Skip to main content

เวลาคนทะเลาะกัน จะหาทางออกอย่างไร ? 

หากไม่คิดอะไรมากมาย ก็ต่อยกัน สู้กันให้ยอมแพ้กันไปข้าง แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอาจกลับไปหาพรรคพวกมาเอาคืน เมื่อเกิดความสูญเสียก็จะเกิดความแค้นฝังแน่นในใจ หากมีลูกหลานมาเห็นพ่อแม่ตายต่อหน้าต่อตาก็คงกอดศพแล้วร้องว่า   ใครฆ่าพ่อข้า ใครฆ่าแม่ข้า!   แล้วใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อล้างแค้น

คุ้นกันใช่ไหมครับ ที่คือ จุดกำเนิดของวรรณกรรมสุดคลาสสิก ทั้งไทย จีน และเทศ ที่สามารถสร้างภาคต่อไปได้ไม่สิ้นสุด เพราะความแค้นเป็นเชื้อเพลิงในการดิ้นรนมีชีวิตเพื่อเอาคืน แต่มันไม่จบแค่นั้นเพราะอีกฝ่ายที่สูญเสียก็จะกลับมาฆ่าฟัน   แล้วความสงบสุขและสันติภาพจะเกิดได้อย่างไร   มีเพียงสังคมที่เปราะบางรอวันแตกหักก็เท่านั้น

สันติภาพที่แท้จริง จึงต้องเกิดจากการดับแค้น ซึ่งประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความโกรธเกลียดชังจะบรรเทาได้ก็ต่อเมื่อได้รับ ความยุติธรรมและเยียวยาเสียก่อน   จนกว่าฝ่ายที่เสียหายจะรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมจึงจะผ่อนคลายความคับแค้นและให้อภัยกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมแก่คนที่ตนรัก   แต่สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น คือ “การยอมรับผิด” และ “ขอโทษ”   ของผู้กระทำผิด

หากแต่ในความเป็นจริง ยากยิ่งที่ผู้กระทำผิดจะยอมรับในสิ่งที่ตนทำไว้ เพราะจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามมามากมาย   ดังนั้น   การสร้างรัฐขึ้นมา ก็เพื่อสร้างระบบพิสูจน์ว่า ใครถูก ใครผิด แล้วตัดสินลงทัณฑ์คนทำผิด พร้อมทั้งกำหนดการชดเชยความเสียหายให้กับเหยื่อ

ศาลและตุลาการ จึงมีความสำคัญมากในการ “ดับวงจรแห่งความแค้น” ที่จะสร้างความรุนแรงสั่นคลอนสังคมต่อไป   เอาง่ายๆ ครับ ถ้าคนที่สั่งฆ่าประชาชนยังไม่ได้รับโทษทางอาญา ญาติผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับการเยียวยา   เรื่องมันจะจบหรือไม่ครับ   กระบวนการยุติธรรมจึงเป็นกุญแจถอดสลักความขัดแย้งที่ยั่งยืนครับ   ศาลและตุลาการจึงมีความสำคัญมาก บทบาทของศาลและตุลาการจึงเป็นที่จับตามองจากสังคม

เราลองมาดูกันนะครับว่า ศาลจะลดความร้อนแรงของความขัดแย้งลงได้ไหม และสังคมจะยอมรับผลของการตัดสินได้อย่างไร

 

ความยุติธรรมที่มาช้าคือความอยุติธรรม: ระยะเวลาดำเนินคดี

                สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ระยะเวลาในการดำเนินคดีต่างๆ   หากฝ่ายหนึ่งกระทำความผิดแล้วได้อยู่นอกคุกลอยนวลเป็นเวลานาน แต่อีกฝ่ายถูกควบคุมตัวล่วงหน้าแล้วส่งไปดำเนินคดีในศาลทันที   ถึงขนาดที่ว่าฝ่ายหนึ่งถูกจำคุกจนออกมาแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่ถูกดำเนินคดีในชั้นศาลเลย   แล้วอย่างนี้จะให้สังคมคิดเห็นอย่างไรกับ ความล่าช้า   เพราะความยุติธรรมที่มาช้าก็คือสาเหตุของความรู้สึกไม่เป็นธรรมนั่นเอง

 

อาวุธที่เท่าเทียมกัน: กระบวนการดำเนินคดีที่ดี

                ในการต่อสู้คดี จริงอยู่ที่ผิดถูกอยู่ที่การวินิจฉัยชี้ขาดของตุลาการ   แต่สิ่งที่ศาลต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน คือ สิทธิในการต่อสู้คดี เช่น ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกไปเตรียมตัวสู้คดี การให้เวลาในการเตรียมสำนวน และแสวงหาพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ และโอกาสในการแสวงหาทนายความที่ดี   หากพบว่า มีเพียงฝ่ายหนึ่งที่ได้รับการปล่อยตัว ทั้งที่คดีซึ่งทั้งสองฝ่ายเผชิญเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงเหมือนกัน หรือเป็นโทษทางอาญาฐานเดียวกัน แต่อีกฝ่ายโดนขังไว้เพราะบอกว่ากลัวหลบหนีจนตายคาเรือนจำ แต่อีกฝ่ายกลับสบายตัวอยู่นอกคุกทั้งที่ต้องข้อกล่าวหาประเภทเดียวกัน   แล้วสังคมจะรู้ได้อย่างไรว่า “ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” นั้นมีจริง ในเมื่อศาลมิได้หยิบยื่นเครื่องมือที่เท่าเทียมกันให้กับทุกฝ่าย

 

สองมาตรฐาน: ผลคำพิพากษาในคดีประเภทเดียวกัน แต่ดำเนินคดีกับคนละกลุ่ม

                สิ่งที่โหดร้ายเกินกว่ารับได้ที่สุด เห็นจะเป็นผลคำตัดสนในคดีแบบเดียวกัน มีเนื้อหาและการกระทำแบบเดียวกัน  แต่มีเพียงฝ่ายหนึ่งได้รับผลร้าย  ส่วนอีกฝ่ายลอยนวลไปอย่างไร้กังวล   ความเจ็บแค้นต่อคำตัดสินที่เห็นได้ชัดว่า ตุลาการมิได้ให้ “คำตอบ” เดียวกันกับ “คำถาม” แบบเดิม   ย่อมทำให้หัวใจของฝ่ายที่เสียประโยชน์พุพองเป็นหนอง ยากจะเยียวยาได้   มีเพียงการสร้างบรรทัดฐานการตัดสินคดีที่สม่ำเสมอ มีมาตรฐานตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ล่วงหน้า ถึงขนาดที่คาดเดาได้ว่า ถ้ากระทำการแบบเดียวกันจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน เท่านั้นที่จะทำให้ ความมั่นคงทางสังคมกลับคืนมา และเสถียรภาพทางการเมืองจึงจะเกิด

 

อคติบังตา: การกำหนดธงคำพิพากษาล่วงหน้า

                สืบเนื่องจากเรื่องคำพิพากษา มีบางคดีที่ข้อเท็จจริงแทบไม่ต่างกัน แต่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งถูกพิพากษาให้ล่มจมไป ส่วนอีกฝ่ายกลับหลุดรอดไปได้ จนชวนสงสัยว่า กฎหมายมันบิดพลิ้วไปได้เรื่อยๆหรือ    ขอย้ำว่า กฎหมายต้องได้คำตอบเดิมเสมอหากข้อเท็จจริงเหมือนกัน หากยังใช้กฎหมายเดิม   แต่เรากลับพบ “ความลับ” แห่งจักรวาลว่า สาเหตุที่คำตัดสินไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานเดิม เพราะมีคลิปออกมาว่า ตุลาการวาง “ธงคำตอบ” ไว้ล่วงหน้า   ทั้งที่กฎหมายบอกเสมอว่า ต้องให้วิธีการนำมาซึ่ง “ผล”   มิใช่กำหนด “ผล” แล้วจึงไปชักแม่น้ำทั้งห้ามาสนับสนุน   มิเช่นนั้นนักกฎหมายและตุลาการก็จะถูกสังคมเหยียดหยามว่าเป็น คนกะล่อนปลิ้นปล้อนแบบ ศรีธนญชัย  

 

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง: จริยธรรมของผู้พิพากษา กับ เรื่องอื้อฉาว

สิ่งสำคัญเป็นอย่างมากในการดำรงสถานะอันสูงส่งของ ศาล และผู้พิพากษา คือ การครองตนเป็นผู้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอาตำแหน่งแห่งที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์   เพราะคนจะกล่าวหาเอาได้ว่า ความซื่อตรงเป็นไม้บรรทัดนั้นถูกหักงอ กลายเป็นคดในข้อ งอในกระดูก  กรณี ตุลาการบางคนที่ดำรงตำแหน่งสูงเข้าไปพัวกัน กับ จดหมายน้อยที่ติดต่อประสานงานให้คนรู้จักได้เลื่อนตำแหน่ง โดยอาศัยอำนาจบารมีที่มาจากบารมีนั้น ทำลายความเชื่อมั่นของสังคมต่อวงการตุลาการเป็นอันมาก   หากแต่ต้องชื่นชมตุลาการคนตรงทั้งหลายที่ไม่ยอมให้ใครมาทำลายเกียรติ ด้วยการยืนหยัดตรวจสอบและรักษาหลักการแม้จะต้องเสี่ยงต่อภัยที่มองไม่เห็น   การพยายามล้มกระบวนการสอบสวน โดยจะแอบอิงอำนาจของคณะรัฐประหารเพื่อยุติการหาความจริง อาจทำให้ “ตุลาการผู้นั้น” รอดตัว  แต่ทำให้สถานะตุลาการและศาลเสื่อมเพราะคนคนนั้น

 

คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น: ที่มาของผู้พิพากษาไทย กับ เครือข่ายชนชั้นนำ

ความอิสระ ไม่ข้องเกี่ยวมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น ดุจดั่ง เปาบุ้นจิ้นที่ตัดสินคดีโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ย่อมส่งผลให้คนที่ได้รับผลร้ายผลเสียจากคำพิพากษาเถียงไม่ออก เพราะศาลบอกได้ว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร   แต่ตุลาการที่เป็นผู้สร้างกฎหมาย ในฐานะ สสร. รธน.2550  ซึ่งมาจากการแต่งตั้งด้วยคณะรัฐประหาร 2549 แล้วเข้ามาเป็นตุลาการศาล ตามรธน. 2550 นั้นย่อมทำให้ประชาชนเห็นเครือข่ายที่โยงใยกันไม่มากก็น้อย   ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ถูกสร้างมาปกป้องรัฐธรรมนูญ ตาม ม.68 รธน.2550 แต่ศาลรัฐธรรมนูญพิสูจน์จนถึงบัดนี้แล้วว่ามิได้พิทักษ์รัฐธรรมนูญจากรัฐประหาร แถมยังคงรับบุญคุณด้วยการดำรงตำแหน่งและรับสิทธิประโยชน์เต็มต่อไปแม้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้ว เท่ากับเป็นการยอมรับการทำลายรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เคยใช้มาตรา 68 ชี้ว่า การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้มี ส.ว.เลือกตั้ง เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ    ประชาชนผู้เสียภาษีเพื่อหล่อเลี้ยงศาล คงคิดเรื่องความคุ้มค่าในราคาแพงมหาศาลต่อไป

 

ฤายศจะล่มแล้ว: อำนาจและบทบาทที่เพิ่มขึ้น กับ ความชอบธรรมที่ลดลง

                บรรพตุลาการทั้งหลายที่ได้รักษาสถานะของศาลไทยให้ปลอดจากภัยแม้ต้องเผชิญกับคลื่นลมแรงของการเมืองไทยมานับร้อยปี ก็เนื่องด้วยจัดวางตนให้พ้นไปจากวังวนของอำนาจทางการเมือง   แต่จะด้วยสถานการณ์พลิกผัน ทำให้รัฐธรรมนูญ 2550 ชักนำคนในวงการตุลาการเข้าสู่องค์กรอิสระที่มาตัดสินคดีทางการเมือง และนำคดีที่เกี่ยวข้องกับส่วนได้เสียทางการเมืองสาดซัดเข้าหาศาลเป็นอันมาก   ย่อมชี้ให้เห็นแล้วว่า  แนวทางที่ปูชณียบุคคลในองค์กรตุลาการวางไว้นั้น น่าจะนำกลับมาพิจารณาและสมาทานกันอีกครั้ง   เพราะเมื่อมีเสียครหาต่อศาลและตุลาการท่านใด ศาลใด ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของศาลเสื่อมทรามไปทั้งระบบ   แม้มีผู้พิพากษาบางส่วนไม่เห็นด้วยกับความไม่ถูกต้อง และเรียกร้องให้ผู้ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะสร้างความเสียหายต่อองค์กรศาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ   แต่ก็เป็นเพียงกรณีหนึ่งซึ่งไม่ควรนอนใจว่า หากโครงสร้างของศาลยังถูกลากเข้ามาในความขัดแย้งทางการเมืองจะต้องถูกคลื่นโหมซัดอีกเท่าไหร่   การวางตนให้เป็นอิสระ หลุดพ้นไปจากการเมือง ย่อมเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า


ความกลัวทำให้เสื่อม: ศาลกับการยึดโยงกับประชาชน ด้วย ข้อหาหมิ่นฯศาล ละเมิดอำนาจศาล

                เมื่อศาลมีบทบาทมาก และการทำหน้าที่ทำให้มีคนได้รับผลร้ายจากคำพิพากษา ความเจ็บปวดเสียหายที่ตามมาย่อมผลักดันให้คนเหล่านั้น ระบายความทรมานออกมาก่อนที่อกแตกตาย   แต่สิ่งที่ได้รับ คือ ข้อหาหมิ่นฯศาล แม้สังคมเสนอว่า ศาลไม่มีองค์กรใดตรวจสอบการทำงาน มีเพียงเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ศาลเท่านั้นที่จะช่วยตรวจสอบการทำงานศาลได้  ประชาชนและสังคมขอแสดงความคิดเห็นบ้าง   แต่ข้อควรระวัง คือ ข้อหาละเมิดอำนาจศาล ที่บันดาลให้เกิดความเงียบ   แต่เป็นความเงียบที่เซ็งแซ่   ความสงบราบคาบที่เดือดระอุ   และยังไม่นับรวมการปล่อยให้ประชาชนพลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารอีกประการ   ศาลยุติธรรมควรแสดงความกล้าหาญในการออกมาปกป้องสิทธิของประชาชน และไม่ยอมให้ใครพรากสิทธิธรรมในการอำนวยความยุติธรรมไป

 

อย่างที่เรารู้ว่า ผู้ตัดสินที่ตลกและทำให้เกิดการลุ้นและความมันส์ในการติดตาม คือ กรรมการมวยปล้ำ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ทันเกมส์  ชักช้า หรือที่เลวร้ายมาก คือ เข้าข้างฝ่ายอธรรม ทำให้ฝ่ายธรรมะต้องพ่ายแพ้ไปอย่างค้านสายตาผู้ชม   ทำให้ผู้คนคิดว่าไม่ต้องมีกรรมการเสียเลยดีกว่า หากต้องการชัยชนะ ให้ใช้กำลังแย่งชิงมาเสียเลย  

 

แต่สังคมจริง หากมีการใช้กำลังช่วงชิงชัยชนะกันเสียแล้ว   ความสูญเสีย ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น  และทำให้วังวนแห่งความคั่งแค้นฝังลึก ผลิตคนรุ่นใหม่ออกมาขับวงล้อแห่งการแก้แค้นสืบไปในอนาคต

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม