะ ฝันถึงฝูงหมา
3 -4 ตัวเป็นอย่างน้อย อ้ายตูบ อ้ายดำ อ้ายปุ๊กปิ๊ก อะไรก็ได้ ขอให้เป็นสุนัข เป็นเพื่อนผู้สัตย์ซื่อน่ารักที่เขาฝังใจ แต่เขามักถูกหยุดยั้งความปรารถนา เมื่อฉันบอกสั้น ๆว่า ‘ขออภัย ไม่มีปัญญาจะเลี้ยง’


น้ำตาลตอนแรกนั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่กี่เดือนต่อมาขยายตัวพองออกเรื่อยๆ
1 2 3 จน 4 เท่าของคราวแรก เศษข้าวเศษอาหารกี่จานๆ ดูเหมือนจะไม่เคยอิ่ม ครึ่งขวบปีกว่ามันจะหยุดโต อยู่ตัวไปเอง นับตั้งแต่กลางฤดูหนาวปีก่อนเป็นต้นมา ลานรอบบ้าน มีหมาสีน้ำตาลวิ่งเริงร่าเคียงคู่กับหมาฟูขาว ยามเย็นท่ามกลางแดดสีส้ม เด็กหญิงผมเปียกรีดร้องหัวเราะร่า ลูกหมาไล่ตาม กระโดดงับชายกระโปรง



หากความสุขของกะทิคืออุ้งมือลูบไล้และคำพูดจาอ่อนโยนรักใคร่ ความสุขของน้ำตาลคืออะไร
? บัดนี้มันเนรมิตกายโตใหญ่ กลายเป็นหมาสีน้ำตาลทองนัยน์ตาโศก หูแหลมตั้ง ขนหางพองฟูจนใครบางคนบอกว่า ลักษณะดีนะ พันธุ์บางแก้วหรือเปล่า ดูสิขาสิงห์นะเนี่ย ส่วนลูกสาวคนดีป้อนคำหวานเยินยอ ‘เจ้าน้ำตาลรูปหล่อ อ้ายหมาสุดหล่อแสนดี’ เธอยังแต่งเพลงกับคุณน้าหัวหยิกยาว สรรเสริญวงขนรูปหัวใจที่ก้นของมัน พร้อมทั้งถือกล้องคอยไล่ล่าถ่ายรูปไว้เป็นสักขีพยาน


นายผู้ชายของสองหมานั้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนกินเนื้อ เมื่อวันดีๆ มาถึง เขาไม่เคยเบื่อที่ต้องตระเตรียมเตา เครื่องหมัก ของจิ้ม ขณะพลพรรคเดินทางไปเสาะหาชิ้นเนื้อรสเยี่ยม น้ำตาลมันชอบอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นคนมันก็ขอสมัครเข้าชมรมด้วย มันค้นพบแล้ว ตนก็เป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกัน ระหว่างที่มวลมิตรสรวลเสเฮฮา สรรเสริญเยินยอว่ากินเนื้อดีกว่ากินไก่ซีพีอย่างไรนั้น น้ำตาลมันเดินเนิบ ๆ เลียบเคียงวงเหล้า ยื่นหน้าไปฉกเนื้อย่างชิ้นงามจากเตา เหล่านักเขียน กวี สมาชิกชมรมมังสอวิรัติอ้าปากค้าง ‘ต่อหน้าต่อตาเลยนะมึง ฮึ่ม
! อ้ายน้ำตาล’ วันดีคืนดี มันยังขม้ำหมูที่สับไว้หน้าเขียง หมูที่นายหญิงเตรียมไว้สำหรับทำอาหารเย็น เลยถูกสำเร็จโทษขนานเบาะ ๆ ไปตามระเบียบ


หมาดอยนั้นสืบสายพันธุ์มาจากหมาป่า หมานักล่า อ้ายตาลมันชอบเห่าคนแปลกหน้า ชอบกระโจน ฝากรอยเล็บขีดข่วนไว้ข้างรถทุกคันที่ผ่านเข้ามา มันไม่ยอมผูกมิตรกับใคร แม้ว่าหมาสองสามตัวจะกระดิกหางเข้ามาคุยใกล้ ๆ มันสนใจแต่อาหารกับการไล่ล่า บ่ายที่น่าเบื่อ เงียบเหงา และฝูงนกส่งเสียงร้องรำคาญใจ น้ำตาลวิ่งไปขับเคลื่อนอากาศนิ่งอ้าว มันอยากปลุกกระแสเลือดในกายให้พล่านไหล จมูกชั้นดีและความดิ้นทุรนในกายพามันไปจนถึงฝูงไก่เพื่อนบ้าน อ้ายหมาสีน้ำตาลวิ่งกวดสัตว์ปีกเล็ก ๆ ที่ดิ้นรนตื่นตระหนกอย่างคึกคะนอง

รุ่งสางวันหนึ่ง เสียงสัตว์เล็กกรีดร้องลนลานอยู่ในพงหญ้า ระงมด้วยเสียงเห่าอย่างตื่นเต้นของพวกหมา ทว่า ไม่นานนักก็เงียบไป พวกเราพากันนอนหลับ วางใจ คงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น รุ่งเช้า แสงแดดส่องสว่างไปทั่ว ขุนเขาค่อย ๆ เผยตัวออกมาจากม่านหมอก เจ้าน้ำตาลนอนสงบนิ่ง เบิ่งตาดูภูเขา บนพื้นหญ้าข้างตัวมีซากกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวจ้อย เหลือแค่หัวกับหูยาว ๆ ข้างหนึ่ง



เดี๋ยวนี้ น้ำตาลถูกผูกไว้ทุกบ่าย หาไม่แล้ว มันคงไม่แคล้วถูกกระสุนหรือยาเบื่อจากเจ้าของไก่ เที่ยงวันทุกวัน เมื่อนายผู้ชายตื่นและดื่มกาแฟเสร็จ น้ำตาลจะเดินเซื่อง ๆ ไปรอยังเสาโรงรถตรงที่ถูกล่ามทุกวัน นาฬิกาชีวภาพของมันเที่ยงตรง มันหิวโซทันทีที่หลุดจากโซ่เวลาพลบ กินเสร็จวิ่งเล่นหน่อยหนึ่ง เห่าเสียงสวบสาบในความมืด แล้วไปนอนดูดาวนอกชาน คลุกขี้เถ้าที่กองไฟราแล้วเล่น จากนั้นกลับมาหลับบนพรมหน้าบันได ที่เดิม เวลาเดิม เมื่อกะทิเคล้าคลอนายหญิง มันจะเสนอหน้ามาด้วยทุกครั้ง ‘ขอลูบด้วย ขอเล่นด้วยคนคร้าบ’ และตอบแทนเราด้วยการขบขย้ำแข้งขา หาหมัดให้เบา ๆ น้ำตาลมันพริ้มตาเคลิบเคลิ้มเมื่อฉันลูบศีรษะ ท่าทางแสนจะเป็นสุข แต่นายผู้ชายบอกว่า ความสุขของมันคืออาหารกับการไล่ล่าต่างหาก ก็มันเป็นหมา หมานักล่า หมากินเนื้อ
...นั่นเอง! ความสุขของอ้ายน้ำตาล


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง