Skip to main content


 

หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย

"ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม

เมื่อกายฉันสัมพันธ์กายเธอ ชั่วราตรีหรือเวลาหนึ่ง ฉันไม่สนใจ "ฉัน" ไม่สนใจ "เธอ" เช่นกัน! เธอไม่สนใจ "เธอ" หรือ "ฉัน" โลกกายาขับเคลื่อนตามกฎวัตถุอย่างง่าย รุ่งเช้า เราจึงกลายเป็นคนแปลกหน้า เมื่อแรงขับแรงกล้าสิ้นสุด เธอเบือนหน้า ฉันหลบตา แยกย้ายไป ทางใครทางมัน เหมือนไม่เคยพบปะรู้จักกัน

หัวใจสามารถเกิดริ้วรอยและทุพพลภาพได้ หากสะสมพิษร้ายแห่งความโกรธเกลียดมากเกินไป หรือเมื่อมันถูกเพิกเฉย ถูกแยกออกจากร่างกาย เมื่อองค์รวมของความเป็นฉันถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ

เธอบอกว่า เสรีภาพในร่างกายเป็นสิทธิของเธอ เรื่องนั้น มันก็สิทธิของเธอเช่นกัน เหมือนกับที่เธอจะเดิน หาว ดื่มหรือกิน เธอจะขับถ่ายก็ได้ไม่มีใครว่าหากพบห้องสุขา เธอมีสิทธิ เขาเองก็มีสิทธิ เราต่างเต็มอกเต็มใจ เว้นแต่ว่า กลางดึกเธออาจพลิกสะดุ้งตกใจตื่นบนที่นอนแปลกหน้า นานวันไปรู้สึกเบื่อหน่ายไร้ค่า ว่างเปล่าเหลือเกิน


หัวใจฉันชอบทำงานร่วมกับร่างกาย มันมักตัดพ้อต่อว่าเมื่อฉันไม่ฟังเสียงความปรารถนาของมัน มันเศร้าใจเมื่อถูกร่างกายทอดทิ้ง มันไม่พอใจเพียงแค่ภาวะลืมตัวเสียวซ่านอันยิ่งใหญ่ มันต้องการการเข้าถึงและถูกเข้าถึงอันลึกล้ำ ปรารถนาการหลอมรวม ทั้งร่างกายและหัวใจ


ฉะนั้น เมื่อรัก ฉันจึงถูกเรียกร้องทั้งหมด เมื่อสมรส เรายินยอมพร้อมใจ ปฏิบัติตัวตามกฎกติกาแห่งกันและกัน เป็นที่รับรู้และเข้าใจโดยทั่วไปว่า ฉันเป็นของเธอแล้วทั้งร่างกายและหัวใจ ใจกายอันประกอบรวมเป็นฉัน ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ความรักนี้เรียกร้องสูงและเห็นแก่ตัวเสียจริง มันนั้นลึกล้ำกว้างใหญ่ ต้องการเธอฉันทุกมิติ อยากครอบครองเราทุกอณูเนื้อ รัศมีคลื่น ตลอดความคิดจิตใจ มันบอกว่า หาไม่แล้ว ก็ไม่อาจนำทางไปสู่ปาฏิหาริย์


...ฉันไม่ใช่นักเรียนหัวใจที่ดีนัก หลายครั้ง ดูเหมือนว่าการเรียกร้องนี้จะหนักหนาสาหัสเกินไป...


น้องสาวคนหนึ่งหัวใจสลาย สามีเธอแบ่งร่างกาย ปันส่วนเสี้ยวใจให้ใครคนอื่น เขานั้นอาจเก่งกาจในการแยกร่าง อาจอ่อนแอ หรือเป็นกวีผู้ยอมตนต่ออารมณ์อ่อนไหว งดงามตามธรรมชาติ? หรือเป็นนักคิด นักต่อสู้เพื่อสังคมอุดมการณ์ แบบชายเช่นเดียวกับชายเมื่อหลายร้อยพันปีก่อน ที่เมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุด ประสบความสำเร็จในวัยแกร่งฉกรรจ์ จู่ ๆ พลันไม่อาจต้านทานแววตาชื่นชมของสาวน้อยที่มาหลงใหลศรัทธา ผลิตข้อแก้ตัวโบร่ำโบราณ บอกคนที่บ้านว่า...เธอคือรักแท้ ลูก บ้าน รถ ครอบครัว การงาน ทุกอย่างคือเวียงวัง อาณาจักร ชีวิตและความหมายของฉัน จากนั้นบอกกับอีกคน... น้องคือรักและฝัน คือสิ่งที่ขาดหาย เติมเต็มชีวิตคู่เปลี่ยวไร้ ขาดความเข้าอกเข้าใจของพี่


หัวใจที่ไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนทำให้ชีวิตไม่ปรกติสุข คล้ายกับมีโรคร้าย แพร่ลามไปทำให้หัวใจคนใกล้เกิดรอยร้าว เมื่อถูกตัดแบ่งแยกชัดอาจแตกเปราะ กลายเป็นโรคร้ายภายในครอบครัว หัวใจน้องสาวจึงแหลกสลาย ส่วนเขาผู้ตัดแบ่งดวงใจไม่รู้เหนือรู้ใต้ เศษหัวใจคมปลาบกำลังทิ่มแทงอก ไม่มีสักคนที่มีความสุข ไม่ว่าสามี ภรรยา ภรรยาน้อย กิ๊ก หรือลูกน้อยหัวใจอ่อน ๆ ผู้ซึ่งจำเป็นและต้องการการผนึกดวงใจของพ่อและแม่มาบำรุงเลี้ยง.....


ฉันออกเดินทางติดตามหาแพทย์แห่งจักรวาลผู้รักษาหัวใจ เขานั่งเหม่ออยู่บนก้อนเมฆ แววตาสุกใสแสนเศร้า เผยอุ้งมือหนึ่งว่างเปล่า อีกข้างลูบหนวดเคราขาวยาว พึมพำงึมงำ


"รัก รักเท่านั้น... ลูกเอ๋ย รักตัวเอง คือโอสถสมานและบำรุงดวงใจให้กล้าแกร่ง"

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…