Skip to main content

เมื่อถึงเทศกาลสำคัญที่ทุกคนได้ปลดปล่อยกันสุดเหวี่ยงอย่างสงกรานต์   คนจำนวนมากก็เลยถือโอกาสเมาหัวทิ่มมันทุกวันเช้ายันเช้ามืดอีกวันหนึ่ง ตื่นมาก็กินต่อ   ไม่แค่นั้นความสุขทุกรูปแบบที่นึกได้ก็จะหามาปรนเปรอตัวเองให้สนุกสุดเหวี่ยง   ถ้าออกไปนอกบ้านก็จะเจอสงครามสาดน้ำและลูบแป้งอย่างบ้าคลั่ง ก็คิดกันไปได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวของปีที่จะได้จับหน้าลูบตัวสาวๆสวยๆได้เต็มที่ เพราะทั้งปีได้แต่มองจับต้องไม่ได้เพราะเงื่อนไขของสังคม ต้องอาศัยโอกาสนี้ล่ะเข้าไปฉีดน้ำจุดสำคัญและยังนำแป้งไปจับต้องเนื้อกาย บางกลุ่มทำได้ถึงขนาดไปรุมล้อมจับจูบลูบคลำกันจนเป็นเรื่องราววุ่นวายเพราะสติหายเหลือแต่ความคึกคะนองเพราะมึนเมาและติดลมไปแล้ว   แม้จะเก็บตัวอยู่กับบ้านก็ไม่วายต้องอยู่กับเพื่อนบ้านบางคนที่ขนเอาเครื่องเสียงและญาติสนิทมิตรสหายมาจัดงานเลี้ยงกินเหล้าเมายากันดังสนั่นหวั่นไหว   จนกลายเป็นว่าช่วงสงกรานต์นี้คนที่รักความสงบสุขทั้งหลายต้องเตรียมกายเตรียมใจและวางแผนพักผ่อนไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นอาจมีปัญหาแบบที่ครอบครัวต่อไปนี้เจอเข้าไปถึงสองต่อนะครับ

“เมื่อเทศกาลสงกรานต์ปีที่แล้ว ในวันทำซุ้มของคณะเพื่อรวมคนรุ่นพี่รุ่นน้องกลับมาเล่นน้ำด้วยกันนั้น พบว่าฝั่งตรงข้ามก็มีซุ้มเยื้องอยู่ ซึ่งใครๆต่างก็มองว่าเป็นซุ้มพวกแก๊งอันธพาล ผมจึงชวนเพื่อนๆ เขยิบซุ้มหนีออกไปหน่อยเพื่อป้องกันเรื่องเดือดร้อนรำคาญที่จะเกิดขึ้นได้  พอถึงวันนั้นก็มีการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความสนุกสนานและเครื่องเสียงของรถที่ผ่านไปมาบวกกับร้านขายของข้างๆก็ดั่งกระหึ่มปลุกเร้าอารมณ์จนคนออกมาโยกๆๆๆ กันมากมายละลานตาไปหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เนื้อตัวก็เปียกน้ำเสื้อผ้าลู่เรียบติดกับผิวหนัง จนมีการกระทบกระทั่งของวัยรุ่นแถวนั้นเป็นพักๆเพราะมีวัยรุ่นของอีกฝ่ายเข้ามาสาดน้ำเอาแป้งมาลูบหน้าลูบตัวๆสาวๆของอีกฝ่าย จนต้องแยกย้ายกันไปบางช่วง   ผ่านไปสักพักก็เอาใหม่ยิ่งตกบ่ายๆร้อนๆ คนก็ยิ่งออกมาเล่นน้ำกันคับคั่งและแต่ละฝั่งก็มาโชว์เต้นยั่วยวนแข่งกันไปมา  

จนประมาณบ่าย 3 โมง ก็มีขวดเบียร์ขว้างปามาที่ซุ้มพวกเรา พอหันไปก็มองเห็นว่ามีคนจากซุ้มตรงข้ามเดินมาทีซุ้มเรา  1  คน แล้ววิ่งเข้ามาต่อยรุ่นพี่คนหนึ่งของผม เพื่อนของพี่อีกคนจึงวิ่งเข้าไปช่วย พร้อมกับพวกเรา ผมซึ่งเห็นกลุ่มคนในแก๊งนั้นถือมีดดาบประมาณดาบซามูไร ฟันลงที่หลังพี่คนที่เข้าไปช่วยเพื่อน ซักพักจึงมีตำรวจเข้ามาห้าม  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไปที่โรงพักเพื่อไปให้ชี้ตัวผู้ต้องหา แต่พอหลังจากที่เข้าไปในห้องชี้ตัวแล้ว พี่ผมที่เข้าไปกลับออกมาจึงพูดให้ฟังว่า ตำรวจพูดประมาณว่า “เราพอจะยอมๆ กันได้ไหม”   พี่ผมซึ่งไม่ยอมตำรวจจึงให้ไปชี้ตัวอีกครั้ง พี่ผมตอบและชี้ด้วยความมั่นใจ แต่ตำรวจก็ยังซักถามพร้อมกับพาตัวผู้ต้องหาออกมาด้วย ทำให้พวกเราคิดว่าตำรวจจะปกป้องพยานไม่ให้ผู้ต้องหาเห็นหน้าพยานไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมกลับพาเขาออกมาให้เห็นหน้าพวกผมซึ่งเป็นพยาน จนพวกเรารู้สึกว่าตำรวจที่มารับเรื่องนี้เป็นญาติกับคนที่มีเรื่องกับพวกผม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดความไม่เป็นธรรมที่ผมเจอเข้ากับตัวเอง 

ผมและพวกพยายามเรียกนายตำรวจคนอื่นๆมาฟังเรื่องหรือรับรู้เรื่องราวด้วย ให้ได้รับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของพวกเขาเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้นายตำรวจคนนี้ทำแบบนี้อีก เพราะการกระทำเขาเป็นการแสดงความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ซึ่งพวกผมรู้ว่าพวกเขากับตำรวจคนนี้เป็นญาติกันหลังจากมีอีกกรณีเกิดขึ้นตามมาเมื่อเรากลับไปที่บ้านแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากคุณอาข้าพเจ้าโดนข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และต้องมาเจอกับตำรวจคนเดิมที่สถานีเดิมอีก

เนื่องจากตอนค่ำของวันนั้น เพื่อบ้านได้จัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเหริกเพราะช่วงกลางวันเขามีการรวมญาติกันไปแล้ว พอลูกหลานพาคนเฒ่าคนแก่กลับไปส่งบ้านหมด พวกเขาก็เริ่มเปิดลานหน้าบ้านให้กลายเป็นงานเทศกาลย่อยไปเลยทีเดียว มีทั้งเวทีขนาดย่อม เครื่องเสียงขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารวางเรียงรายให้คนนั่งกินนั่งดื่มกันได้เป็นสิบๆคน  พอถึงเที่ยงคืนที่ทุกคนก็รู้ธรรมเนียมกันดีว่าต้องเลิกงานและลดการใช้เสียง เขาก็เลิกกิจกรรมบนเวทีปิดเครื่องเสียงใหญ่ แต่ยังคงเปิดเพลงอยู่และนั่งดื่มกินกันต่อไป            สักพักมีคนมาอ้วกหน้าบ้านเรา คุณอาจึงออกไปห้ามปรามและไล่ไปเมื่อเดินไปดูก็เห็นเพื่อนบ้านดื่มเหล้าอย่างเมามากและเกิดการอาละวาดขึ้นด้วยหลังจากที่อาเข้าไปตักเตือน  โดยเพื่อนบ้านเดินกลับไปถือมีดเดินไปมาแถวละแวกหมู่บ้าน และเกิดความหวาดกลัวแก่คนในหมู่บ้านอย่างมาก  ซึ่งหลังจากที่คนเมานี้หมดสติลงที่สนามหญ้าสวนเด็กเล่นในหมู่บ้าน อาข้าพเจ้าก็ได้ช่วยพาไปส่งที่บ้าน แล้วเพื่อนบ้านคนนี้ก็รู้สึกตัวและไม่พอใจที่อาข้าพเจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา หาว่ามาทำลายงานเลี้ยงทำให้เค้าเสียหน้ากับเพื่อนฝูงและญาติมาก เขาเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้จึงเอามือชกกำแพง พอวันรุ่งขึ้นชายคนนี้ไปแจ้งความว่าอาข้าพเจ้าบุกรุกบ้านและทำร้ายร่างกาย จนบาดเจ็บรวมถึงอยากได้เงินค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทด้วย โดยตำรวจที่รับแจ้งความก็เป็นคนเดิมกับที่มารับคดีทำร้ายร่างกายเมื่อเย็นวานนั่นเอง เรื่องบานปลายกระทั่งมีการต่อสู้กันในชั้นศาล  เพราะตำรวจคนนี้บอกให้เอาเรื่องและส่งเรื่องฟ้องไปยังอัยการจนกลายเป็นเรื่องใหญ่”

วิเคราะห์ปัญหา

1.              การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดหรือไม่  การเข้ามาใช้กำลังห้ามปรามจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทที่สองฝ่ายต้องรับผิดและแบกรับความเสี่ยงไปเองหรือไม่

2.              การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกายหรือไม่

3.              เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร

4.              หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้หรือไม่ หรือควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความสงบสุข

5.              การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไรให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตหรือไม่

6.              การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีอย่างไม่เป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ จะเรียกร้องสิทธิได้อย่างไร

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.              การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นความผิดต่อร่างกาย  หากเป็นอาวุธร้ายแรงหรือทำให้บาดเจ็บสาหัสจะมีเหตุเพิ่มโทษ

2.              การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องหรือแม้แต่ช่วยคนทั่วไปที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกาย หากกระทำอยู่ในขอบเขตความเหมาะสมและได้สัดส่วนเพื่อปัดเป่าภัยที่มาถึง

3.              เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาฐานการกระทำผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม

4.              หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้แต่ต้องระวังมิให้เป็นการบุกรุก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจเพื่อให้มาควบคุมให้เกิดความสงบสุข

5.              การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บควรนำสืบเรื่องลักษณะบาดแผลและพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์รวมถึงพฤติการณ์ของเพื่อนบ้านในคืนนั้นไปนำสืบให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตเพราะเป็นการป้องกันเขาจากอันตราย และป้องกันภัยให้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากมีความจำเป็น

6.              การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีเป็นความผิดตามตามกฎหมายอาญาและโทษวินัย จะเรียกร้องสิทธิให้เจ้าหน้าที่รับผิดได้

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.              คดีที่มีการใช้กำลังทำร้ายกันโดยมีการกล่าวหาว่า เป็นการทำร้ายร่างกาย หรือทะเลาะวิวาท ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ต้องเริ่มคดีกันที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจของพื้นที่ซึ่งเกิดเรื่อง

2.              หากเป็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิในการได้ชดเชยความเสียหายด้วยนั้นก็ฟ้องร้องสู้คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องอาญากันในศาลอาญาไปในคราวเดียวกันเลย

3.              หากต้องการเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฟ้องที่ศาลอาญา แต่อาจให้ตำรวจคนอื่นสถานีอื่นหรือแจ้งจเรตำรวจ ช่วยด้วยการแจ้งความคดีกระทำผิดต่อหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต่อตำรวจแล้วฟ้องในศาลอาญา และเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งฯไปในคราวเดียวกันก็ได้

4.              ในคดีเดือดร้อนรำคาญจากเพื่อนบ้านสามารถแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบว่าได้ขออนุญาต และสั่งให้ยุติการละเมิดสิทธิผู้อื่นในยามวิกาลได้

5.              การกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายสามารถรวบรวมพยานและหลักฐานต่างๆ แล้วแจ้งต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้นำไปประกอบเป็นสำนวนการดำเนินคดีได้ทันที แต่เมื่อตกเป็นจำเลยแล้วอาจต้องแต่งทนายเข้าสู้คดี

6.              หากเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสามารถร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาได้ แต่ถ้าไม่คืบหน้าให้ร้องเรียนต่อ ปปช.

แนวทางแก้ไข

ในกรณีแรกใช้หลักการป้องกันสิทธิตามที่กฎหมายอนุญาต และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์เยอะและเป็นการปกป้องสิทธิของสาธารณชนย่อมไม่มีความผิดทางอาญา หากไม่มีการใช้กำลังทำร้ายจนเกินกว่าเหตุ   ส่วนในกรณีถูกปรักปรำว่าทำร้ายร่างกายใช้หลักความผิดต่อร่างกายในทางอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งกรณีนี้ต้องพิสูจน์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายมิใช่การทะเลาะวิวาท ส่วนกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการไม่ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นคดีอาญาที่ฟ้องต่อศาลอาญาได้ โดยสามารถร้องเรียนผู้บังคับบัญชา หรือ ปปช. ให้มีการตรวจสอบ ทั้งนี้หากคดีไม่คืบหน้าสามารถแต่งทนายขึ้นทำคดีต่อไปได้

 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นต่างและไม่ยอมรับกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ก็ห้ามแสดงความคิดเห็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากกรณีฮือฮาที่บัณฑิตนิติศาสตร์ถูกจับดำเนินคดี เนื่องจากผลิตเบียร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จนมีการถกเถียงว่า “ทำไมรัฐไทยไม่อนุญาตให้คนทั่วไปผลิตเบียร์” ทั้งที่ชอบป่าวประกาศให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  จนทายาทเบียร์ยี่ห้อดังออกมาตอบโต้ โ
ทศพล ทรรศนพรรณ
นอกจากประเด็นที่สื่อมวลชนกำลังตื่นตัวว่าจะมีการออกกฎหมายมาควบคุมตีตราสื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในลักษณะที่ผู้มีอำนาจอาจเข้ามาแทรกแซงแล้ว  อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันและกระเทือนไปสู่วงกว้างมาก คือ การขยายขอบเขตการควบคุมไปยัง สื่อใหม่  
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากประสบการณ์ตรงและการสังเกตการณ์งานต่อสู้ของประชาชนในท้องถิ่นหลายงานสะท้อนปัญหาหนึ่งที่คล้ายกันในหลายพื้นที่ คือ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการและนโยบายพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ หรือการลงทุนของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม มักจะถูกจ้องมองด้วยสายตาหวาดระแวงไปจนถึงการถูกสลายทำลายขบวนการเรื่อยมา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองประเด็นใหญ่ช่วงปลายปี 2016 ที่ชาวโลกจับตามองเห็นจะไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการทยอยประกาศรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ บ็อบ ดีแลน ได้โนเบล แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำแหน่งประธานาธิบดี
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองในโลกออนไลน์ที่ฮือฮาในช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปีหนีไม่พ้นเรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่ สนช. ภายใต้การผลักดันของรัฐบาล คสช.
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อสารที่ตัดข้ามผ่านพรมแดนตลอดเวลา และเศรษฐกิจระบบตลาดที่มีพละกำลังมหาศาลจนมิมีรัฐใดทัดทานได้ จนต้องเปิดกำแพงให้สินค้า บริการและผู้คนเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกกว่ายุคสงครามเย็นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนนักคิดไม่น้อยหลุดปากว่า “รัฐชาติลดความสำคัญ” ไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากประเทศไทยต้องการผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จำต้องมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่ประกันความเป็นส่วนตัวในการสื่อสาร ตามมาตรฐานสากลใน 12 ประเด็นนี้
ทศพล ทรรศนพรรณ
จะพัฒนารัฐ ต้องมุ้งเป้าไปที่ ลูกหลานแรงงานและเกษตรกรโดยเฉพาะสตรี นี่คือสิ่งที่องค์การระหว่างประเทศด้านการพัฒนาเน้นย้ำเสมอ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้มอบให้แด่ ศาสตราจารย์ชอง ติโรล (Jean Tirole) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส    องค์กรให้เหตุผลอย่างชัดเจว่าเป็นผลจาก การวิเคราะห์อำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นน้อยรายที่มักจะมีอำนาจเหนือตลาด ประสิทธิภาพของกลไกตลาดจึงเสียหาย และมีข้อเสนอในงานวิจัยของเขา
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเข้าใจผิดประการหนึ่งต่อการกระตุ้นตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลและดึงดูดการลงทุนในอภิมหาโครงการไทยแลนด์ 4.0 ก็คือ การมุ่งไปชักชวนผู้ประกอบการรายใหญ่โดยใช้มาตรการลดแลกแจกแถมในรูปแบบการเชิญชวนนักลงทุนในยุคอุตสาหกรรมหนักซึ่งพ้นยุคสมัยไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เมื่อมีรัฐบาลใหม่สิ่งทีตามมาด้วยเสมอ คือ นโยบายด้านเกษตรกรรม   ในอดีตเกษตรกร หรือที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็น “ชาวนา” คือ กลุ่มเป้าหมายหลักในการหยิบมาเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับนโยบายอุดหนุน   ตามสโลแกน “ชาวนา คือ กระดูกสันหลังของชาติ”  ที่แม้แต่คนรุ่นหลังๆ ก็ยังได้ฟังคำขวัญเห