สมยศ พฤกษาเกษมสุข
7 พฤศจิกายน 2556
ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 309 ต่อ 0 เห็นชอบตามคณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองหรือที่เรียกกันว่า นิรโทษกรรมเหมาเข่ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เวลา 04.25 น.
นิรโทษกรรมเหมาเข่งซึ่งผิดเพี้ยนไปจากเจตนารมณ์เดิม มีเพียงพรรคเพื่อไทยที่เห็นดีเห็นงามใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย แม้กระทั่งกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มผลักดันการนิรโทษกรรมครั้งนี้ก็ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการนิรโทษกรรมบนความเจ็บปวด เลือด น้ำตา และอิสรภาพของผู้คนจำนวนมากที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นับตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา อีกทั้งยังเป็นการนิรโทษกรรมด้วยความกะล่อน ปลิ้นปล้อน ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
แทนที่จะคืนความเป็นธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงที่ถูกจองจำอยู่ในคุกตะราง กลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังศพให้กับตนเองด้วยความโง่เขลา ดังต่อไปนี้
1.เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า
นายวรชัย เหมะ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ประโยชน์แน่นอน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกกับตนว่าให้ช่วยเหลือประชาชนก่อน ไม่ต้องนิรโทษกรรมให้ท่าน ส่วนคนที่ถูกคดีก่อการร้ายนั้นตนและแกนนำเสื้อแดงทุกคนยืนวันว่าไม่ขอรับอานิสงส์จากกฎหมายฉบับนี้ (20 เมษายน 56 : ไทยรัฐ)
นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงผลการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2556 ว่าการพิจารณาเลื่อนระเบียบวาระในการประชุมวันที่ 18 เมษายน 2556 นี้ ยึดหลักการที่จะช่วยเหลือประชาชนทุกฝ่ายตามร่างของ นายวรชัย เหมะ โดยยังไม่พิจารณาร่างฉบับอื่น ส่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ต้องเป็นโอกาสหน้า (20 เมษายน 56 : ไทยรัฐ)
นายสามารถ แก้วมีชัย อภิปรายในสภาว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้คุ้มครองเฉพาะประชาชนผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลและผู้ที่ทำลายทรัพย์สินเสียหาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ และในชั้นแปรญัตติก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ากรรมาธิการจะไปเขียนบิดเบือนแก้ไขเพิ่มเติมออกไปจากหลักการ เราไม่ยอม (8 สิงหาคม 56 : ไทยรัฐ)
ผลที่เกิดขึ้นจากการแปรญัตติ สอดไส้เนื้อหาใหม่ของกรรมาธิการวิสามัญและการลงมติในวาระ 2-3 ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามจากหน้ามือซ้ายไปหลังตีนขวา เป็นผลงานสับปลับของนักการเมือง ลูกขุนพลอยพะยักจากพรรคเพื่อไทย
ใครก็ตามที่ไปเสนอแนวคิดนิรโทษกรรมเหมาเข่งหรือสุดซอยให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และใช้เล่ห์เพทุบายบ้องตื้นผลักดันออกมาแบบทุลักทุเล เขาเหล่านั้นกำลังทำลายพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งประชาชนให้ความเชื่อมั่นและมุ่งหวังเป็นพรรคการเมืองน้ำดีในระบอบประชาธิปไตยถึงกับยอมพลีชีพและติดคุกติดตะรางกันมากมาย แต่แล้วด้วยวิธีการโง่เขลาได้ทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ได้ทำลายสถานภาพที่เคยได้เปรียบพรรคประชาธิปัตย์ที่หลายคนเพียรพยายามสร้างกันขึ้นมาตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
2. นิรโทษกรรมเหมาเข่งกับการโกหกพกลม
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การปรองดองกันได้จะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย จะยกเว้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ ถ้าจะคืนก็ต้องคืนยกเข่ง แต่ถ้าจะไม่คืนก็ไม่คืนทั้งเข่งเช่นกัน (30 ตุลาคม 56 : มติชน) เช่นเดียวกับ นายสามารถ แก้วมีชัย ชี้แจงว่าให้ทุกคนได้รับนิรโทษกรรมเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เลือกปฏิบัติไม่ได้ กรรมาธิการไม่สามารถเขียนยกเว้นโทษคนใดคนหนึ่งได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่บุคคลย่อมเสมอภาคกันในทางกฎหมาย ซึ่งต้องเขียนให้ครอบคลุมทุกฝ่าย ยกเว้นความผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา
การพูดเรื่องเหมาเข่งจึงเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชนทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับความร้ายแรงของการกระทำความผิดแล้วจะเห็นได้ว่าคดีตามมาตรา 112 นั้นมีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปีเท่านั้น ในขณะที่เจตนาฆ่าคนตายมีโทษถึงประหารชีวิต หรือกรณีการทำลายทรัพย์สินมีโทษ 20 ปีขึ้นไป การเว้นไม่นิรโทษกรรมคดีตามมาตรา 112 จึงไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง เป็นการเลือกปฏิบัติ ขัดต่อหลักความเสมอภาคอย่างชัดเจนที่สุด
การพูดเรื่องนิรโทษกรรมเหมาเข่งจึงเป็นเรื่องโกหก ปกปิดความจริง ทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล นับเป็นเรื่องอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง
3. ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง
นับเป็นความชาญฉลาดของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง หลังจากสภาผู้แทนราษฎรผ่านการพิจารณาวาระ 3 เรียบร้อยแล้ว หากตั้งใจจะคัดค้านอย่างจริงจังย่อมกระทำได้ตั้งแต่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์จากนิรโทษกรรมเหมาเข่งไปเต็ม ๆ โดยพรรคเพื่อไทยยัดเยียดมาให้ การคัดค้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งจึงมีแต่ได้กับได้ ถ้าต้านไม่สำเร็จ ประชาธิปัตย์ก็ยังได้อยู่ดี ถ้าต้านสำเร็จก็จะได้มากขึ้น และยังนำเป็นประเด็นโจมตีพรรคเพื่อไทยได้ไปตลอดชาติ อีกทั้งยังเป็นการผลิตซ้ำความคิดทางสังคมเพื่อตีตรา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้มีภาพลักษณ์ของการทุจริตคอรัปชั่นไปตลอดกาล ส่วนคนเสื้อแดงได้ประโยชน์จากนิรโทษกรรมเหมาเข่งน้อยมาก หลายคนติดคุกจนสิ้นชีวิตไปแล้ว ยิ่งนิรโทษกรรมเหมาเข่งยกเว้นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่ากับยังมีนักโทษการเมืองคนเสื้อแดงติดคุกติดตะรางต่อไป
เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาแล้วก็จะโหวตคว่ำกฎหมายนี้แล้วส่งกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร ถึงตอนนั้นพรรคเพื่อไทยต้องถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งหมดออกจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะสูญเสียความชอบธรรมและไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไปแล้ว ซึ่งหมายถึงฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถยกระดับไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลในที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นการยิงปืนได้นกตายทั้งฝูงไปฝังกลบอยู่ในเข่งนิรโทษกรรมได้อย่างลงตัว
4. บทเรียนราคาแพงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าบ้านเมืองไม่ได้ประชาธิปไตย ไม่กลับก็ได้ ถ้าไม่ได้กลับ ก็สู้กันต่อไป ไม่มีถอย" (19 พฤษภาคม 56 : มติชน) เป็นคำพูดที่ถูกต้องทีเดียว แต่ทว่านับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พรรคเพื่อไทยไม่มีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยกเลิกผลพวงการรัฐประหาร การสอบสวนเอาผิดคดีฆาตกรรมหมู่คนเสื้อแดง การไม่แก้ไขมาตรา 112 ให้มีความเป็นประชาธิปไตย การไม่ทำการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ดีขึ้น ฯลฯ
แกนนำคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ ส.ส.เสื้อแดง 42 คน ซึ่งประกาศจะร่วมหัวจมท้ายผลักดันนิรโทษกรรมบนหลักการ ยกเว้นแกนนำ และผู้ออกคำสั่งฆ่า แต่ต่อมาได้เปลี่ยนจุดยืนภายหลังมาสนับสนุนนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นมุ่งสู่อำนาจการเมืองมากกว่าที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คนที่แวดล้อมใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีแต่เป็นพวกโง่อวดฉลาด และประจบสอพลอ ล้วนแล้วแต่นำพาไปสูความหายนะกันถ้วนหน้า
เป็นบทเรียนราคาแพงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยที่ต้องทบทวนแนวทางของตนเองว่าจะเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือเป็นเพียงพรรคการเมืองน้ำเน่าในระบอบการปกครองจารีตนิยมแบบเดิม ในขณะที่คนเสื้อแดงเองจะต้องทบทวนตัวเองถึงเป้าหมายและปฏิวัติการต่อสู้ จะเป็นเพียงหางเครื่องของนักการเมือง หรือว่าเป็นขบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง นับได้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้ก้าวหน้าต่อไป