Skip to main content

28020802

 

บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง


ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้


บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน จับมือลูกเล็ก ๆ ออกไปรอรถรับส่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เราเดินไปยังไม่ถึงประตูรั้วดี พอหันหลังกลับ บ้านก็หายวับเสียแล้ว เมฆหมอกมากมายในชีวิตยามพร้อมใจรินไหล ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งใดดุจกัน


ความหวาดหวั่นพรั่นใจในยามยาก ทำให้เรามองไม่เห็นหลักที่ตั้งของตัวเอง แม้ภูเขาจะยังอยู่ ดอยหลวงเชียงดาวสูงตระหง่านเด่นสง่าไม่เคยวับหาย บ้านที่ปลูกสร้าง รวงรังทั้งหลังยังตั้งมั่นอยู่ ทว่า หมอกสีเทาในรอยต่อของรัตติกาลและรุ่งอรุณกลับปิดบังทุกสิ่ง ทุกทัศนียภาพคือกลุ่มหมอก เหน็บหนาว อับจน ไร้หนทาง ไม่ว่าจะเดินไปทิศใด


กระนั้น สายหมอกก็อยู่เพียงชั่วครู่ ไม่ช้าไม่นาน เพียงสองสามชั่วโมง ดวงตะวันก็เป็นฝ่ายชนะ ริ้วหมอกขาวลอยรี่ราวถูกขับไล่ ถอยร่นหวั่นหวาด สะเปะสะปะ เหนือพื้นหญ้ารอบบ้าน ละไอหมอกสลายเป็นควันขาวอยู่ทุกหย่อม บนยอดดอย หมอกหลอมละลาย รวมเป็นเมฆก้อนย่อม รุกไล่กันลงมาตามไหล่เขา แล้วลอยหาย เผยโฉมหน้าขุนเขาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดแสงสว่างก็แผ่เต็มที่ราบ ตะวันดุจกระจกส่อง ทำให้เรามองเห็นขุนเขาได้กระจ่าง เห็นชัดทั้งริ้วทิวธงบริเวณจุดพักแรม เห็นร่องเหลี่ยมผาสีส้ม และสันเขาสูงต่ำเหยียดชัน


..................................................


เรามาอยู่ที่นี่ มิใช่เยี่ยงผู้ยึดมั่นอุดมการณ์ เราเพียงใช้ชีวิตตามที่คิด เชื่อ และรู้สึก บางคราวรู้สึกมาดมั่น บางครั้งถูกป่าหมอกห้อมล้อม ละอองหมอกแห่งความสับสนอันเหน็บหนาว สายหมอกที่พันริ้วปิดบังนัยน์ตา และบางคราวรัดรอบหัวใจ ที่เราทำทั้งหมดนั้นเต็มที่ดีชอบทั่วถ้วนแล้วหรือไม่ จะทำเช่นไร หากปราศจากอาหารยาไส้ ไม่มีขนมนมเนยให้ลูกยา?


เวลาเช่นนั้นหลงลืมว่า เคยรู้สึกขอบคุณเป็นล้นพ้น จนร้องเอ็ดอึงอยู่ในใจ ที่นี่ที่ไหนกัน ถ้าหากไม่ใช่สรวงสวรรค์ เราคงได้ประกอบคุณงามความดีที่ตัวเองไม่รู้มาก่อนหรือคิดไม่ถึงเป็นแน่ ถึงได้มาอยู่ในที่ที่งดงามดุจดั่งสรวงสวรรค์เช่นนี้


ยามเช้า อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้าไปถึงใจ นกน้อยร้องรำพัน จนถึงยามสาย โผบินเริงร่า ร่อนระบำให้เราดู ร่าเริงเสียจนการตื่นขึ้นเพื่อจิกหาอาหารประทังชีวิตของมันเหมือนเป็นคนละสิ่งกับการทำมาหาเลี้ยงชีพของมนุษย์ มันร้องว่า ฉันไม่กังวล ไม่มีภาระ ไม่หนักใจ และก็ไม่ทอดถอนใจว่า ...เฮ้อ! อีกวันแล้วหรือนี่ วันนี้จะหาอะไรกินดี ถ้าหากไม่มีหนอนแถวนี้ เราจะทำอย่างไร


กลางวัน... กลางวัน เสียงระฆังชายคากรุ๋งกริ๋งกังวาน สายลมหอบเสียงใสเหมือนแก้วพลิ้วเสนาะทั่วทุ่ง สายลมโชยพัดไม่หยุด จากฟากดอยเทือกโน้น ส่งข่าวสารสู่สันเขาเทือกนี้ ลอยข้ามชายแดนไปไกลก่อนวกกลับมา ระเรื่อยแผ่วผิวเนื้อตลอดบ่าย ไม่ให้รุ่มร้อนจากแรงตะวัน เย็นย่ำเมื่อพระอาทิตย์ลับลา แมวหมาพากันออกมานอกชาน นอนบิดตัวเหยียดยาว ดูเกียจคร้านและสุขสงบ พวกมันมาส่งอำลาวันแสนดีงามอีกวันหนึ่ง สนธยาซึ่งสงบ ลาละ วางมือและประโลมใจ งดงามไม่แพ้ยามอื่น เย็นพิเศษบางวัน เด็กน้อยได้โลดเต้นกับเมฆดอกกุหลาบที่ปลิดออกจากสวรรค์ ระบายด้วยสีแสงตะวันที่สะท้อนดวงจากหลังภูเขา เป็นสีกุหลาบแก่ก่ำงามวิจิตร ฟ้าเหนือดอยหลวง หนึ่งวันในหนึ่งปี หรือสิบปี ร้อยปี มีดอกกุหลาบที่เทวีแห่งเบื้องบนปลิดโปรยเล่นให้คนชม


มียามเช้า สาย บ่าย กลางวัน กลางคืน และฤดูกาล หมอกสีขาวละลายเป็นไอต่อหน้าต่อตาเราทุกเช้า แล้วความทุกข์ความหวั่นใจของเราเล่า กาลเวลาทำให้เราเป็นทุกข์ หรือว่าการรับรู้ถึงเวลาที่ทำให้เป็นทุกข์? สรรพสิ่งหมุนวนไป ไม่มีอะไรคงรูปถาวร เมื่อเราพยายามหยุดบางอย่างไว้ด้วยความคาดหวัง นั่นหาใช่นิรันดร์ ไม่ใช่ปัจจุบัน ไม่อนิจจัง เรากลายเป็นทุกข์


ฉันต้องก้าวออกมา สายหมอกอยู่ที่นั่น แต่ไม่ช้าไม่นานมันจะสลายไป บ้านของเรายังอยู่ เบื้องหลังเมฆหมอกมืดทึบ สิ่งที่ได้เลือกโดยผ่านกระบวนการตรวจสอบจากชีวิตดีแล้วย่อมทนทานไม่อาจเปลี่ยนแปร ทางของฉันซึ่งไม่แตกต่างจากของเธอ และทุกคน เราล้วนมองหาเส้นทางที่สามารถเดินไปด้วยหัวใจเป็นสุข ทางซึ่งชีวิตทุกวันไม่ต้องฝืนใจ การงานที่ไม่ต้องอดทนทำไปเพื่อความสุขในวันข้างหน้า ทว่า ทุกข์ทรมานและเสียน้ำตาในวันนี้


ความลับของชีวิตมีหลายข้อเสียจนผู้คนพากันกล่าวว่า “ชีวิตคือสิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์” เมื่อเราคิดว่าได้ยินเสียงเรียก และก้าวตามมันไป บางครั้งกลับมีทางแยกสายเล็กสายน้อยลวงให้เราเลือก เธอจะเดินทางใดล้วนไม่ผิด หากแต่ละทางย่อมนำพาไปสู่สิ่งหนึ่ง แล้วพอเราคิดว่า อืม ..ฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่า ทางไหนจะนำไปสู่สิ่งที่ปรารถนามากที่สุด มันกลับเฉลยขึ้นว่า ถนนทุกสายมุ่งไปสู่สิ่งเดียว ซ่อนที่หมายและไม่ใช่ที่หมายไว้ในหนทางเสียอย่างนั้น...

 

ถึงอย่างไร เราคงไม่อาจพลัดหลงไปไหน นอกเหนือจากบ่อโคลนดูดแห่งการลืมหรือทะเลทรายแห่งความไร้ชีวิต เราอาจหยุดพัก สับสน หรือมึนงงบ้าง


อย่างไร เรายังคงสัญจรไปใน “ชีวิต”

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…