สมยศ พฤกษาเกษมสุข
การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย สส.พรรคเพื่อไทย เป็นประธานได้มีมติในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 เห็นชอบข้อเสนอของนายประยุทธ ศิริพาณิชย์ แก้ไขข้อความจากร่างเดิม โดยใช้ข้อความว่า “ให้บรรดาการกะทำของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือ ความขัดแย้งทางการเมือง หรือถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นผู้กระทำความผิด สืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะทำไปในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำการ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้การกระทำนั้นพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง การกระทำตามวรรคหนึ่งไม่รวมการกระทำตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”
ความโง่ 5 ประการของกฎหมายฉบับนี้ ผู้เขียนขอแสดงทัศนะไว้ดังนี้
กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้มีลักษณะเหมาเข่งให้ทุกฝ่าย ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แกนนำเสื้อเหลือง เสื้อแดง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฯลฯ โดยปากก็บอกเพื่อความปรองดอง และเสมอภาคทุกฝ่าย แต่ตัวกฎหมายที่แก้เองก็ได้โชว์ความย้อนแย้งในตัวมันเองโดยไม่ต้องอาศัยราษฎรอาวุโส นักวิชาการมาบอกเล่าเรื่อง โดยการไม่รวมความผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา ทั้งๆที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มาตรา 112 เป็นความผิดที่เกิดขึ้นโดยมีผลพวงมาจากการเมือง เนื่องจากผู้ต้องคดี มักมีสาเหตุมาจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการ เขียน พูด พิมพ์ ฯลฯ การอ้างว่าเพื่อความเสมอภาคจึงขัดกับหลักการดังกล่าว อันเป็นความโง่ประการฃแรก
พรรคเพื่อไทยเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะ คืนความยุติธรรมให้สังคม เอาคนผิดมาลงโทษ ณ การเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 และคุณทักษิณ เคยประกาศยอมถอยโดยไม่ขอนิรโทษกรรม เพราะต้องการให้ประชาชนที่อยู่ในคุกได้ออกมาก่อน ในช่วงนำเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย เหมะ ซึ่งเป็นร่างที่เห็นชอบโดนมติเสียงข้างมากของกรรมการพรรคเพื่อไทยอีกด้วย คำมั่น คำพูดดังกล่าวเหมือนจะถูกลืมเลือนเอาเสียง่ายๆ เข้ากรอบตำราเดิมๆของนักการเมืองไทย ที่ชอบสัญญาอะไรไว้มากมาย แต่หาปฏิบัติได้ไหม และคุณทักษิณยังมีหน้าให้สัมภาษณ์ว่าที่เปลี่ยนใจมานี้เพราะต้องการยุติความขัดแย้งของคนในชาติ แต่เห็นเสียจะเป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ตน มากกว่าไม่ต่างอะไรจาก ผู้เผด็จการอย่าง สุจินดา คราประยูร ที่ขอ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อถูกประชาชนขับไล่ไปในที่สุด อันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณ อันเป็นความโง่ประการที่สอง
ความผิดร้ายแรงของ กฎหมายนิรโทษกรรมที่ถูกแก้ไขฉบับนี้ ประการต่อมาคือ การทีไปนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่เคยทำการ ปิดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสถานที่ราชการอื่นๆ โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้แม้จะมีคดีอยู่ แต่ก็ได้รับสิทธิประกันตัวตลอดมา ไม่มีการไต่สวนคดี และมีการพิจารณาที่ล่าช้าอย่างน่าสงสัย กลับกันคนเสื้อแดงกลับต้องต่อสู้คดีอย่างยากลำบาก ไม่ได้สิทธิประกันตัว และถูกพิพากษาลงโทษอย่างรวดเร็ว หลายคนต้องติดคุกไปก่อนฟรีๆ โดยภายหลังศาลจะยกฟ้อง และบางรายเสียชีวิตในคุกโดยไม่มีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนอย่างที่สุด แสดงให้เห็นอีกประการของความลืมง่าย หน่ายเร็ว เมื่อตกลงผลประโยชน์กันได้ของนักการเมืองไทย อันเป็นความโง่ประการที่สาม
ความโง่ประการที่สี่ คือ พรรคประชาธิปัตย์เคยประกาศอย่างเปิดเผยว่า ไม่ต้องการการนิรโทษกรรมให้ตนเอง และยังต่อต้านนิรโทษกรรมอย่างเปิดเผย ทั้งในและนอกสภา แต่กรรมาธิการวิสามัญพรรคเพื่อไทยก็ยังเอาการนิรโทษกรรมไปใส่พานถวายแด่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์จึงมีแต่ได้กับได้ ทั้งได้นิรโทษกรรม และได้ด่าพรรคเพื่อไทยไปตลอดชาติอีกด้วย
ความโง่ประการสุดท้าย เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยมีแต่เสียกับเสีย โดยที่คดีคุณทักษิณ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายนิรโทษกรรม เนื่องจาก กฎหมายนิรโทษกรรมในส่วนนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า กฎหมายนิรโทษกรรมที่เป็นระดับพระราชบัญญัติ และยังทำให้พวกเดียวกันแตกแยกอีกด้วย เพราะไปนิรโทษกรรมให้กับฆาตกร91 ศพ
แม้การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งจะดูโง่เง่าสุดพระเดช พระคุณเพียงใด ผู้เขียนมองเห็นความฉลาดอย่างหนึ่งของ การกระทำอันอุกอาจในครั้งนี้ของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย คือ ฉลาดที่จะลืมคราบเลือดและน้ำตาของประชาชน และเลือกที่จะตกลงผลประโยชน์ได้เสียกันกับฝ่ายอำมาตย์ทันที โดยไม่ต้องเสียแรงสู้ให้เหนื่อย ไม่ต้องเสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ เสี่ยงติดคุกติดตะราง เหมือนประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา นั้นเอง
สุดท้าย ผู้เขียนก็ขอให้รักษาความฉลาดอันนี้ไว้นานๆ จนกว่าวันหนึ่งที่ประชาชนจะตาสว่าง และมองว่าคนที่ทรยศประชาชน ตะบัดสัตย์สัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน ไม่ว่าหน้าไหน ย่อมเป็นศัตรูของประชาชน!