เรื่องนี้เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของน้องคนหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ทำให้ครอบครัวเค้าสูญเสียทุกอย่างไป น้องได้ลำดับเรื่องราวให้ฟังว่า
"เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อครอบครัวข้าพเจ้าเปิดกิจการโรงแรมชื่อดังอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ในคืนเกิดเหตุพ่อข้าพเจ้าได้พูดคุยธุรกิจอยู่กับผู้ที่มาติดต่อในเวลาดึกพอสมควรเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นส่วนและการควบรวมกิจการโรงแรม ส่วนข้าพเจ้าและแม่นอนพักแยกอยู่ภายในห้องพักด้านหลังโรงแรม แต่มีเสียงหนึ่งทำให้เราสามคนตื่นมาดู นั้นคือเสียงปืนดังลั่นอยู่หลายนัด แม่และข้าพเจ้าตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น และเป็นห่วงด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ จึงรีบลุกขึ้นเพื่อจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เปิดประตูออกไปดูก็พบว่าพ่อมีเลือดอาบทั่วทั้งตัว แม่รีบพาพ่อไปส่งโรงพยาบาล โชคดีที่พ่อรอดชีวิตมาได้ แพทย์สรุปอาการว่าพ่อถูกยิงเข้าร่างกายทั้งหมด 11 นัด
หลังจากวันนั้น แม่ได้พยายามดำเนินการทุกอย่างเพื่อหาผู้ให้ตำรวจจับตัวคนที่ยิงพ่อมาลงโทษ โดยแม่ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจอย่างรวดเร็วหลังเกิดเหตุการณ์ไม่นาน ตำรวจก็มาที่โรงแรมแล้วก็กลับไปโดยบอกว่า จะรวบรวมพยานหลักฐานแล้วจับตัวคนร้ายมาให้ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าหน้าที่จะทำสุดความสามารถ ให้ดูแลครอบครัวกันให้ดี ถ้ามีความคืบหน้าอะไรจะแจ้งให้ทราบทันที
กระบวนการก็เดินไปเรื่อยๆ ตำรวจจับตัวคนที่พอบอกว่ายิงมาไม่ได้ ตำรวจอ้างว่าไม่มีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ถึงจับมาได้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ครอบครัวข้าพเจ้าประหลาดใจมากว่า ทั้งๆที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในบ้านและพ่อข้าพเจ้าก็เป็นคนถูกยิงเอง ทำไมต้องมีพยานบุคคลอื่นมายืนยันเพิ่มเติมเอง ลำพังคำยืนยันจากพ่อไม่เพียงพอหรืออย่างไร ในช่วงแรกๆก็เข้าใจได้เพราะพ่ออยู่ห้อง ICU อาการสาหัสมากยังไม่อาจลุกมาให้ปากคำและบอกว่าใครเป็นคนยิง แต่หลังจากพ้นอาการโคม่าแล้ว พ่อก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกอย่างเพื่อสืบหาคนร้ายมาให้ได้
แต่สุดท้ายตำรวจไม่อาจตามคนร้ายที่ระบุได้ โดยให้เหตุผลว่าคนร้ายกลุ่มที่บอกว่ามาคุยธุรกิจกับพ่อนั้นได้หายไปจากพื้นที่แล้ว การพยายามติดตามนอกพื้นที่ก็ประสานงานอยู่แต่ยังไม่พบตัว จะพยายามตามตัวให้ได้ก่อนถึงจะเริ่มดำเนินคดีทางกฎหมายได้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ครอบครัวของข้าพเจ้าต้องอยู่ในความหวาดผวาเพราะไม่รู้ว่าคนร้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายอีกหรือไม่ อีกทั้งยังรู้สึกหดหู่กันต่อไปเพราะเป็นคนที่รอการพิจารณาคดี แต่กระบวนการทางกฎหมายไม่อาจหาผู้กระทำผิด และดำเนินการลงโทษใครได้เลย รวมถึงยังไม่สามารถสืบหาต้นตอของเรื่องว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงต้องมายิงพ่อทั้งที่มาคุยธุรกิจกัน
ด้วยความกลัวจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำสองเพราะพ่อเริ่มระแคะระคายว่าจริงๆแล้วคนที่มาติดต่อธุรกิจอาจเป็นเพียงหน้าฉากของคนที่ต้องการฮุบกิจการของพ่อ คนที่พ่อสงสัยว่าอยากฆ่าพ่อเพื่อแย่งโรงแรมไปจริงๆน่าจะเป็น หุ้นส่วนคนอื่นๆซึ่งเป็นเพื่อนๆของพ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น และมีเส้นสายกับคนมีสีหลายกลุ่มทำให้คดีไม่คืบหน้า หากพ่อและครอบครัวยังอยู่ในเกานี้ต่อไปอาจจะถูกฆ่าล้างครอบครัวหรือจับใครไปข่มขู่เพิ่มเติมอีก ครอบครัวเราจึงประกาศขายกิจการในราคาที่แทบจะไม่เหลืออะไรให้เราไปทำกิจการโรงแรมอีกเลย
ก่อนที่จะย้ายออกจากเกาะ เดินทางไปเรื่อยๆ จนมาประกอบกิจการร้านอาหารเล็กๆที่เกาะเล็กๆอีกแห่งอื่น เพราะพ่อทำงานหนักไม่ได้จากอาการสั่นและแขนไม่มีแรงอันเกิดจากคมกระสุนที่ตัดเส้นประสาทและเอ็นบางจุด การใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่เหมือนเดิม ต้องใช้เงินในการดูแลรักษาร่างกายต่อมาเรื่อยๆเป็นจำนวนไม่น้อยเลย จนวันหนึ่งพ่อได้เปิดหนังสือพิมพ์เจอข่าวรับสมัครงานที่ต่างจังหวัด ครอบครัวเราจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดด้วยกันเพื่อหนี เพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก และต้องการความสงบสุขในชีวิตมากกว่ากังวลว่าใครจะมาทำร้ายอีก
เมื่อจนถึงวันนี้ กฎหมายก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ไม่สามารถจับผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ เวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี ความทรงจำทีเจ็บปวดของครอบครัวก็ค่อยๆเลือนรางไป กฎหมายก็คงจะลืมคดีที่ครอบครัวของข้าพเจ้าต้องประสบไปแล้วเช่นกัน"
วิธีแก้ไขของครอบครัวข้าพเจ้าในตอนนั้นก็ทำได้แค่ “หนี” ความกลัวส่งผลให้ครอบครัวข้าพเจ้าต้องทิ้งทุกอย่างทีมี ทั้งกิจการที่สร้างเนื้อสร้างตัวกับครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้อง ทุกอย่าง ที่เราต้องจากมากะทันหันและปิดบังความเคลื่อนไหว จนคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ว่าครอบครัวเราอยู่ที่ไหนเพื่อความปลอดภัยของชีวิต ทั้งหมดของชีวิตที่ต้องพเนจรไม่มีหลักไม่มีฐาน ก็เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตครอบครัวเราต้องเจอ และไม่มีใครช่วยอะไรเราได้เลย
วิเคราะห์ปัญหา
1. การยิงผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นความผิดทางกฎหมายหรือไม่ จะต้องได้รับโทษมากน้อยเพียงไหน
2. กระบวนการในการติดตามผู้กระทำมาดำเนินคดีมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ใครต้องเป็นผู้ดำเนินการ และผู้เสียหายต้องทำอย่างไร
3. ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่สั่งฟ้องคดี ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีได้เองหรือไม่
4. หากคดีไม่คืบหน้าผู้เสียหายสามารถร้องเรียนให้หน่วยงานใดติดตามความคืบหน้าของคดีได้หรือไม่
5. หากครอบครัวและผู้เสียหายรู้สึกอันตรายและเกรงว่าจะถูกทำร้าย สามารถเรียกหาการคุ้มครองจากรัฐได้หรือไม่
6. ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเรียกร้องให้มีการเยียวยาได้หรือไม่ อย่างไรบ้าง
การนำกฎหมายมาแก้ไข
1. การยิงผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นความผิดทางอาญา หากดูจากบาดแผล 11 นัดจากอาวุธปืนจะถือเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ไม่ใช่ทำร้ายร่างการ จะต้องได้รับโทษหนักถ้าพิสูจน์ว่ามีการวางแผนล่วงหน้า
2. โดยทั่วไปกระบวนการในการติดตามผู้กระทำมาดำเนินคดีนั้นเริ่มขั้นตอนโดยผู้เสียหายไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครอง แล้วเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นผู้ติดตามผู้กระทำผิดและสืบสวนสอบสวนเพื่อรวบรวมหลักฐานมาทำสำนวนฟ้องต่อไป
3. ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ และอัยการไม่สั่งฟ้องคดี ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีได้เองโดยจ้างทนายขึ้นมาโดยขอหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ หรือรวบรวมเอง เพื่อฟ้องต่อศาลได้โดยตรง
4. หากคดีไม่คืบหน้าผู้เสียหายสามารถร้องเรียนให้กลไกต่างๆที่สร้างขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าทีรัฐได้
5. หากครอบครัวและผู้เสียหายรู้สึกอันตรายและเกรงว่าจะถูกทำร้าย ในกรณีนี้อาจแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐทราบ หรือร้องขอโดยตรงไปยังกรมคุ้มครองพยาน และสามารถย้ายครอบครัวไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและมีงานทำได้ด้วย
6. ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเรียกร้องให้มีการเยียวยาได้ตั้งแต่การทำสำนวนฟ้องคดี โดยให้เสนอค่าเสียหายไปในสำนวนได้ เพื่อให้อัยการนำสืบและขอให้ศาลอาญาสั่งให้ชดเชยค่าสินไหมทดแทน และยังสามารถเรียกค่าเยียวยาเบื้องต้นจากกองทุนยุติธรรม
ช่องทางเรียกร้องสิทธิ
1. การฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ เพื่อดำเนินคดีอาญา
2. คณะกรรมการประจำสถานทีตำรวจนั้น หรือคณะกรรมการระดับชาติได้ หรือแจ้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยมาตรการขั้นเด็ดขาดคือการฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ (ป.ป.ช.)
3. ปัจจุบันสามารถเรียกหาการคุ้มครองจากกรมคุ้มครองพยาน กระทรวงยุติธรรม
4. ค่าเสียหายและการเยียวยาขอให้ศาลอาญาสั่งให้ชดเชยค่าสินไหมทดแทนได้ และยังสามารถเรียกค่าเยียวยาเบื้องต้นจากกองทุนยุติธรรม
สรุปแนวทางแก้ไข
ใช้หลักคดีความผิดต่อชีวิตทางอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และกระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายและพยาน ซึ่งกรณีนี้หากได้แจ้งความให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีแล้วไม่คืบหน้า อาจร้องไปยังกองปราบและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเร่งรัดคดี หรือร้องเรียน ปปช. ปัจจุบันมีกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่ให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อในคดีอาญาและมีกองทุนฯซึ่งสามารถช่วยเหลือเบื้องต้น รวมถึงขอเข้าโครงการคุ้มครองพยานได้อีกด้วย หากตำรวจและอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็อาจแต่งตั้งทนายให้ฟ้องคดีต่อศาลได้เองเพื่อเอาผิดต่อผู้ร่วมกระทำผิดและให้ชดเชยสินไหมทดแทนด้วย