Skip to main content

ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7 ที่ว่ามันคืออะไร ใช้ยังไง และใช้เมื่อไหร่

                หากดูเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งฉบับพุทธศักราช 2540และ 2550 ในมาตรา 7 ได้บัญญัติว่า
       “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

                เอาล่ะครับ ใจเย็นๆ แล้วดูกันทีละประเด็น เรื่องนี้มีอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ

1)      เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องที่ทะเลาะกันอยู่เลย

2)      ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีฯ คือ ให้นำครรลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาปรับใช้ แม้จะไม่มีการเขียนไว้ว่า ครรลองจารีตประเพณีฯ ที่ว่ามันคือเรื่องอะไรบ้าง และเขียนไว้ว่าอย่างไร

 

เอ่อ........ งง ไหมล่ะครับ ท่านผู้อ่าน   ผมก็เคยมึนกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน  แต่ท่านผู้อ่านคงสงสัยอยู่ในใจว่า แล้ว จารีตประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มันคืออะไร และเคยใช้มาแล้วบ้างหรือไม่?

เคย! ครับ จากการสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญของ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ว่า เมื่อครั้งรัฐบาลได้ผลักดัน พระราชกำหนดโดยอาศัยอำนาจของ “รัฐบาล” นอกสมัยประชุมรัฐสภา แล้วต่อเมือถึงสมัยประชุม ก็ต้องนำพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวเข้าวาระมาขอรับรองจาก “รัฐสภา” อีกครั้ง   เมื่อปรากฏว่า รัฐสภาคว่ำ พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวลง รัฐบาลก็ต้องแสดงความรับผิดชอบไปในที่สุด

จากกรณีนี้ มิได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายใดว่า หากรัฐบาลออกพระราชกำหนด แล้วรัฐสภาไม่รับรอง รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วยวิธีการใด  แต่เป็นที่รับรู้และนำไปปฏิบัติว่า รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาลกับรัฐสภาไม่สามารถทำงานด้วยกัน จนเกิดรอยขัดแย้งปริแยกจนต้องจัดดุลอำนาจทางการเมืองกันใหม่   ซึ่งส่วนใหญ่หัวหน้ารัฐบาลก็มักจะเลือกการยุบสภา เพื่อให้ประชาชานเลือกตัวแทนเข้ามาใหม่ เห็นจำนวนและตัวเลขที่ชัดเจนว่าประชาชนมีความเห็นอย่างไรกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และอยากเลือกใครมาเป็นตัวแทนในรัฐสภา หรือมาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อไป

ดังนั้น ในกรณีการหาผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จึงไม่มีช่องทางให้หยิบเอา ม. 7 มาใช้ เพราะได้มีมาตราอื่นที่กำหนด คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ หรื แม้กระทั่ง การขยับผู้ใดมารักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่   สรุป ไม่มีภาวะสุญญากาศทางการเมืองเพื่อขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตามมาตรา 7 นะครับทุกท่าน   

ทางเดียวที่จะไม่ใช้รัฐธรรมนูญ คือ การฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งด้วยคณะรัฐประหารแล้วประกาศคำสั่งคณะรัฐประหารออกมาแล้วศาลรับรองสถานะทางกฎหมายของคำสั่งเหล่านั้น ซึ่งดูเป็นจารีตประเพณีที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมากในสังคมไทย และประชาคมโลกไปเสียแล้ว

เมื่อพูดถึงเรื่อง จารีตประเพณี กับ กฎหมาย แล้วสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด เห็นจะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศจำนวนไม่น้อยมีลักษณะเป็น “จารีตประเพณีระหว่างประเทศ” คือ ไม่ได้เขียนรวบรวมไว้อย่างชัดเจนเป็น ข้อ มาตรา ว่ามีเนื้อหาทั้งหมดในเรื่องนั้นไว้อย่างไร   แต่กระจัดกระจายไปอยู่ในเอกสารต่างๆ และใช้ระยะเวลายาวนานในการบ่มเพาะจนประชาคมโลกเห็นว่า เรื่องนั้นเป็น “กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ” ที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แม้รัฐจะไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใดๆก่อนก็ตาม 

ตัวอย่างที่รัฐไทยคุ้นเคย ก็เช่น หลักการห้ามผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร ซึ่งรัฐไทยไม่เคยลงนามเข้าร่วมสนธิสัญญาผู้ลี้ภัยเลยแม้แต่ฉบับเดียว  แต่หลักการนี้ถือเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ผูกมัดทุกรัฐในประชาคมโลกให้ปฏิบัติตาม รัฐไทยจึงต้องปฏิบัติด้วยอย่างเสียมิได้   ดังนั้นเมื่อเกิดภัยสงครามบริเวณตะเข็บชายแดนจนมีผู้อพยพเข้ามาในพรมแดนไทย รัฐไทยจึงต้องร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศในการให้ที่พักพิงและดูแลชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับคนกลุ่มนี้ เพราะหากเร่งผลักดันกลับไป คนเหล่านี้ก็อาจต้องตาย ถูกข่มขืน ปล้นสะดม หรือบังคับใช้แรงงาน หรือเป็นทหารเด็ก

เรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่สุด เช่น ชีวิต เนื้อตัวร่างกาย กระบวนการยุติธรรม การทรมาน อุ้มหาย จึงกลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ผูกพันทุกรัฐเสมอ เช่นเดียวกับกับเรื่อง มนุษยธรรม เช่น การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ลี้ภัย ที่ผูกพันรัฐทั้งหลายแม้มิได้ลงนามในสนธิสัญญาใดๆก็ตาม จึงเป็นเหตุว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ของไทยไม่อาจถีบเรือผู้อพยพโรฮิงญาออกไปเคว้งคว้างกลางทะเล นำแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายไปขังรวมขังลืมโดยไม่ฟ้องคดีสู่ศาล หรือยิงปืนขับไล่ผู้อพยพหนีภัยสงครามที่แตกฮือข้ามแม่น้ำสาละวิน เป็นต้น

เมื่อย้อนกลับเข้ามาในประเทศ มีประเด็น การอุดช่องของกฎหมายโดยอาศัยจารีตประเพณีที่น่าสนใจอยู่ ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์    เนื่องจากผู้อ่านคงจะทราบจากบทความฉบับก่อนๆดีว่า ประเทศไทยได้เปรียบเทียบกฎหมายตะวันตกมายกร่างเป็นกฎหมายไทย และประมวลกฎหมายภาคพื้นยุโรปโดยเฉพาะประมวลกฎหมายเยอรมันก็มีอิทธิพลต่อประมวลกฎหมายไทยอยู่มากทีเดียว   จึงมีการนำเรื่องการอุดช่องว่างกฎหมายมาใส่ไว้ในมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 บัญญัติว่า

“กฎหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ  เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

ประเด็นที่ต้องพิจารณาจึงมีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1)      กรณีใดบ้างที่ไม่มีกฎหมายยกมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

2)      จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาปรับใช้ได้เป็นอย่างไร

 

ระบบกฎหมายสมัยใหม่โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการประกาศใช้กฎหมายหลายพันหลายหมื่นฉบับ ตั้งแต่ พรบ. พรก. เรื่อยไปจนถึง ประกาศฯ คำสั่งฯ ฯลฯ นั้น ยากยิ่งที่จะเกิด “ช่องว่าง” ซึ่งกฎหมายมิได้พูดถึงไว้ ยิ่งในกรณีคดีแพ่งนั้นมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กล่าวถึงกิจกรรมต่างๆไว้อย่างละเอียดถี่ยิบ   การวางมาตรา 4 ไว้โดยไม่เข้าใจที่มาทางประวัติศาสตร์ จึงยากยิ่งที่จะนำมาใช้ได้จริง

หากเข้าใจที่มาของมาตรานี้ในระบบประมวลกฎหมายเยอรมันจะพบว่า เมื่อครั้งมีการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งฯเยอรมันนั้น ได้ใช้เวลายาวนานในการรวบรวมและวิเคราะห์สกัดแก่นในประเด็นพิพาทต่างๆ เช่น ครอบครัว ทรัพย์สิน มรดก สัญญา ฯลฯ จนได้หลักการในแต่ละเรื่องว่า ประมวลกฎหมายของเยอรมันจะเลือกใช้วาทกรรมใด จากวาทกรรมท้องถิ่นในเรื่องนั้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น    เช่น   ใน 10 พื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยๆในอาณาเขตปรัสเซีย มีการพูดเรื่องมรดกไป 10 ทิศทาง   ประมวลแพ่งฯของเยอรมันจะเลือกเอาแนวทางของแคว้นบาวาเรีย เป็นหลักในประมวล เป็นต้น   ดังนั้น จึงมีช่องว่างให้เกิดกรณี เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ขึ้นนั่นเอง 

เมื่อย้อนกลับมาที่ประเทศไทย เรื่องใดบ้างที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทยยอมรับจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ก็เห็นจะเป็น เรื่องจารีตประเพณีอิสลามเรื่อง ครอบครัว ทรัพย์สิน และมรดกของพี่น้องมุสลิมในพื้นจังหวัดชายแดนใต้   ซึ่งอนุญาตให้นำหลักกฎหมายศาสนาอิสลาม และโต๊ะอิหม่ามทำหน้าที่ผู้พิพากษาผู้ชำนัญการ  กับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในระหว่างพี่น้องมุสลิมในพื้นจังหวัดชายแดนใต้   ส่วนจารีตประเพณีอื่นๆ ยากที่จะได้รับสถานะจากกฎหมายไทย เช่น การจัดการทรัพยากรของชาติพันธุ์ต่างๆในที่สูง เรื่องครอบครัวทรัพย์สินของคนเชื้อสายจีน หรือคนเหนือ/อีสาน ฯลฯ

เมื่อดูปรากฏการณ์นี้จะเห็นว่า ประมวลกฎหมายของรัฐ เป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดความเปลี่ยนแปลงในอาณาเขตอำนาจของรัฐไทย  โดยใช้พลังทางกฎหมายและอำนาจรัฐเข้าไปบังคับสลายความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศไทย  

ผลที่เกิดขึ้น คือ มีหลายกรณีที่กฎหมายไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนหลายพื้นที่   เช่น กรณีป่ารุกคน  ซึ่งกฎหมายป่าไม้และอุทยานไทยได้ขีดเส้นกำหนดเขตป่าสงวนทับพื้นที่ไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่กับป่าเขาและน้ำมานับร้อยๆพันๆปี   หรือการล่มสลายของระบบกงสีเพราะไม่มีกฎหมายรับรอง  หรือ ลูกคนสุดท้องที่ดูแลพ่อแม่ไม่รับความเป็นธรรมเมื่อแบ่งมรดกหลังจากพ่อแม่ตายเพราะกฎหมายแพ่งฯบอกให้แบ่งเท่ากัน

ความยุ่งยากเหล่านี้ได้มีการพยายามแก้ไขโดยนำเรื่องการ บังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับ กติกาที่ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้นในพื้นที่เดียวกัน หรือที่เรียกว่า  “พหุนิยมทางกฎหมาย”  คือ ในเรื่อง ครอบครัว/มรดก ประมวลแพ่งฯ บอกให้แบ่งเท่ากัน  จารีตประเพณีคนภาคเหนือกลับบอกให้น้องคนสุดท้องที่ดูแลพ่อแม่มากสุด   ธรรมเนียมกงสีจีนอาจบอกให้พี่ชายคนโตดูแลแทนคนทั้งตระกูล เป็นต้น   จะเห็นว่ามีจารีตประเพณีซ้อนกับกฎหมายอยู่ แต่ในปัจจุบัน กฎหมายใหญ่สุด ทุบจารีตประเพณีแบนติดดิน

ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐยิ่งยุ่งยากเพราะอำนาจถูกดึงไปอยู่ในมือรัฐ เช่น กรณีกฎหมายดิน น้ำ ป่า   จึงเกิดกระแสการผลักดันให้ชุมชนกลับมามีอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรตามวิถีชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นนั้น   จนเกิดการบัญญัติเรื่อง “สิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” ในรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นแต่ยังไม่มีกฎหมายระดับ พระราชบัญญัติมารองรับคัดง้างกับกฎหมายป่าสงวน อุทยาน ของรัฐ   ในปี 2550 ได้มีการขยายการส่งเสริมสิทธิชุมชนเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญให้ครอบคลุม “ชุมชน” โดยไม่ต้องออกกฎหมายลูกมารองรับอีก  

แต่ก็ไม่ง่ายเลย เนื่องจากเมื่อชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปเก็บเห็ด เก็บหน่อ หรือทำไร่หมุนเวียนตามวิถีชีวิต ที่เก็บด้วย บำรุงรักษาด้วย กลับถูกจับกุมคุมขังด้วยกฎหมายระดับพระราชบัญญัติของรัฐเกี่ยวกับป่าสงวนและอุทยาน ทั้งที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่มีศักดิ์สูงกว่า พรบ.  

ซ้ำร้ายแม้มีการตัดสินในศาลชั้นต้นยกฟ้องชาวบ้านที่ใช้สิทธิชุมชน ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้ลงทาประชาชนตามคำฟ้องของรัฐ โดยมองข้ามการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และมิได้เข้าใจการนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลชั้นต้นที่ได้นำสืบผู้ที่เข้าไปฝังตัวศึกษาระบบไร่หมุนเวียนนับสิบปี จนเห็นแล้วว่าเป็นวิธีการใช้สอยและอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน มิใช่การพัฒนาแบบเผาผลาญดังคำกล่าวหาว่า “ไร่เลื่อนลอย” ต่างจากลูกไร่ข้าวโพดพันธะสัญญาของบรรษัทใหญ่ กลับไม่ถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งที่รุกป่าขนานใหญ่จนเป็นสาเหตุของหมอกควันในภาคเหนือ และน้ำท่วม ในที่ลุ่มภาคกลาง

เมื่อความโกลาหลมาเยือน คงต้องกลับมาคิดและแยกยะกันอีกครั้งว่า จารีตประเพณีใดที่ต้องนำกลับมาใช้อีกครั้ง เพราะสังคมไทยซับซ้อนเกิดกว่าเงื้อมมือของผู้มีอำนาจกลุ่มเล็กๆที่ต้องการทำลายรัฐธรรมนูญของคนทั้งชาติตามใจชอบ

แต่ก็ต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตและข้อมูลของกลุ่มคนไร้อำนาจที่ถูกบดขยี้ด้วย กฎหมายบ้านเมืองที่ตนมิได้มีส่วนร่วมสร้างมาตั้งแต่ต้น แต่กลับต้องมาเหยื่อของการสถาปนารัฐสมัยใหม่

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม