สมยศ พฤกษาเกษมสุข
เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตก ถูกพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันตีแตกในปี ค.ศ.476 เป็นการสิ้นสุดสมัยโบราณ ก้าวเข้าสู่ยุคกลาง (Middle Ages) ซึ่งเป็นสังคมแบบศักดินา (Feudalism) กินเวลากว่า 1,000 ปี ราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยุโรปก้าวสู่ยุคทุนนิยม (Capitalism) และพัฒนามาเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบันนี้
ระบบศักดินาที่ดินทั้งหมดถูกยึดครองโดยกษัตริย์ และแบ่งที่ดินให้ขุนนางหรือองค์กรศาสนารับช่วงไปปกครองดูแลแทน โดยส่งผลประโยชน์จากที่ดินให้เป็นการตอบแทน คนในยุคกลางแบ่งออกเป็นกษัตริย์ ขุนนาง และสามัญชน (ไพร่-ทาส) กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ผูกขาดอำนาจตามสายโลหิต ได้รับความเคารพ จงรักภักดี และเชื่อฟังจากประชาชน เป็นศูนย์รวมของรัฐชาติ (Nation State) กษัตริย์เป็นผู้ออกกฎหมาย ทุกคนต้องเชื่อฟังไม่มีข้อแม้ ประชาชนไม่มีสิทธิคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย การแสดงความคิดเห็นหรือด่าทอถือเป็นการก่อกบฏ มีความผิดต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
อำนาจของกษัตริย์ ยังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือมอมเมาประชาชนให้จงรักภักดีด้วยความเชื่อคริสต์ศาสนา ซึ่งถือว่าศาสนาครอบคลุมทุกแง่มุมของชีวิต และกิจกรรมมนุษย์จะไม่ยินยอมให้ระบบคุณค่าอื่นมาแข่งขันได้
ในสภาพที่ชนชั้นสูง เจ้าที่ดิน กดขี่พวก ทาส-ไพร่ ซึ่งเป็นชาวนาติดที่ดิน จนมีชีวิตที่แร้นแค้น ยากจน พวกชนชั้นสูง ได้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ครอบงำ ความคิดประชาชน ให้ยอมจำนนต่อชีวิตที่อัตคัดขัดสน โดยใช้ความคิดความเชื่อตามหลักเทววิทยาที่ว่าชะตาชีวิตถูกกำหนดมาจากพระเจ้าเท่านั้น
ศาสนามุ่งเน้นศรัทธา และความเชื่องมงายทำให้การศึกษาทางทางโลกและวัตถุไม่เจริญ ความคิดใดแม้ถูกต้องตามเหตุผล ถ้าขัดกับคำสอนของนักบวชหรือพระคัมภีร์ถือว่าผิด จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง คนสมัยใหม่จึงเรียกยุคกลางว่ายุคมืด (Dark Age) คือยุคปิดกั้นปัญญา ความคิดหรือเหตุผลของมนุษย์ ทำให้วิทยาศาสตร์ไม่เจริญเพราะเอาแต่ทำสงครามและโฆษณาชวนเชื่อ สรรเสริญ เยินยอ ทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร ใครมีความคิดเห็นแตกต่างก็ต้องถูกจับกุมคุมขัง หรือไม่ก็ฆ่าให้ตายไปจากสังคม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นยุคใหม่ เรียกได้ว่าเป็นยุควิทยาศาสตร์ (Age of Science) ซึ่งหมายถึงความรู้ ทัศนคติและโลกทัศน์ที่มีเหตุผล เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ สามารถใช้ความรู้ดัดแปลงโลกธรรมชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า มีการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์สมัยนั้นมีความยากลำบากที่ต้องขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาที่งมงายล้าหลัง ซึ่งพวกนักบวชและชนชั้นสูงเป็นผู้กำหนดคำสอนเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูงในยุคนั้น
ในคัมภีร์ไบเบิลมีข้อความระบุว่า พระเป็นเจ้าสร้างโลกไว้บนแท่น และไม่อาจเคลื่อนไป ส่วนดวงอาทิตย์เคลื่อนที่และหมุนกลับสู่ตำแหน่งเดิม กลายเป็นความเชื่อของคนในยุคนั้นว่าโลกแบน และเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนรอบโลก ใครที่ไม่เชื่อหรือไม่เห็นด้วยถือว่าเป็นพวกนอกรีต ต้องถูกลงโทษ ใครโต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ หรือดูหมิ่น อาจถูกประหารชีวิต จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 - 15 โคเปอร์นิคัส พยายามล้มล้างความเชื่อนี้ แต่ตอนนั้นก็เป็นเพียงความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ผ่านมาร่วมร้อยปี กาลิเลโอยืนยันว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ซึ่งไปขัดแย้งกับความเชื่อของพวกนักบวช ซึ่งถือว่าในเวลานั้น ศาสนจักร (Church) เป็นกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง การปกครอง
กาลิเลโอ เป็นนักฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ ได้พัฒนากล้องส่องทางไกลใช้ดูดาวและใช้ในธุรกิจการเดินเรือ เป็นผลสำเร็จ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1564 – 1642 ได้ศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ มากมาย ได้ชื่อว่าเป็นบิดาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่
การโต้แย้งความเชื่องมงายไร้เหตุผลของศาสนจักร ย่อมเป็นการท้าทายต่ออำนาจเบื้องบนเป็นอย่างยิ่ง กาลิเลโอถูกบังคับให้ประกาศว่า ความรู้ของเขาไม่ใช่ความจริงในปี ค.ศ.1633 ศาลได้พิพากษาให้กาลิเลโอในความผิดฐานไม่จงรักภักดีต่อคำสอนของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นพวกนอกรีต ต้องโทษคุมขังอยู่ในคุกในเวลาต่อมาโทษนี้ปรับเปลี่ยนเป็นการคุมตัวให้อยู่แต่ภายในบ้านตามคำสั่งลงโทษของศาลศาสนาโรมัน ส่วนหนังสือ ความรู้ วิทยาศาสตร์ของเขาด้านต่าง ๆ กลายเป็นหนังสือต้องห้าม รวมไปถึงความคิดความอ่านของเขาในอนาคต เป็นสิ่งต้องห้ามไปด้วย
ในบั้นปลายชีวิต กาลิเลโอ ตาบอด แต่ถึงแม้เป็นชีวิตที่ยากลำบาก กาลิเลโอทุ่มเทชีวิตที่เหลือ รวบรวมผลงานของเขาที่เคยทดลอง ศึกษาค้นคว้า ตลอดช่วง 40 ปี กับผลงานชิ้นสำคัญ คือ The New Sciences หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่
การตัดสินของศาลด้วยความโง่งมงาย เพื่อรักษาอำนาจล้นฟ้าของพวกนักบวช กลายเป็นตราบาปของศาสนจักร ในที่สุดความจริงก็ปรากฏขึ้น ความเชื่อเหลวไหล อันเกิดมาจากการใช้อำนาจครอบงำ ทำลายผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่าง ก็พังทลายลงไป ศาสนจักรจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนคัมภีร์ใหม่ คำสั่งห้ามพิมพ์งานของกาลิเลโอยกเลิกไปในปี 1718
ในปี 1939 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้เอ่ยถึงกาลิเลโอว่าเป็น “วีรบุรุษแห่งงานค้นคว้าวิจัยผู้กล้าหาญที่สุดไม่หวั่นเกรงกับการต่อต้านและเสี่ยงภัยในการทำงาน ไม่กลัวความตาย
วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.1992 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ต้องแสดงความเสียใจ ในคดีที่กล่าวหากาลิเลโอ เดือนมีนาคม 2008 สำนักวาติกันจึงต้องกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอ โดยการสร้างอนุสาวรีย์ของเขาไว้ที่กำแพงด้านนอกวาติกัน
ความรู้เรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เป็นการเริ่มต้นอารยะธรรมยุคใหม่ จนนำมาสู่การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการกับการปฏิรูปศาสนา
ในช่วงปลายยุคกลางความงมงายศรัทธาในศาสนาได้ลดลง ระบบศักดินาเสื่อมโทรมลงตามลำดับ ความผูกพันระหว่างขุนนางกับสามัญชนลดลง และอิทธิพลพวกพระเหนือฆราวาสตกต่ำไปมาก ประชาชนตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เริ่มเห็นคุณค่าตนเองในฐานะปัจเจกชน (Individual) สามารถใช้เหตุผลตนเองอย่างอิสระ ไม่ต้องอาศัยผู้มีบุญบารมี คอยชี้นำหรือคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน มีความต้องการสิทธิ เสรีภาพ อิสระทางความคิดและการกระทำ เชื่อมั่นในศักยภาพ (potential) ตนเองในฐานะเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคม
ในมิติทางสังคมได้เกิดแนวคิดใหม่เป็นแบบมนุษย์นิยม (humanism) ภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คนในยุคใหม่มีความคิดเชิงวิเคราะห์ รู้จักการวิพากษ์วิจารณ์แทนการเชื่ออย่างงมงาย แต่กว่าจะหลุดพ้นยุคมืดมนและความโง่เขลาจากการครอบงำทางความคิดแบบเทววิทยา และความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในระบอบศักดินาไปได้มนุษย์ต้องทำสงครามสู้รบกันจนล้มหายตายจากกันไปมากมาย และจำนวนมากที่ต้องถูกจับกุมคุมขัง ติดคุกติดตะราง ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 การปฏิวัติประชาธิปไตย จึงเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เนื่องมาจากปฏิกิริยาต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ที่ผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งทำให้พลังการผลิตของสังคมล้าหลัง ดังเช่นการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ได้โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่เรียกกันว่าเป็นระบอบเก่า (Old Regime) ลง และประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองเพื่อความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ
8 ตุลาคม 2555
ที่มาภาพ: th.wikipedia