Skip to main content

  

หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง แล้วโผล่มาตรงกลางของห่วงแคบๆ ป้าว่านี่เป็นเครื่องบอกแน่ชัดทีเดียว อัตภาพของมนุษย์นั้นใช่จะได้มาโดยง่าย แล้วหนูรู้อะไรไหม พระพุทธเจ้า มหาบุรุษทุกพระองค์ล้วนตรัสรู้ที่นี่ บนผืนปฐพีของโลกใบนี้ ไม่ใช่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า คิดว่าหนูคงรู้จักพระองค์ด้วยจิตแล้วนะจ๊ะ ถ้าหากตาน้ำไม่ลืมเลือนเสียก่อน

\\/--break--\>

ป้าคิดว่าเวลานี้ครอบครัวหนูคงอยู่ที่อีสาน หนูอาจกำลังร้องไห้งอแง หรือดื่มนมแม่หวานชื่นใจ ป้าไม่มีที่อยู่จ้ะ จึงเขียนหาตาน้ำที่นี่ เพื่อแสดงความยินดีกับคุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติทุกคนของหนู และเพราะพวกเราอยากบอกหนูว่า ยินดีต้อนรับมากๆเลยนะจ๊ะตาน้ำ โลกที่แสนงามใบนี้มีอะไรมากมายรอคอยอยู่ มีสายรุ้ง ดวงดอกไม้ ค่ำคืนยังมีดวงดาว ดวงดาวที่แต่เดิมอาจเป็นดวงจิตของเด็กทารกเล็กๆ ที่พากันหัวเราะระยิบระยับอยู่เต็มฟ้า ดาวน้อยที่ชอบก้มลงมา มองหาแม่ที่ตัวรัก ตอนนี้ หนูมาอยู่บนโลก อยู่กับคนที่หนูรักที่สุดแล้ว และกำลังจะได้แหงนมองเพื่อนดาวน้อยผู้ส่องแสงแพรวพรายทั้งหลาย

 

หนูได้ชื่อว่าตาน้ำ ตาน้ำ...ตาน้ำ รู้สึกใสเย็น ลึกล้ำชื่นฉ่ำใจ เงียบสงบ ซุกซ่อนใต้พื้นธรณี น้ำที่ตกลงมาจากฟ้า หยาดซึมตามผืนทราย รวมตัวเป็นแอ่งเล็กๆ เป็นน้ำซับน้อยๆ ไหลรินสู่ทางน้ำ จนกลายเป็นลำธาร หรือว่าอาจเปลี่ยนใจ ซ่อนเร้นรินไหล แอบอยู่ใต้ผิวดิน รอคอยคนขุดบ่อลงไป ใครกันนะตั้งชื่อหนู คงเป็นคุณแม่น่ะเอง แม่ของหนูเป็นกวี เธอต้องเลือกสรรชื่อที่ไพเราะและมีความหมายให้แก่ลูกสาว ส่วนคุณพ่อหนูก็ต้องมีหัวใจละเอียดอ่อนไม่แพ้กัน ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจสัมผัสหัวใจแม่ หรือรับรองชื่อหนู

 

 

ตาน้ำทำให้ป้านึกขึ้นได้ว่า แม่ของหนูเหมือนช่วยป้าตั้งชื่อพี่ธาร ตอนนั้นพี่ธาร เด็กหญิงที่มาเยือนโลกก่อนหนูราวเจ็ดปี ยังไม่ได้รับการขนานนาม แม่หนูบอก อ้าว คิดว่าตั้งชื่อลูกสาวว่า "วงธาร" ตามชื่อบันทึกทำมือ "วงคลื่นบนผืนธาร" ป้าดีใจตาโตเชียว เหมือนได้คนชี้ทาง เออ ใช่ จริงสินะ ชื่อวงธารไง เธออยู่ในท้องของป้าช่วงเวลาเดียวกับที่ทำหนังสือเล่มนั้น เหมาะแล้ว แต่ว่าวงธารไม่ชุ่มฉ่ำเท่าตาน้ำหรอกนะจ๊ะ เป็นเพียงอาการกระเพื่อมบนผิวน้ำ จากกรวดหิน แรงลมหรือรอยเท้าแมลงเท่านั้น แผ่นน้ำที่ถูกรบกวนแตกกระจายออกเป็นวง เพียงครู่ก็สลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ชื่อของพี่ธารนั้น จริงๆแล้วป้าหมายถึง "อนิจจัง" ตามความหมายในศาสนาพุทธ อันที่จริง ชื่อหนูสัมพันธ์กับป้ามากกว่านะ ป้าชื่อฝน ตกลงมาจากฟ้า หยดหยาดมากลายเป็นตาน้ำ

 

ตาน้ำเอย...ไล่เลี่ยกับวันที่หนูเกิด ดอกเทียนดอกแรกของป้าก็บาน ลมมรสุมนำสายฝนและความชุ่มชื้นมายังแถบถิ่นภูเขา เหมือนที่บ้านเกิดแม่หนู หรือบ้านคุณตาคุณยาย บ้านป้าที่เชียงดาวกำลังชื้นฉ่ำสมบูรณ์ด้วยสายฝน ดอกไม้หลายชนิดแข่งกันผลิดอกออกใบสะพรั่ง ป้ากับลุงกระวีกระวาดหาพันธุ์ไม้งามๆมาปลูกเพิ่ม รู้ว่าสายฝนจะช่วยผืนดินดูแลต้นไม้อย่างดีที่สุด ดอกไม้นั้นยังต้องอาศัยสายฝน ฤดูกาลและความอุดมสมบูรณ์จากแร่ธาตุในดิน แต่เด็กน้อยของโลกอาศัยเพียงความรักและอ้อมอกของพ่อและแม่ ทารก ไม่ว่าจะมาสู่ชีวิตในฤดูกาลใด หัวใจของพ่อแม่มีแสงแดด สายฝน และอินทรีย์ธาตุอันอุดมสำหรับบำรุงเลี้ยงเสมอ

 

ขอให้หนูเติบโต มีความสุข แข็งแรง เช่นเดียวกับคุณแม่คนใหม่นะ ขอให้เพื่อนฟื้นตัวเร็ววัน ให้พ่อแม่เลี้ยงลูกเก่งๆไวๆ นับจากนี้ ชีวิตจะดำเนินไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันใหม่ ส่วนหนู ตาน้ำ วางใจเถิดนะจ๊ะ โลกนี้คือเบาะนอนอันอ่อนนุ่ม แม้ว่า เมื่อหนูเติบใหญ่เริ่มเข้าใจภาษามนุษย์ ใครบางคนอาจจะบอกว่าที่นี่โหดร้าย ไร้หวัง มนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว ทำลายล้างโลกไม่สิ้นสุด นั่นไม่ใช่สิ่งพึงเป็นหรอกจ้ะ และไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์หรือดาวโลกด้วย ที่ที่หนูจากมา ที่ที่พวกเราอยู่ก่อนหน้า บนฟากฟ้า ผืนดิน ในตัวคน พืชและสัตว์ มีสิ่งดีงามสิ่งหนึ่งดำรงอยู่และหมุนวนไป คือพระธรรม-ธรรมชาติ เหมือนสิ่งที่เต้นตุบอยู่ในหัวใจของหนู ทำให้พวกเราไม่ลืมว่าหนูคือนางฟ้า ทารกและเด็กไร้เดียงสาคือสิ่งย้ำเตือนถึงเทพเทวาและสรวงสวรรค์ แต่ว่าการถูกโลกค่อยๆห่อหุ้มนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

มีย่างก้าวที่เหนื่อยแต่สนุกสนานรออยู่ กว่าที่ชีวิตใหม่จะลุกนั่ง คืบคลาน หรือยืนขึ้นบนสองขาของตน กว่าเขาจะรู้จักยิ้ม เคี้ยว หัวเราะ ออดอ้อน และเพิ่มพูนจริตเดียงสา ปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนของโลก ระหว่างหนทาง อย่าลืมความชุ่มเย็นของตัวเสียล่ะ ความสงบซึมซ่านบริสุทธิ์ ดวงจิตอันงดงามเต็มเปี่ยม ซึ่งจะไม่มีวันหายไปไหน มันจะธำรงอยู่ในเบื้องลึก เป็นตัวตนอันสงบสว่าง คอยรองรับชีวิตหนูเสมอไป ไม่ว่าหนูจะโตขึ้นกลายเป็นสาวสมัยของโลก เป็นนางตามสกุลใคร หรือว่าแก่เฒ่า ชราภาพอยู่ภายใต้ท้องฟ้าของโลกนี้ อย่าลืมนะจ๊ะ อย่าลืม เมื่อหนูได้ผ่านชีวิตบนดาวดวงนี้ เราจะกลายเป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรผู้มีประสบการณ์ร่วมภพภูมิ เกิด แก่ เจ็บและตาย เราจะสามารถแบ่งปันทุกข์และสุข เข้าอกเข้าใจและเห็นใจกัน ด้วยว่ากายสังขารของเราได้ข้ามผ่านกาลเวลาบนผืนแผ่นดินเดียว ฟัง พูด อ่าน เขียนด้วยภาษาเดียว หายใจเอามวลอากาศ รู้สึกร้อนหนาว ฝ่าแดด ลม ฝน ร่วมฤดูกาลด้วยกัน

 

อย่าลืมนะจ๊ะ วันไหนที่หนูกับแม่แข็งแรง มีโอกาสเดินทางขึ้นเหนือ ช่วยบอกลุงกับป้าด้วย พวกเราจะพากันไปเยี่ยม...

 

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท