คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ ประกาศออกมาว่า “เมื่อระบอบทักษิณหมดอำนาจก็จะกลับคืนสู่ประชาชน ตามบทบัญญัติมาตรา 3 จากนั้นประชาชนจะได้เลือกตัวแทนจากสาขาอาชีพมาเป็นสภาประชาชนที่กำหนดนโยบาย ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ เพื่อการเปลี่ยนแปลงตรากฎหมายเลือกตั้ง ตรากฎหมายต้านทุจริต สภาประชาชนเป็นผู้เลือกคนดีที่ไม่ใช่คนของพรรคการเมืองเป็นนายกฯ และ ครม. ชั่วคราวตามบทบัญญัติมาตรา 7”
นายสุเทพยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่จะมาเป็นสภาประชาชนต้องไม่มีนักการเมือง และเมื่อร่างกติกาแล้วห้ามลงเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 5 ปี สภาประชาชนมีทั้งหมด 400 คน โดย กปปส. เป็นผู้แต่งตั้ง 100 คน อีก 300 คน มาจากการคัดเลือกจากลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ
แนวคิดสภาประชาชนในประเทศไทยมีมานานแล้วเมื่อ 20 ปี ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2532 นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เลขาธิการสภาปฏิวัติแห่งชาติ ได้มีคำสั่งเรื่องการโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ โดยให้รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และสภาผู้แทนราษฎรหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที แนวคิดนี้นักศึกษารามคำแหงคนหนึ่งชื่อ ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ ชาวนครศรีธรรมราช ซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์ที่ว่า “โค่นล้มเผด็จการรัฐสภา สถาปนารัฐสภาของประชาชน” ถึงกับเผาตัวเองตายที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแห่ง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2533
ทฤษฎีมาร์กซิสของนายคาร์ล มาร์กซ์ วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมว่าเป็นการแสวงหากำไรจากการกดขี่ ขูดรีดกรรมกร ชาวนา จนมั่งคั่งจากการแข่งขันเสรีสู่การผูกขาด ทำให้มีอิทธิพลทางการเมืองมาก ทั้งในรูปแบบสนับสนุนนักการเมือง หรือจัดตั้งพรรคการเมือง ตัวแทนชนชั้นนายทุน เข้าไปเป็นสมาชิกรัฐสภา จัดตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนพวกชนชั้นนายทุน ออกกฎหมายมากดขี่ขูดรีดกรรมการ ชาวนา ซึ่งเป็นชนชั้นกรรมาชีพไม่มีโอกาสเลยที่จะเข้าไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ส่วนการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งในระบบประชาธิปไตย ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
ในหนังสือรัฐกับการปฏิวัติของเลนิน เห็นว่า รัฐเกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ทางชนชั้น รัฐทุนนิยมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลเท่านั้น แต่หมายถึงโครงสร้างทางสังคมทั้งหมด ให้การทำลายการกดขี่ขูดรีด และการเอารัดเอาเปรียบ ให้หมดไปจะต้องทำการปฏิวัติสังคม โค่นล้มระบบทุนนิยม แล้วสถาปนารัฐสังคมนิยมเข้าไปแทนที่เป็นการสร้างสังคมใหม่ที่งดงาม ประชาชนกินดีอยู่ดี มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียม
แนวความคิดสภาประชาชนที่มาจากสาขาอาชีพต่าง ๆ จึงเป็นองค์กรสำคัญในเบื้องต้นที่จะมีตัวแทนชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อจัดตั้งรัฐเผด็จการชนชั้นกรรมารชีพเข้ามากวาดล้างพวกทุนนิยมให้หมดไป สังคมจึงมีความยุติธรรม ความเสมอภาคเท่าเทียมกันอันเป็นขั้นตอนหนึ่งของสังคมคอมมิวนิสต์ที่ปราศจากชนชั้นในที่สุด
แนวคิดสภาประชาชนเป็นตัวแทนจากสาขาอาชีพต่าง ๆ มีข้อดีในแง่ที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ในด้านวิชาชีพต่าง ๆ อาทิเช่น ในด้านกรรมกร หรือในด้านเกษตรกร เพราะสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีตัวแทนของประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ได้เลย แต่ปัญหาสำคัญของสภาประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ตามที่นายสุเทพ และคณะกำลังเรียกร้องอยู่นั้นยังไม่มีแบบแผนชัดเจน เช่น จะมีกระบวนการได้มาซึ่งตัวแทนสาขาอาชีพต่าง ๆ ในสภาประชาชนได้อย่างไร ? จะใช้การเลือกตั้งแบบไหน ? จะให้มีตัวแทนสาขาอาชีพในสัดส่วนเท่าใด เช่น มีตัวแทนกรรมกรกี่คน ? ตัวแทนนายทุนกี่คน ? ตัวแทนชาวนากี่คน ? ฯลฯ
ความยุ่งยากเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงในความเป็นจริง กล่าวคือ จะจัดวางตัวแทนกลุ่มทุนผูกขาดกับทุนขนาดกลาง และเล็กอย่างไร ในหมู่เกษตรกรจะจัดวางให้ชาวนา ชาวไร่ หรือชาวสวนยางกันในสัดส่วนเท่าใด หรือในหมู่กรรมกรจะให้มีตัวแทนพนักงานรัฐวิสาหกิจกี่คน พนักงานคอปกขาว และคอปกน้ำเงินกี่คน แล้วคนงานรับเหมาช่วง หรือคนงานชั่วคราว หรือคนงานต่างด้าวกี่คน เพราะแต่ละกลุ่มมีผลประโยชน์แตกต่างกันมาก
ดังนั้นหากปรารถนาให้สามารถสะท้อนผลประโยชน์ทางชนชั้นของประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ และมีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้น คณะ กปปส. ควรที่จะคิดค้นและสร้างรูปแบบใหม่ขึ้นอีกมากมาย รวมทั้งการยกเลิก พรบ.เลือกตั้ง และการสรรหาคณะกรรมการเลือกตังจึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ได้สภาประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่การประท้วงกันแบบส่งเดช โดยยังไม่มีแบบแผนรูปธรรมที่ชัดเจน
ตัวอย่างของการมีส่วนร่วมของตัวแทนสาขาอาชีพเพื่อกำหนดนโยบายรัฐ ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม ในกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ที่เรียกว่า “ไตรภาคี” อันประกอบไปด้วยตัวแทนแรงงาน นายจ้าง และรัฐบาล ดังตัวอย่างเช่น คณะกรรมการค่าจ้าง คณะกรรมการประกันสังคม ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน ฯ แต่ในความเป็นจริง แม้จัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทนฝ่ายแรงงานก็ปรากฏว่าไม่ได้มีตัวแทนฝ่ายแรงงานที่แม้จริงเลย เพราะการเลือกตั้งจากพวกสหภาพแรงงานเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่นกันมโหฬาร รวมทั้งอิทธิพลฝ่ายนายจ้างนั้นสามารถกำหนดเสียงของกรรมกรในสถานประกอบการได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้หากสภาประชาชนจัดตั้งขึ้นมาจริง ๆ ก็จะได้ตัวแทนสาขาอาชีพจอมปลอมเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาประชาชน
แต่ถ้าหากใช้วิธีการแต่งตั้งกันขึ้นมาอีกไม่ว่าจะโดยคณะบุคคลใดก็ตามก็เชื่อได้เลยว่า คนดีของสภาประชาชนตามแบบฉบับของสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเหมือนกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่พวกเผด็จการทหาร เคยแต่งตั้งกันเข้ามาในปี 2534 หรือในปี 2549 ซึ่งพวกสมาชิกสภานิติบัญญัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้าทาสบริวารเผด็จการทั้งสิ้น ไม่มีฝ่ายค้าน หลับหูหลับตาออกกฎหมายต่าง ๆ ตามใบสั่งของเผด็จการเท่านั้น สภาประชาชนแบบนี้เลวร้ายระยำสุนัขยิ่งกว่าสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีก
เฉพาะแกนนำอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นนักการเมืองมากว่า 35 ปี เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาหลายครั้ง เคยมีเสียงข้างมากในรัฐสภามาก่อน แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่เคยพูดถึงสภาประชาชนมาก่อน ไม่ได้มีความตั้งใจแต่ประการใดที่จะทำการปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาบริหารประเทศเมื่อใด ประเทศไทยก็บรรลัยเมื่อนั้น อย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในปี 2540 ก็เป็นผลมาจากนโยบายเสรีทางการเงิน หรือ BIBF โดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย หรือการนำที่ดิน สปก.4-01 มาแจกให้พรรคพวกก็เกิดขึ้นในสมัยที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรงเกษตรฯ กระทั่งล่าสุดเกิดความรุนแรงถึงกับเข่นฆ่ากันตายไปกว่า 100 ศพ ในปี 2553 ก็เกิดขึ้นขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
พรรคการเมืองแบบนี้อยู่มา 60 ปี ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เคยปรากฏว่าจะปฏิรูป หรือปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น แม้แต่จะปฏิรูปพรรคการเมืองของตนเองแท้ ๆ ยังทำไม่ได้ ดังนั้นข้อเสนอเรื่องสภาประชาชนและการปฏิรูปจึงเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปูทางไปสูการแย่งชิงอำนาจ บนซากปลักหักพังและความฉิบหายสำหรับคนไทยทุกคนในปี 2557