ฤดูกาลแห่งดอกผล .............
ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย
โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...
พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย .............
ช่วงเวลาที่หายไป ราวกับไร้คำตอบ ซึ่งเราควรจะวางใจในกระบวนการเร้นลับของชีวิตคืออย่างไร มีความเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ที่เรามองไม่เห็น การแตกผลิในที่ลับ น้ำเลี้ยงที่ค่อย ๆ ซึมซ่านจากราก จากขี้เถ้าที่เราโรยลงไปรอบโคนต้น จากคำอธิษฐานและกำลังใจที่มอบให้ ต้นโมกที่กำลังจะตายจึงสืบต่อชีวิตใหม่ราวกับปาฏิหารย์ กับอีกกระบวนการที่เกิดขึ้นในอากาศ ตั้งแต่ประกายแสงแห่งแรงบันดาลใจวาบขึ้นในจิต ไหลปราดลงสู่ปลายนิ้ว กลายเป็นตัวอักษร เดินทางออกไป และนำธนบัตรกลับมา
โลกที่ตาเห็นเหมือนตอกย้ำว่า การมีทัศนคติที่ดี มีความหวัง หรือมองโลกในแง่บวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเราเปิดโทรทัศน์ พบภาพผู้นำรุ่นราวคราวปู่พูดจาหยาบคาย บิดเบือนความจริงอย่างน่าละอาย เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง หลายต่อหลายครั้งเราเบื่อหน่าย ไม่อยากรับรู้ความเป็นไป ไม่อยากเห็นการหลอกล่อจากป่าวประกาศโฆษณา ไม่อาจทนเห็นการไหลบ่ามุ่งตรงไปยังหน้าผา ติดตามเสียงปี่แห่งมนตรา*
การจินตภาพเห็นความเป็นไปได้อันไสวสว่าง ต้องการความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเหลือเกิน กว่าที่จะหยั่งเห็น และปล่อยวางให้ธรรมชาติแสดง เราเป็นเพียงมนุษย์ มีอัตตาครองอยู่ อัตตาที่สมัครสมานดียิ่งกับเวลา และรู้จักเพียงโลกที่แบน ทำความเข้าใจเป็นก็แต่ในระนาบเวลาที่ตรงดิ่งพุ่งไปข้างหน้า อาจย้อนกลับมาดูข้างหลังบ้าง ทว่า เหตุและผลที่ได้ก็ไม่ครอบคลุมไปถึงมิติอื่น ๆ เราไม่เห็นปัจจัยลี้ลับที่ซ่อนเร้นแสดงนาฏการ ความหวังใจ ความรู้สึกดีงาม ความฝัน ความปรารถนาที่ดีซึ่งควรจะเป็นเชื้อไฟจึงห่อเหี่ยว...
ไม่มีใครฉุดเราขึ้นมา หรือประคองพาเดินไป หากเราต้องการสิ่งที่ดีกว่า อยากเห็นความดีงามใหม่ ๆ เราจำต้องลุกขึ้นมา ปลุกปลอบความหวัง ฟื้นกำลังใจ กลับมาเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ ที่สมัครสมานกับหยดน้ำอื่น ๆ รวมแรงเข้าด้วยกัน เนรมิตทะเล
........................................................................
เวลานั่นแหละทำให้เราบอบช้ำ ความคาดหวัง เป้าหมาย ความสำเร็จ ล้วนตั้งอยู่บนเวลา ทั้งที่มันมีอยู่ก็โดยการรับรู้ของเราเท่านั้น ...
ฉันมองดูฉัน เห็นฉันคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ขอบจักรวาล จากพิกัดรับรู้แสนไกล ฉันตัวเล็กเท่าเม็ดฝุ่น อยู่ภายใต้กฎเดียวกับฝุ่นธุลีทั้งหลาย เม็ดดินเล็ก ๆ ที่สายลมขัดสีได้ และเมื่อกาลผ่านไป ก็กลายเป็นอากาศธาตุ หากแต่พลังงานภายในไม่ได้สูญสลาย ฝุ่นฉันกลายเป็นพลังงาน แผ่ตัวออกไปเกาะติดกับสิ่งใหม่ในจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เข้าสู่วงจรวัตถุอีกครั้ง เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และแตกดับไป
.............................................................
บนโลก ฉันตัวโตกว่าเม็ดฝุ่น คิดนึก รู้สึก และกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่มีใครบังคับให้ฉันทำสิ่งใด แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดหมายหรือหวังผล แต่ฉันตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งการเคลื่อนไป ฉันหลับและตื่น กิน ดื่ม ทำงาน รัก เกลียด สืบพันธุ์ และมีชีวิตสั้นลงเรื่อย ๆ ตามกฎแห่งการเสื่อม เม็ดฝุ่นฉันมีหน้าที่มีชีวิต ประกอบกิจสามัญแห่งชีวิต บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ขัดขืน บางครั้งสอดคล้องรื่นรมย์ ฉันเล็กน้อยแล้วสุขใจ ยิ่งใหญ่แต่ยังคงเป็นฝุ่นธุลีได้หรือไม่ ตั้งใจ ไม่คาดหวังแต่ทำเต็มที่ ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ขมขื่นสิ้นหวังจะได้ไหม?
.....................................................................................
พี่ชายยิ้มเย็น ก่อนหน้านั้นทุกข์ทนหม่นไหม้ ความเศร้าของเขาเงียบเหมือนดวงจันทร์คืนแรม เป็นคืนแรมที่ยาวนานที่สุด เงียบสงัดที่สุด จนคนผ่านทางไม่กล้าเงยหน้ามองดูท้องฟ้า...........
วันนี้พี่ยิ้มทั้งปากและนัยน์ตา มีชีวิตชีวากระตือรือร้นในท่าร่าง มนุษย์ช่างแสนงาม ทั้งที่เป็นมรรตัยชน คนผู้มาใช้ชีพเพียงช่วงสั้น ๆ สร้างสรรค์ตัวตน และบานเบ่งความงามชั่วคืน ฉันรักชีพนี้ รักเพื่อนพ้องน้องพี่ เพื่อนมนุษย์ผู้มีเลือดเนื้อ เราทั้งหลายที่มตะ และเล็กน้อยดุจฝุ่นผงธุลี
ฉันรักฝุ่นธุลีแวนโกะห์ ,สืบ นาคะเสถียร, เชิด ทรงศรี, รุ่งอรุณ รัตกสิกร , สุริยฉัตร ชัยมงคล , คาลิล ยิบราน, กิติมา อมรฑัต, เฮนรี เดวิด ธอโร, ประมวล เพ็งจันทร์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, พจนา จันทรสันติ ฯลฯ และฝุ่นธุลีอื่นที่ปราศจากคนรู้จัก แต่เป็นที่รักของคนในครอบครัว และตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนใกล้ชิด
...............................................................
เนิ่นนานเกินสิบปีที่พี่ชายเพียรขุดดิน หว่านเมล็ด และดูแลสวนอักษรอย่างเอาใจใส่ เม็ดฝุ่น ‘ชนกลุ่มน้อย’ ที่ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เร่งเร้า และไม่ยอมแพ้ แหละธรรมชาติก็คอยดูแลเขา กฎเกณฑ์นั้นไม่เคยเปลี่ยน ลึกล้ำและเมตตา มีแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่ดูแลสรรพสิ่ง แต่อัตตาไม่รู้
..............................................................................
ขอแสดงความยินดีจากใจ กับผลงานรวมเรื่องสั้นของพี่ชาย
“การเดินทางอันยาวนานตั้งแต่ต้นจนจบ” สุวิชานนท์ รัตนภิมล
* จากนิทานพื้นบ้านยุโรปเรื่อง ชายหนุ่มที่ตอบแทนชาวเมืองซึ่งร้ายกาจกับเขา ด้วยการเป่าปี่มนตราสะกดพวกเด็ก ๆให้ทิ้งพ่อแม่ ติดตามเขาไป