Skip to main content

แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้

เมื่อตอนที่ตัดสินใจเช่าบ้านอยู่ คิดว่าคงจะอยู่ละแวกลุ่มน้ำมูนอย่างน้อยก็หนึ่งปี การกลับไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งข้าวของส่วนใหญ่ของฉันฝากฝังไว้กับบ้านเพื่อน อุปกรณ์ในการดำเนินชีวิตประจำวันไม่ว่า แก้ว จาน ชาม ช้อน หมอน เครื่องเล่นซีดีจึงถูกนำกลับมาด้วย

แต่น่าขำจริงๆ เมื่อแกะกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่อหุ้มข้าวของพวกนี้ออก กลับรู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันเลยกับบ้านเช่าที่อาศัยอยู่

ฟูกนอนพอถูไถ ผ้าพื้นเมืองก็ยังพอใช้ แต่ถ้าจะให้ดี ผ้าม่านหรือหรือปลอกหมอนที่เหมาะกับลักษณะบ้านและชุมชนมากคือ ผ้าลายดอกสีสดแจ่ม

ส่วนจาน ชาม แก้ว เซรามิก ยิ่งไม่เข้ากันที่สุด

บ้านเช่าหลังนั้นเป็นบ้านปูนไม่ได้ฉาบ ชั้นบนเป็นไม้ (ที่ฉันแทบไม่ขึ้นไป) บางส่วนของบ้านเป็นไม้อัด หน้าต่างไม้ ส่วนพื้นห้องด้านหน้า ซึ่งฉันทำเป็นห้องนอน ห้องทำงาน ห้องรับแขก แม้กระทั่งทำกับข้าว (จนคล้ายห้องสี่เหลี่ยมของอพาร์ทเมนท์ในกรุงเทพฯ) เป็นพื้นปูกระเบื้องสีฟ้าแจ่ม


ลักษณะการปลูกบ้านด้วยความหลากหลายตามกำลังทรัพย์ที่มีจนยากจะบรรยายว่าเป็นบ้านแบบชนบทหรือบ้านในเมืองกันแน่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะปลูกกันลักษณะนี้ดาษดื่นจึงทำให้สรรหาอุปกรณ์ตกแต่งบ้านหรือข้าวของเครื่องใช้ให้เหมาะสมได้ยาก


บ้านบ้านนอกหลังนี้ไม่ใช่บ้านไม้หรือกระท่อมไม้ น่ารักๆ มุงคาหรือใบตอง ปลูกสร้างด้วยไม้ล้วนๆ แบบคนช่างฝันจะฝันถึง

รสนิยมที่ติดตัวฉันมาจึงดูผิดที่ผิดทางถนัด


จนเมื่อเจ้าของบ้านเช่าเห็นว่าฉันยังไม่มีกระติกใส่น้ำ จึงนำกระติกสีแดงมาให้ยืมใช้ เออ! กระติกพลาสติกสีแจ๋นๆ กลับดูเข้าที


ยิ่งนึกถึงตอนแรกๆ ที่มาอยู่ เขานำผ้าห่มและหมอน ซึ่งมีสีสัน ลวดลาย แบบที่ฉันเคยส่ายหัวในสมัยยังเป็นนักศึกษาหรือว่าทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ มาให้ใช้ ก็ยิ่งรู้สึกว่า อันที่จริงสีสันแบบนั้นต่างหากที่ใช่ แต่แก้วเซรามิกของโมโมโกะ ศิลปินปั้นดินเผาคนเก่งในซอยวัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ กลับไม่ได้ดูโดดเด่น สง่างาม อย่างที่เคยเป็น


เมื่อมีเวลาว่างๆ ค่อยทบทวนดู ฉันก็พบความจริงอีกบางอย่างเกี่ยวกับคติความเชื่อของตัวเองที่เคยเป็นมา


สมัยก่อน ฉันต่อต้านการใช้พลาสติก เพราะมองว่ามันเป็นภาชนะที่สร้างมลพิษให้กับโลก ทำลายยาก หากเผาก็ทำลายชั้นบรรยากาศอีก ช้อน จาน ชาม สังกะสีรึ กระทรวงสาธารณสุขเคยบอกว่าไม่ปลอดภัย ไม่ควรใช้ แต่เมื่อเริ่มสังเกตบ้านเรือนของชาวบ้านที่นี่ ทั้งพลาสติกและสังกะสีมักเป็นภาชนะใส่อาหารที่คนที่นี่ใช้กัน แน่นอนว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะมันมีราคาถูก ห้าบาทสิบบาทเท่านั้น ส่วนจาน ชาม ทำด้วยกระเบื้องหรือเซรามิกจะมีราคาแพงกว่านั้น


บ้านเรือนหลายหลังยังมีช้อนสังกะสีใช้อยู่ เวลาไปกินข้าวที่บ้านชาวบ้านจะเห็นได้ว่าช้อนสังกะสีคงถูกนำมาใช้นานแล้ว เพราะนอกจากความเก่าแล้ว ปัจจุบันก็แทบไม่เห็นมีวางขายไม่ว่าในร้านหรือตลาดนัด ส่วนจาน ชาม สังกะสีเคลือบยังมีวางขายทั่วไป


พลาสติกและสังกะสีไม่ใช่เพียงแค่ว่าราคาถูกกว่าจานเซรามิกหรือจานกระเบื้อง แต่มันหมายถึง ความคงทน ตกไม่แตกด้วย


ในความยากจน ของใช้คงทนจึงถูกเป็นตัวเลือกมากกว่า


การใช้พลาสติกและสังกะสีของคนที่นี่จึงยากเกินที่จะเอาวิธีคิดแบบที่ฉันเคยคิดว่ามันสร้างมลพิษมาใช้ได้ เพราะถ้าแก้วพลาสติกหนึ่งใบใช้ได้นานเกินสิบปี มันก็น่าจะพูดได้ว่าคุ้มค่า(ถูกไหม)


แก้วพลาสติกใบละห้าบาทที่นี่ถูกใช้จริงใช้จังทุกครัวเรือน สังเกตดูได้จากรอยขูดถลอกของแก้ว ซึ่งหมดความสวยไปแล้ว แต่ถ้าไม่แตกก็ยังใช้รับรองแขกกันอยู่


และไม่รู้ด้วยว่า-- อะไรกันหนอ? ที่มันทำให้ภาชนะเหล่านี้กลับดูเข้ากันได้ดีกับลักษณะบ้านและชุมชนของพวกเขา


ถาดสังกะสีสีแดงลายดอก แก้วพลาสติกอันละสิบบาท หรือขันอะลูมิเนียมราคาสิบบาทจึงถูกฉันหยิบขึ้นมาอย่างไม่ลังเลในเช้าวันหนึ่งของตลาดนัดริมโขงที่พี่น้องลาวนั่งเรือข้ามมาจับจ่ายด้วย



ผ้าถุง เสื้อลายดอก แขนจีบ หรือมีลายลูกไม้ ก็ดูจะเข้าทีกับการแต่งตัวที่นี่มากกว่าจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันดู "บ้าน บ้าน" อย่างที่ชอบแซวกันเวลาอยู่ในกรุงเทพฯ


ฉันหวนคิดถึงชุดลิเกที่แต่งกันวาววับด้วยเกล็ดเพชรเลื่อมลายและสีสันจัดจ้านของเสื้อผ้า เริ่มพอจะเข้าใจได้ลางๆ ว่า คงเป็นเพราะสังคมยุคก่อนไม่ค่อยมีสีสังเคราะห์ ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับธรรมชาติ สีสันแบบธรรมชาติ พอมีชุดผ้าสีแจ๋นๆ จึงดูสะดุดตา และไม่เพียงสะดุดตาเท่านั้น มันกลับทำให้คนที่ดำเนินชีวิตไปแบบราบๆ เรียบๆ เมื่อได้เห็นแล้วรู้สึกแช่มชื่น เป็นสีสันพาฝันที่ชวนให้เกิดจินตนาการพริ้งเพริศ แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ก็เบิกบานในจิตใจ


และแน่นอน ในมุมกลับกัน เมื่อคนสมัยใหม่อยู่กับสีสันที่มากเกินไป เราจึงเริ่มคิดถึงสีของธรรมชาติ คิดถึงการลดความร้อนแรงของสี เราถึงเริ่มที่จะชอบสีเอิร์ทโทน ขรึมๆ สบายตา กระทั่งชอบสีหม่นทึมแบบแก้วเซรามิกญี่ปุ่นสไตล์โมโมโกะ



ขณะเดินตลาดนัด นอกจากเพลินดูเสื้อผ้า ข้าวของ ที่อุดมไปด้วยสีสันแจ๋นๆ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าคงเดารสนิยมของคนที่นี่ได้ เพลงลูกทุ่งของนักร้องชายหญิงหลายคนที่นำมาเปิดดังทั่วตลาดก็ทำให้อมยิ้ม


เพลงทั้งหมดแต่งโดยครูสลา คุณวุฒิ ช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
อืมม์... ดูเหมือนยุคนี้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะกลายเป็นอาชญากร ไม่น่าคบไปเลยจริงๆ เมื่อฉันจัดการทุบหัวปลาโป๊กๆ สีหน้าน้องผู้หญิงบางคนเหยเก เบะปาก “กินไหมเล่า!” ฉันเอ็ดเอา “กินอ่ะ” “เออ ถ้าจะกินอย่าทำหน้าอย่างนั้น คนฆ่าเสียเซลฟ์เหมือนกัน” อืมม์... แต่จะว่าไปก็ฆ่าตัวเป็นๆ ซะหลายตัว จะไม่ให้น้องมันทำหน้าเบ้ได้ไง กับคนรู้จักมักคุ้นฉันมักออกตัวเสมอว่า ฉันไม่ใช่คนเรียบร้อยใจดีนะ ฉันเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้โดยไม่รู้สึกผิดเลย ตกปลาฆ่าปลาได้ ยิงหนังกะติ๊กเอานกมาย่างไฟได้ ฆ่าตั๊กแตน ฆ่าแมลงต่างๆ ได้ จับปูเป็นๆ เผาบนเตาถ่านได้ หรือจับปูเป็นๆ โขลกในครกได้ (การทำน้ำปู๋ของคนเหนือ)…
สร้อยแก้ว
ถ้าไม่ใช่คนอีสาน จะมีใครบ้างหนอ รู้จักแมงหัวหงอก ? โอ้! จ๊อด มันน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง ขนาดว่าฉันโตมากับป่าเขา ใช้ชีวิตอย่างคนบ้านนอกเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าบ้านนอกทุกพื้นที่จะเหมือนกันเสียเมื่อไหร่ แมงหัวหงอกพากันมาจับต้นไม้ไร้ใบ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันมีใครสังเกต เห็นอีกที มันก็ขาวเต็มต้นแล้ว แรกทีเดียวฉันคิดว่าเป็นครั่งเสียอีก แต่ไม่ใช่ มันเป็นแมลงเล็กๆ ขาวสะอาดทั้งตัว มีขนสีขาวตรงกลางหลังชี้ออกเหมือนขนหางนกยูง กระโดดได้ เวลาจับตัวมันไว้ในอุ้งมือมันจะกระโดดไปมาแรงทีเดียว ต้องจับลงถังน้ำ ถึงจะหมดความสามารถในการกระโดด แม้จะเป็นแมลงที่ดูสวยงาม น่ารัก แต่ว่าในเมื่อมันกินได้…
สร้อยแก้ว
แมงกุดจี่ทั้งเคยได้ยิน ทั้งเคยฟังเพลง และเคยกินมาก่อน แต่ยามได้เดินถือกระแป๋งตามเด็กสองคนไปขุดหาแมงกุดจี่ในยามเช้า ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นพวกมันผลุบๆ โผล่ๆ ในรู ดาวใจเป็นพี่สาวของไพจิตร เธอขุดแมงกุดจี่พลาดโดนตัวมันหลายครั้ง ทำให้ฉันขัดใจน่าดู “มา มา ขอพี่ทำหน่อยซิ” ฉันว่าฉันมือเบาน่าจะขุดได้ดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันสับเอาแมงกุดจี่หัวขาด ตัวขาด รุ่งริ่ง เสียจนน่าเวทนา เด็กหญิงไพจิตรร้องเสียงหลงทุกทีที่ฉันยั้งมือไม่ทัน คมเสียมสับลงกลางตัวแมงสีดำๆ นั้นเสียแล้ว
สร้อยแก้ว
เดือนเมษายน เมื่อฉันกลับไปยังศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอีกครั้ง ภาพของผืนดินแล้ง หญ้าแห้ง และต้นไม้ใบร่วงยืนโดดเดี่ยวเดียวดายที่เห็นชินตาก็แปรเปลี่ยนไปสายฝนที่สาดเทลงมาเพียงไม่กี่ครั้งได้ลบล้างโลกสีน้ำตาลให้หายไป สองข้างทางระหว่างที่รถสามล้อเครื่องนำพาไปมีทิวหญ้าสีเขียวระบัดใบตลอดทาง ต้นไม้ใบแห้งผลิใบเขียวชะอุ่ม และผืนดินแล้งก็มีพุ่มไม้ใบขึ้นเป็นกอเล็กกอน้อยนับว่าชวนตื่นตาตื่นใจไม่น้อยสำหรับเวลาที่หายไปเพียงยี่สิบวัน ผืนดินก็เปลี่ยนแปลงได้เพียงนี้