Skip to main content

ฤดูกาลแห่งดอกผล .............

ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   

โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...

พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............

20080605 01

ช่วงเวลาที่หายไป  ราวกับไร้คำตอบ ซึ่งเราควรจะวางใจในกระบวนการเร้นลับของชีวิตคืออย่างไร   มีความเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ที่เรามองไม่เห็น  การแตกผลิในที่ลับ  น้ำเลี้ยงที่ค่อย ๆ ซึมซ่านจากราก  จากขี้เถ้าที่เราโรยลงไปรอบโคนต้น  จากคำอธิษฐานและกำลังใจที่มอบให้  ต้นโมกที่กำลังจะตายจึงสืบต่อชีวิตใหม่ราวกับปาฏิหารย์   กับอีกกระบวนการที่เกิดขึ้นในอากาศ  ตั้งแต่ประกายแสงแห่งแรงบันดาลใจวาบขึ้นในจิต ไหลปราดลงสู่ปลายนิ้ว กลายเป็นตัวอักษร เดินทางออกไป  และนำธนบัตรกลับมา

โลกที่ตาเห็นเหมือนตอกย้ำว่า  การมีทัศนคติที่ดี มีความหวัง หรือมองโลกในแง่บวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อเราเปิดโทรทัศน์ พบภาพผู้นำรุ่นราวคราวปู่พูดจาหยาบคาย บิดเบือนความจริงอย่างน่าละอาย  เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง  หลายต่อหลายครั้งเราเบื่อหน่าย  ไม่อยากรับรู้ความเป็นไป  ไม่อยากเห็นการหลอกล่อจากป่าวประกาศโฆษณา   ไม่อาจทนเห็นการไหลบ่ามุ่งตรงไปยังหน้าผา  ติดตามเสียงปี่แห่งมนตรา*

การจินตภาพเห็นความเป็นไปได้อันไสวสว่าง ต้องการความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเหลือเกิน  กว่าที่จะหยั่งเห็น และปล่อยวางให้ธรรมชาติแสดง  เราเป็นเพียงมนุษย์ มีอัตตาครองอยู่  อัตตาที่สมัครสมานดียิ่งกับเวลา  และรู้จักเพียงโลกที่แบน  ทำความเข้าใจเป็นก็แต่ในระนาบเวลาที่ตรงดิ่งพุ่งไปข้างหน้า  อาจย้อนกลับมาดูข้างหลังบ้าง  ทว่า เหตุและผลที่ได้ก็ไม่ครอบคลุมไปถึงมิติอื่น ๆ  เราไม่เห็นปัจจัยลี้ลับที่ซ่อนเร้นแสดงนาฏการ  ความหวังใจ  ความรู้สึกดีงาม ความฝัน ความปรารถนาที่ดีซึ่งควรจะเป็นเชื้อไฟจึงห่อเหี่ยว...  

ไม่มีใครฉุดเราขึ้นมา  หรือประคองพาเดินไป  หากเราต้องการสิ่งที่ดีกว่า อยากเห็นความดีงามใหม่ ๆ   เราจำต้องลุกขึ้นมา ปลุกปลอบความหวัง ฟื้นกำลังใจ  กลับมาเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ ที่สมัครสมานกับหยดน้ำอื่น ๆ  รวมแรงเข้าด้วยกัน เนรมิตทะเล

........................................................................  

เวลานั่นแหละทำให้เราบอบช้ำ  ความคาดหวัง  เป้าหมาย ความสำเร็จ  ล้วนตั้งอยู่บนเวลา  ทั้งที่มันมีอยู่ก็โดยการรับรู้ของเราเท่านั้น ...

ฉันมองดูฉัน  เห็นฉันคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ขอบจักรวาล  จากพิกัดรับรู้แสนไกล  ฉันตัวเล็กเท่าเม็ดฝุ่น  อยู่ภายใต้กฎเดียวกับฝุ่นธุลีทั้งหลาย  เม็ดดินเล็ก ๆ  ที่สายลมขัดสีได้  และเมื่อกาลผ่านไป ก็กลายเป็นอากาศธาตุ หากแต่พลังงานภายในไม่ได้สูญสลาย  ฝุ่นฉันกลายเป็นพลังงาน แผ่ตัวออกไปเกาะติดกับสิ่งใหม่ในจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่  เข้าสู่วงจรวัตถุอีกครั้ง  เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และแตกดับไป  

.............................................................

บนโลก ฉันตัวโตกว่าเม็ดฝุ่น  คิดนึก รู้สึก และกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย  ไม่มีใครบังคับให้ฉันทำสิ่งใด  แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดหมายหรือหวังผล  แต่ฉันตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งการเคลื่อนไป  ฉันหลับและตื่น  กิน ดื่ม  ทำงาน รัก เกลียด สืบพันธุ์ และมีชีวิตสั้นลงเรื่อย ๆ   ตามกฎแห่งการเสื่อม  เม็ดฝุ่นฉันมีหน้าที่มีชีวิต  ประกอบกิจสามัญแห่งชีวิต  บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ขัดขืน  บางครั้งสอดคล้องรื่นรมย์    ฉันเล็กน้อยแล้วสุขใจ  ยิ่งใหญ่แต่ยังคงเป็นฝุ่นธุลีได้หรือไม่  ตั้งใจ ไม่คาดหวังแต่ทำเต็มที่  ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย  แต่ไม่ขมขื่นสิ้นหวังจะได้ไหม?

.....................................................................................

พี่ชายยิ้มเย็น  ก่อนหน้านั้นทุกข์ทนหม่นไหม้  ความเศร้าของเขาเงียบเหมือนดวงจันทร์คืนแรม  เป็นคืนแรมที่ยาวนานที่สุด  เงียบสงัดที่สุด  จนคนผ่านทางไม่กล้าเงยหน้ามองดูท้องฟ้า...........

วันนี้พี่ยิ้มทั้งปากและนัยน์ตา  มีชีวิตชีวากระตือรือร้นในท่าร่าง  มนุษย์ช่างแสนงาม  ทั้งที่เป็นมรรตัยชน  คนผู้มาใช้ชีพเพียงช่วงสั้น ๆ  สร้างสรรค์ตัวตน และบานเบ่งความงามชั่วคืน  ฉันรักชีพนี้  รักเพื่อนพ้องน้องพี่ เพื่อนมนุษย์ผู้มีเลือดเนื้อ เราทั้งหลายที่มตะ  และเล็กน้อยดุจฝุ่นผงธุลี

ฉันรักฝุ่นธุลีแวนโกะห์ ,สืบ นาคะเสถียร, เชิด ทรงศรี, รุ่งอรุณ รัตกสิกร , สุริยฉัตร ชัยมงคล , คาลิล ยิบราน, กิติมา อมรฑัต, เฮนรี เดวิด ธอโร, ประมวล เพ็งจันทร์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, พจนา จันทรสันติ ฯลฯ  และฝุ่นธุลีอื่นที่ปราศจากคนรู้จัก  แต่เป็นที่รักของคนในครอบครัว  และตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนใกล้ชิด  

...............................................................

เนิ่นนานเกินสิบปีที่พี่ชายเพียรขุดดิน หว่านเมล็ด  และดูแลสวนอักษรอย่างเอาใจใส่   เม็ดฝุ่น ‘ชนกลุ่มน้อย’ ที่ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เร่งเร้า  และไม่ยอมแพ้  แหละธรรมชาติก็คอยดูแลเขา   กฎเกณฑ์นั้นไม่เคยเปลี่ยน ลึกล้ำและเมตตา  มีแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่ดูแลสรรพสิ่ง  แต่อัตตาไม่รู้

..............................................................................

ขอแสดงความยินดีจากใจ กับผลงานรวมเรื่องสั้นของพี่ชาย
“การเดินทางอันยาวนานตั้งแต่ต้นจนจบ”  สุวิชานนท์ รัตนภิมล


* จากนิทานพื้นบ้านยุโรปเรื่อง ชายหนุ่มที่ตอบแทนชาวเมืองซึ่งร้ายกาจกับเขา ด้วยการเป่าปี่มนตราสะกดพวกเด็ก ๆให้ทิ้งพ่อแม่ ติดตามเขาไป  

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เมื่อคุณออกไป ทุกอย่างก็พังทลาย  ยินเสียงชายชรารำพึงในความเงียบ  ...ไปกันเถอะแพลทเทอโร นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเรา *
รวิวาร
  มาพร้อมกับดีเปรสชั่น ซึ่งอ่อนแรงผันแปลงจากไต้ฝุ่น..น้ำฟ้า ซึ่งทำคุณบ้า เที่ยวสำรวจตรวจตราต้นไม้ ขุดหลุมลงต้นกล้ารุ่นสุดท้าย ความลุ่มหลงผูกพันต่อสิ่งที่ลงมือ ปลูก สอดส่องดูแล รดน้ำ ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย อาณาจักรหัวใจคุณขยายไปตามมุมสวน ลักษณาการของกิเลสแบบpassion แนบเนื่องและยึดติด คุณเฝ้ามองชีวิตแต่ละช่วง แต่ละขณะ เคลื่อนไปสู่จุดต่าง ๆ ตัวตนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดินหลักแห่งอุปนิสัย แต่ละช่วงเวลา มันได้ใส่สิ่งใดลงไป คุณนั่นเองใส่รายละเอียดลงไป แม้บางครั้งไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณกลายเป็น กลายเป็น และกลายเป็น...สิ่งใหม่เรื่อย ๆ
รวิวาร
สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...   เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก
รวิวาร
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยผ่าน  สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ถูกแล้ว  เราต้องลับดวงตาให้แหลมคมสว่าง  ระมัดระวังอย่าสับสนกับถ้อยคำทั่วไป “ง่าย ๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส”  ความโง่เขลามักง่ายมีโฉมหน้าคล้ายกันนี้
รวิวาร
ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
รวิวาร
ฉันมีภูเขาทั้งลูก จริงๆแล้วมากกว่านั้น จู่ๆฉันก็พบว่า แดดยามเช้าที่สดใสเป็นสีทองทำให้ริมฝีปากเผยอยิ้ม  เมื่อคืนเราพูดคุยกันบนที่นอน สมมติว่าถ้าฉันมั่งมีขึ้นมา ฉันจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้ไหม  ฉันอยากจะได้อะไรบ้างหนอ ฉันซักไซ้ไถ่ถาม คอยกวนไม่ให้เขาหลับ นั่งพร่ำเพ้อ จินตนาการเล่นๆ และคอยเขย่าตัวเขาเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าเขายังฟังฉันอยู่  เขาหลับๆตื่นๆแต่มีรอยยิ้มฉาบหน้า  เขาแค่งีบเล่นๆเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาทำงานกลางดึก  ฉันพูดออกมาดังๆว่า ถ้าให้ไปอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้าแลกกับที่อยู่ตอนนี้จะเอาไหม  จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเองทันใด  ไม่เห็นสนุก…
รวิวาร
 เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน
รวิวาร
  ความรักของแม่หวานจับใจดั่งน้ำอ้อยน้ำตาล วันเดือนปีล่วงผ่าน ลูกปรารถนาดื่มกินเสมอ...
รวิวาร
มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
รวิวาร
 ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
รวิวาร
 หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง…
รวิวาร
  29 พฤษภาฯ 52ตุ่นน้อยลูกรักเช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง…