Skip to main content


 

ฉันตื่นมาตอนหกโมง หมอกลงฝอยขาวโพลนจนมองเห็นเพียงใกล้ๆ อากาศหนาวจนตัวสั่นไปหมด  วันนี้เช้าและหนาวเกินกว่าจะไปสวรรค์...
\\/--break--\>
นักพูดเร่ขายสวรรค์อยู่ไม่ไกล ทุกประโยคลื่นไหลไม่ติดขัด บางช่วงฟังคล้ายโฆษกหนังขายยา กล่าวนำเชิญชวน บรรยายภาพงาน ขั้นตอนพิธีกรรม สลับกับกลอนสดและสุภาษิตอย่างไม่หลงประเด็น สวรรค์กำลังถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นๆแล้ว ธนบัตรสีเขียว เขาว่าไม่แรงพอ แต่ใบแดงๆนั้นกำลังส่งสูง คอนโดฯที่เมืองฟ้ามีที่ว่างแน่ๆ  ถึงอย่างนั้น ฉันยังไม่นึกอยากไป แม้ว่าตั๋วจะราคาไม่แพง และเขาก็จำหน่ายอยู่ใกล้ๆ ถ้าหากบนสวรรค์แต่งตัวแบบลิเกหรือละครจักรๆวงศ์ๆแล้วไซร้ หรือว่าเต็มไปด้วยผู้มีบุญญาบารมี เปี่ยมอำนาจราชศักดิ์ ฉันก็เบื่อแล้วที่จะต้องก้มหลัง หมอบราบกราบกราน สามีฉันเองไม่ชอบเอามือกุมเป้า แต่ถ้าลูกๆเกิดอยากไปขึ้นมาก็ยกให้เป็นการตัดสินใจของเขาก็แล้วกัน

ตรงนั้นคือต้นกัลปพฤกษ์ เขาว่า หรือต้นสมปรารถนา เมื่อเกิดอีกครั้งในยุคพระศรีอาริย์ เราจะมั่งมีศรีสุขสมดังปรารถนาทุกประการ ที่จริงตอนนี้ก็ใกล้เวลานั้นแล้ว ดูจากหนังสือ เดอะซีเคร็ท ความลับแห่งการสร้างแรงดึงดูด ดูดทุกสิ่งที่คุณต้องการ รถ เงิน ผู้หญิงฯลฯ จากเครื่องถ่ายเอกสารชื่อจักรวาล

ใช่ว่าไม่อยากได้อยากมี มีเงินก็ดีเหมือนกัน จะได้สร้างบ้านให้เสร็จ ส่งลูกเรียน ซ่อมรถ ทำนุบำรุงสวน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่แน่ใจ ฉันจะดึงดูดงานเขียนชิ้นเยี่ยมจากน่านฟ้าอากาศได้ไหม  หลายวันทีเดียว คร่ำเคร่งปรับแก้เรื่องสั้น เปลี่ยนมุมมอง แก้ประโยคสนทนา คุมน้ำเสียงให้อยู่ในโทนเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ เท่ากับเขียนใหม่สามสี่รอบ กระนั้นยังพอใจเพียง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างนั้น พวกเขาบอก ขอได้ทุกอย่างจริงๆ แม้กระทั่งงานสร้างสรรค์หรือขอให้หนังสือได้พิมพ์  เขามีเครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิด การสวดมนต์ อธิษฐาน การขอบคุณ การสร้างจินตภาพ หลายส่วนดูมีเหตุผล บางส่วนยังค้างคาใจ

ที่จริงแล้ว ใช่หรือไม่ ความโลภ ความกลัว ความไม่พึงใจในสภาพที่เป็นอยู่ทำให้เราใฝ่หาสวรรค์ แต่เขาบอกไม่เป็นไรนะ ในเมื่อยังไม่ถึงนิพพาน เราอาศัยกิเลสในทางบวกได้ ความปรารถนาจะพาอัตภาพไปสู่ที่ชอบๆไม่ใช่เรื่องผิด จริงอยู่ ใครจะบ้าอยากลงนรก ไม่มีใครอยากโง่ จน เจ็บ เป็นหนี้เป็นสิน แต่ว่าการร่ำรวยมั่งคั่ง เยาว์วัย มีความสุขนั้นเพียงพอไหมสำหรับโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหล เป็นปัจจัยกระทบ กระเทือนต่อกันอย่างนี้

ฉันคิดว่าฉันฉลาด ลงเงินฝากกับกองทุนใหญ่ จากนั้นทุนสากลนำเงินเราไป ค้าอาวุธบ้าง ตั้งบรรษัท ขุดเจาะน้ำมัน สินแร่ ป่าไม้ กอบโกยทำลายประเทศด้อยพัฒนาจนไม่อาจพึ่งตนเอง เงินของฉันงอกเงย แต่ประเทศยากจนถูกปล้น และผู้คนถูกทำให้เป็นทาส เรามีความสุข ใช่ ทว่า เส้นทางความสุขของเราทอดยาวมาจากที่ใด?   

หมู่บ้านที่ฉันเกิด ไม่มีชาวนาคนไหนมั่งคั่ง ลูกค้าเจ้าประจำหน้าเปื้อนเหงื่อไคล เล็บดำคราบดินของธนาคารมีแต่จนลงๆ เพราะหนี้สินพอกพูน สุดท้าย คุณฟังแล้วอาจเป็นสูตร บ้านและที่นาถูกยึด เรื่องเล่าน่าเบื่อสำหรับคนเมืองผู้เชื่อภาษิตอันไม่ใช่สัจพจน์“ไม่มีความยากจนในหมู่คนขยัน”  ซึ่งที่ถูกน่าจะเป็น “ทำจนตายก็เหลือแต่ตัว ถ้าคุณไม่มีพวกพ้อง เงินทองและช่องทาง”  

ถ้าคุณได้เห็นอย่างที่ฉันเห็น เห็นเขาทำงานหนักตั้งแต่หนุ่มจนหัวหงอก ไม่เคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยสุขสำราญ ไม่เคยฝันหาวันหยุด ไม่รู้จักลองวีคเอนท์ สำหรับท่องเที่ยวพักผ่อน แต่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุ่มแรงมาตลอดทั้งชีวิต  ไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร...

เสียงเชิญชวนไปสวรรค์ล่องลอยผ่านยามเช้า หนาวจนไม่นึกอยากติดตามไป ฉันพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ กับเพื่อนผู้มีเลือดเนื้อยิ่งกว่าปวงเทพเทวา ไม่ว่าจะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่ก็ตาม  ส่วนความปรารถนา ไม่มั่นใจว่าอาจสอยลงมาจากต้นกัลปพฤกษ์  รู้อย่างเดียว ฉันต้องฝึกฝนกรำงานหนัก ละลดมานะอัตตา ฉันไม่ถนัดสวดมนต์ด้วยภาษาขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์ ฟังไม่เข้าใจเสียด้วยสิ

...หากสวรรค์มีจริง ฉันขอไปสวรรค์ของจอห์น เลนนอนจะได้ไหม? *

* หมายถึงเพลง Imagine

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…