Skip to main content

เมื่อถึงเทศกาลสำคัญที่ทุกคนได้ปลดปล่อยกันสุดเหวี่ยงอย่างสงกรานต์   คนจำนวนมากก็เลยถือโอกาสเมาหัวทิ่มมันทุกวันเช้ายันเช้ามืดอีกวันหนึ่ง ตื่นมาก็กินต่อ   ไม่แค่นั้นความสุขทุกรูปแบบที่นึกได้ก็จะหามาปรนเปรอตัวเองให้สนุกสุดเหวี่ยง   ถ้าออกไปนอกบ้านก็จะเจอสงครามสาดน้ำและลูบแป้งอย่างบ้าคลั่ง ก็คิดกันไปได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวของปีที่จะได้จับหน้าลูบตัวสาวๆสวยๆได้เต็มที่ เพราะทั้งปีได้แต่มองจับต้องไม่ได้เพราะเงื่อนไขของสังคม ต้องอาศัยโอกาสนี้ล่ะเข้าไปฉีดน้ำจุดสำคัญและยังนำแป้งไปจับต้องเนื้อกาย บางกลุ่มทำได้ถึงขนาดไปรุมล้อมจับจูบลูบคลำกันจนเป็นเรื่องราววุ่นวายเพราะสติหายเหลือแต่ความคึกคะนองเพราะมึนเมาและติดลมไปแล้ว   แม้จะเก็บตัวอยู่กับบ้านก็ไม่วายต้องอยู่กับเพื่อนบ้านบางคนที่ขนเอาเครื่องเสียงและญาติสนิทมิตรสหายมาจัดงานเลี้ยงกินเหล้าเมายากันดังสนั่นหวั่นไหว   จนกลายเป็นว่าช่วงสงกรานต์นี้คนที่รักความสงบสุขทั้งหลายต้องเตรียมกายเตรียมใจและวางแผนพักผ่อนไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นอาจมีปัญหาแบบที่ครอบครัวต่อไปนี้เจอเข้าไปถึงสองต่อนะครับ

“เมื่อเทศกาลสงกรานต์ปีที่แล้ว ในวันทำซุ้มของคณะเพื่อรวมคนรุ่นพี่รุ่นน้องกลับมาเล่นน้ำด้วยกันนั้น พบว่าฝั่งตรงข้ามก็มีซุ้มเยื้องอยู่ ซึ่งใครๆต่างก็มองว่าเป็นซุ้มพวกแก๊งอันธพาล ผมจึงชวนเพื่อนๆ เขยิบซุ้มหนีออกไปหน่อยเพื่อป้องกันเรื่องเดือดร้อนรำคาญที่จะเกิดขึ้นได้  พอถึงวันนั้นก็มีการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความสนุกสนานและเครื่องเสียงของรถที่ผ่านไปมาบวกกับร้านขายของข้างๆก็ดั่งกระหึ่มปลุกเร้าอารมณ์จนคนออกมาโยกๆๆๆ กันมากมายละลานตาไปหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เนื้อตัวก็เปียกน้ำเสื้อผ้าลู่เรียบติดกับผิวหนัง จนมีการกระทบกระทั่งของวัยรุ่นแถวนั้นเป็นพักๆเพราะมีวัยรุ่นของอีกฝ่ายเข้ามาสาดน้ำเอาแป้งมาลูบหน้าลูบตัวๆสาวๆของอีกฝ่าย จนต้องแยกย้ายกันไปบางช่วง   ผ่านไปสักพักก็เอาใหม่ยิ่งตกบ่ายๆร้อนๆ คนก็ยิ่งออกมาเล่นน้ำกันคับคั่งและแต่ละฝั่งก็มาโชว์เต้นยั่วยวนแข่งกันไปมา  

จนประมาณบ่าย 3 โมง ก็มีขวดเบียร์ขว้างปามาที่ซุ้มพวกเรา พอหันไปก็มองเห็นว่ามีคนจากซุ้มตรงข้ามเดินมาทีซุ้มเรา  1  คน แล้ววิ่งเข้ามาต่อยรุ่นพี่คนหนึ่งของผม เพื่อนของพี่อีกคนจึงวิ่งเข้าไปช่วย พร้อมกับพวกเรา ผมซึ่งเห็นกลุ่มคนในแก๊งนั้นถือมีดดาบประมาณดาบซามูไร ฟันลงที่หลังพี่คนที่เข้าไปช่วยเพื่อน ซักพักจึงมีตำรวจเข้ามาห้าม  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไปที่โรงพักเพื่อไปให้ชี้ตัวผู้ต้องหา แต่พอหลังจากที่เข้าไปในห้องชี้ตัวแล้ว พี่ผมที่เข้าไปกลับออกมาจึงพูดให้ฟังว่า ตำรวจพูดประมาณว่า “เราพอจะยอมๆ กันได้ไหม”   พี่ผมซึ่งไม่ยอมตำรวจจึงให้ไปชี้ตัวอีกครั้ง พี่ผมตอบและชี้ด้วยความมั่นใจ แต่ตำรวจก็ยังซักถามพร้อมกับพาตัวผู้ต้องหาออกมาด้วย ทำให้พวกเราคิดว่าตำรวจจะปกป้องพยานไม่ให้ผู้ต้องหาเห็นหน้าพยานไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมกลับพาเขาออกมาให้เห็นหน้าพวกผมซึ่งเป็นพยาน จนพวกเรารู้สึกว่าตำรวจที่มารับเรื่องนี้เป็นญาติกับคนที่มีเรื่องกับพวกผม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดความไม่เป็นธรรมที่ผมเจอเข้ากับตัวเอง 

ผมและพวกพยายามเรียกนายตำรวจคนอื่นๆมาฟังเรื่องหรือรับรู้เรื่องราวด้วย ให้ได้รับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของพวกเขาเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้นายตำรวจคนนี้ทำแบบนี้อีก เพราะการกระทำเขาเป็นการแสดงความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ซึ่งพวกผมรู้ว่าพวกเขากับตำรวจคนนี้เป็นญาติกันหลังจากมีอีกกรณีเกิดขึ้นตามมาเมื่อเรากลับไปที่บ้านแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากคุณอาข้าพเจ้าโดนข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และต้องมาเจอกับตำรวจคนเดิมที่สถานีเดิมอีก

เนื่องจากตอนค่ำของวันนั้น เพื่อบ้านได้จัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเหริกเพราะช่วงกลางวันเขามีการรวมญาติกันไปแล้ว พอลูกหลานพาคนเฒ่าคนแก่กลับไปส่งบ้านหมด พวกเขาก็เริ่มเปิดลานหน้าบ้านให้กลายเป็นงานเทศกาลย่อยไปเลยทีเดียว มีทั้งเวทีขนาดย่อม เครื่องเสียงขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารวางเรียงรายให้คนนั่งกินนั่งดื่มกันได้เป็นสิบๆคน  พอถึงเที่ยงคืนที่ทุกคนก็รู้ธรรมเนียมกันดีว่าต้องเลิกงานและลดการใช้เสียง เขาก็เลิกกิจกรรมบนเวทีปิดเครื่องเสียงใหญ่ แต่ยังคงเปิดเพลงอยู่และนั่งดื่มกินกันต่อไป            สักพักมีคนมาอ้วกหน้าบ้านเรา คุณอาจึงออกไปห้ามปรามและไล่ไปเมื่อเดินไปดูก็เห็นเพื่อนบ้านดื่มเหล้าอย่างเมามากและเกิดการอาละวาดขึ้นด้วยหลังจากที่อาเข้าไปตักเตือน  โดยเพื่อนบ้านเดินกลับไปถือมีดเดินไปมาแถวละแวกหมู่บ้าน และเกิดความหวาดกลัวแก่คนในหมู่บ้านอย่างมาก  ซึ่งหลังจากที่คนเมานี้หมดสติลงที่สนามหญ้าสวนเด็กเล่นในหมู่บ้าน อาข้าพเจ้าก็ได้ช่วยพาไปส่งที่บ้าน แล้วเพื่อนบ้านคนนี้ก็รู้สึกตัวและไม่พอใจที่อาข้าพเจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา หาว่ามาทำลายงานเลี้ยงทำให้เค้าเสียหน้ากับเพื่อนฝูงและญาติมาก เขาเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้จึงเอามือชกกำแพง พอวันรุ่งขึ้นชายคนนี้ไปแจ้งความว่าอาข้าพเจ้าบุกรุกบ้านและทำร้ายร่างกาย จนบาดเจ็บรวมถึงอยากได้เงินค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทด้วย โดยตำรวจที่รับแจ้งความก็เป็นคนเดิมกับที่มารับคดีทำร้ายร่างกายเมื่อเย็นวานนั่นเอง เรื่องบานปลายกระทั่งมีการต่อสู้กันในชั้นศาล  เพราะตำรวจคนนี้บอกให้เอาเรื่องและส่งเรื่องฟ้องไปยังอัยการจนกลายเป็นเรื่องใหญ่”

วิเคราะห์ปัญหา

1.              การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดหรือไม่  การเข้ามาใช้กำลังห้ามปรามจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทที่สองฝ่ายต้องรับผิดและแบกรับความเสี่ยงไปเองหรือไม่

2.              การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกายหรือไม่

3.              เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร

4.              หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้หรือไม่ หรือควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความสงบสุข

5.              การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไรให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตหรือไม่

6.              การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีอย่างไม่เป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ จะเรียกร้องสิทธิได้อย่างไร

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.              การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นความผิดต่อร่างกาย  หากเป็นอาวุธร้ายแรงหรือทำให้บาดเจ็บสาหัสจะมีเหตุเพิ่มโทษ

2.              การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องหรือแม้แต่ช่วยคนทั่วไปที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกาย หากกระทำอยู่ในขอบเขตความเหมาะสมและได้สัดส่วนเพื่อปัดเป่าภัยที่มาถึง

3.              เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาฐานการกระทำผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม

4.              หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้แต่ต้องระวังมิให้เป็นการบุกรุก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจเพื่อให้มาควบคุมให้เกิดความสงบสุข

5.              การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บควรนำสืบเรื่องลักษณะบาดแผลและพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์รวมถึงพฤติการณ์ของเพื่อนบ้านในคืนนั้นไปนำสืบให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตเพราะเป็นการป้องกันเขาจากอันตราย และป้องกันภัยให้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากมีความจำเป็น

6.              การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีเป็นความผิดตามตามกฎหมายอาญาและโทษวินัย จะเรียกร้องสิทธิให้เจ้าหน้าที่รับผิดได้

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.              คดีที่มีการใช้กำลังทำร้ายกันโดยมีการกล่าวหาว่า เป็นการทำร้ายร่างกาย หรือทะเลาะวิวาท ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ต้องเริ่มคดีกันที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจของพื้นที่ซึ่งเกิดเรื่อง

2.              หากเป็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิในการได้ชดเชยความเสียหายด้วยนั้นก็ฟ้องร้องสู้คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องอาญากันในศาลอาญาไปในคราวเดียวกันเลย

3.              หากต้องการเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฟ้องที่ศาลอาญา แต่อาจให้ตำรวจคนอื่นสถานีอื่นหรือแจ้งจเรตำรวจ ช่วยด้วยการแจ้งความคดีกระทำผิดต่อหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต่อตำรวจแล้วฟ้องในศาลอาญา และเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งฯไปในคราวเดียวกันก็ได้

4.              ในคดีเดือดร้อนรำคาญจากเพื่อนบ้านสามารถแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบว่าได้ขออนุญาต และสั่งให้ยุติการละเมิดสิทธิผู้อื่นในยามวิกาลได้

5.              การกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายสามารถรวบรวมพยานและหลักฐานต่างๆ แล้วแจ้งต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้นำไปประกอบเป็นสำนวนการดำเนินคดีได้ทันที แต่เมื่อตกเป็นจำเลยแล้วอาจต้องแต่งทนายเข้าสู้คดี

6.              หากเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสามารถร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาได้ แต่ถ้าไม่คืบหน้าให้ร้องเรียนต่อ ปปช.

แนวทางแก้ไข

ในกรณีแรกใช้หลักการป้องกันสิทธิตามที่กฎหมายอนุญาต และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์เยอะและเป็นการปกป้องสิทธิของสาธารณชนย่อมไม่มีความผิดทางอาญา หากไม่มีการใช้กำลังทำร้ายจนเกินกว่าเหตุ   ส่วนในกรณีถูกปรักปรำว่าทำร้ายร่างกายใช้หลักความผิดต่อร่างกายในทางอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งกรณีนี้ต้องพิสูจน์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายมิใช่การทะเลาะวิวาท ส่วนกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการไม่ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นคดีอาญาที่ฟ้องต่อศาลอาญาได้ โดยสามารถร้องเรียนผู้บังคับบัญชา หรือ ปปช. ให้มีการตรวจสอบ ทั้งนี้หากคดีไม่คืบหน้าสามารถแต่งทนายขึ้นทำคดีต่อไปได้

 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม