Skip to main content

มีอะไรใหม่ใน กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสหภาพยุโรป EU General Data Protection Regulation 2016

1.       เป็นครั้งแรกที่ EU มีกฎหมายรวมกฎคุ้มครองข้อมูลต่างๆที่กระจัดกระจายมาอยู่ในกฎหมายเดียว (General Regulation)

2.       กฎหมายคุ้มครองข้อมูลระดับ Regulation ของ EU มีผลผูกมัดรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป โดยไม่ต้องรอให้รัฐไปออกกฎหมายภายในเพิ่มอีก หากรัฐมีกฎหมายภายในเดิมที่เกี่ยวข้องทับซ้อน ก็ให้ใช้ Regulation ของ EU แทน   ซึ่งต่างจาก Directive 95/46/EC ที่เป็นเพียงกรอบแนวทางให้รัฐนำไปออกกฎหมายภายในอีกต่อหนึ่ง

3.       เมื่อมีผลระดับบังคับเหนือสมาชิกทั้งหมดแบบ Supra National ก็ย่อมหมายความว่า คุ้มครองพลเมืองยุโรปในเขตสหภาพหรือข้อมูลคนยุโรปที่ส่งออกไปนอกสหภาพ ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานนี้

4.       การสร้างกฎหมายลักษณะนี้ทำให้คู่ค้า หรือรัฐเจ้าของสัญชาติผู้ให้บริการทั้งหลายที่มีการส่งข้อมูล เข้า-ออก ข้ามพรมแดน สหภาพยุโรปทั้งหมด ต้องสร้างมาตรการยืนยันมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิ   - ผลที่เกิดแล้วคือ สหรัฐต้องเซ็นข้อตกลง Privacy Shield กับยุโรป  และคาดว่าประเทศ/ภูมิภาคอื่นๆ ที่อยากจะเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป ก็ต้องทำในลักษณะเดียวกับสหรัฐ หรือมาขอเข้าร่วมภาคยานุวัติ Regulation แบบกรณี Cybercrime Convention ที่มีอุรุกวัยและอีกหลายประเทศเข้าร่วม  หรือเอาแบบไทย ก็คือ ศึกษากฎหมายเปรียบเทียบ(ลอก)มาให้ได้มาตรฐาน

5.       เพิ่มสิทธิของผู้ทรงสิทธิในข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ตามแนวคำพิพากษาของศาลในคดีช่วงก่อนหน้านี้ อาทิ

-          สิทธิในการลบข้อมูล/สิทธิที่จะถูกลืม Right to Erasure, Right to be Forgotten สำหรับข้อมูลที่ไม่ตรงความจริง ล้าสมัยไปแล้ว  ทั้งที่อยู่ในการควบคุมของรัฐหรือเอกชน

-          สิทธิในการยื่นแบบฟอร์มขอเก็บข้อมูลตนให้อยู่ในไฟล์เดียว

-          กำหนดระยะเวลาที่ผู้ควบคุมข้อมูลต้องตอบคำร้องภายใน 20 วัน

-          Data Protection by Design ประชาชนออกแบบข้อตกลง หรือยื่นคำร้องให้มีการปกป้องข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมได้

-          Data Protection by Default ประชาชนได้รับสิทธิเป็นแพ็คเกจทันที ถ้าไม่เลือกที่จะออกจากการคุ้มครองที่ “แน่นหนาไว้ก่อน”  คือ Opt-Out

-          สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมชดเชยเมื่อข้อมูลสูญหาย ถูกทำลาย หรือรั่วไหล

6.       กำหนดหน้าที่ของ ผู้ควบคุมข้อมูล / ผู้ประมวลผลข้อมูล ให้ชัดเจนแน่นหนาขึ้น อาทิ

-          หน้าที่เกิดทันทีเมื่อข้อมูลมา “ผ่าน” การควบคุมของตน หากมีการรั่วไหล ณ จุดใด องค์กรที่ดูแลระบบส่วนนั้นต้องรับผิดชอบทันที ต่างจากระบบเดิมที่บอกว่า ความรับผิดจะเกิดเมื่อ “ข้อมูลรั่วไหลจนสามารถบ่งชี้ย้อนไปได้ว่าข้อมูลเป็นของบุคคลใด” 

-          หน้าที่ในการแจ้งรายละเอียดการเก็บข้อมูลแก่ผู้ทรงสิทธิทันที ไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ Opt-In เข้ามาแบบเก่า เช่น Cookies

-          การปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกัน หากในองค์กรเดียวทำทั้งควบคุมข้อมูล ประมวลข้อมูล โดยเฉพาะกรณีมีการส่งข้อมูลภายในองค์กรเดียวข้ามพรมแดน

7.       การเพิ่มมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้รัดกุมขึ้น เช่น สิทธิในการร้องขอให้มีการ Encryption ข้อมูลโดยผู้ใช้ หรือผู้ให้บริการอาจอ้างต่อหน่วยงานรัฐที่ต้องการสอดส่องว่า จำเป็นต้องรักษาความเป็น “นิรนาม” ของเจ้าของข้อมูล

8.       การส่งต่อข้อมูลข้ามองค์กร/ข้ามพรมแดนถูกควบคุมเข้มงวดขึ้น โดยกำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลในการพิจารณาคำร้องขอจากผู้ประมวลผลว่า บุคคลที่สามที่ร้องขอข้อมูลจะมีมาตรการคุ้มครองสิทธิได้ดีตามมาตรฐานหรือไม่ ทั้งในกรณีส่งกันภายในรัฐ ภายในสหภาพยุโรป หรือส่งออกไปนอกสหภาพยุโรป  และอาจตัดสินใจไม่ส่งต่อข้อมูล  

9.       การสร้างระบบตรวจตราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสถาปนาหน่วยงานตรวจตราการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความชำนาญการ โดยพยายามให้มี Data Protection Authority/Agency ทั้งในระดับรัฐ และส่วนกลางระดับสหภาพยุโรป  (อาจต้องไปดูว่า คณะทำงานเดิม Article 29 Working Party of EU จะย้ายไปผนวกกับหน่วยงานไหน หรือมีสถานะใดต่อไป)

10.   การทำให้มาตรการเยียวยาสิทธิของผู้ทรงสิทธิเป็นรูปธรรม เช่น การขอให้ลบ ขอให้แก้ไข ขอให้รายงานการปรับปรุง รวมไปถึงการเพิ่มโทษปรับต่อผู้ควบคุม/ประมวลข้อมูลสูงถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของผลประกอบการทั่วโลกในปีงบประมาณก่อนหน้า

11.   การเพิ่มช่องทางเยียวยา เช่น ฟ้องที่เดียวบีบผู้ประกอบการที่ให้บริการในหลายรัฐได้ หรือผู้ทรงสิทธิหลายคนที่โดนละเมิดสิทธิจากผู้ให้บริการเดียวกันสามารถร่วมกันฟ้องเป็นคดีร่วมกันได้แบบ Class Action

*สหภาพยุโรปให้เวลารัฐสมาชิก ผู้ประกอบการ ผู้ควบคุม แปรผลข้อมูล ทั้งในสหภาพยุโรปและนอกภูมิภาค ปรับตัวได้ 2 ปี   โดยกฎหมายจะมีผลและนำไปสู่การบังคับผลได้ในชั้นศาลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2561

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นต่างและไม่ยอมรับกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ก็ห้ามแสดงความคิดเห็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากกรณีฮือฮาที่บัณฑิตนิติศาสตร์ถูกจับดำเนินคดี เนื่องจากผลิตเบียร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จนมีการถกเถียงว่า “ทำไมรัฐไทยไม่อนุญาตให้คนทั่วไปผลิตเบียร์” ทั้งที่ชอบป่าวประกาศให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  จนทายาทเบียร์ยี่ห้อดังออกมาตอบโต้ โ
ทศพล ทรรศนพรรณ
นอกจากประเด็นที่สื่อมวลชนกำลังตื่นตัวว่าจะมีการออกกฎหมายมาควบคุมตีตราสื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในลักษณะที่ผู้มีอำนาจอาจเข้ามาแทรกแซงแล้ว  อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันและกระเทือนไปสู่วงกว้างมาก คือ การขยายขอบเขตการควบคุมไปยัง สื่อใหม่  
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากประสบการณ์ตรงและการสังเกตการณ์งานต่อสู้ของประชาชนในท้องถิ่นหลายงานสะท้อนปัญหาหนึ่งที่คล้ายกันในหลายพื้นที่ คือ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการและนโยบายพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ หรือการลงทุนของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม มักจะถูกจ้องมองด้วยสายตาหวาดระแวงไปจนถึงการถูกสลายทำลายขบวนการเรื่อยมา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองประเด็นใหญ่ช่วงปลายปี 2016 ที่ชาวโลกจับตามองเห็นจะไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการทยอยประกาศรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ บ็อบ ดีแลน ได้โนเบล แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำแหน่งประธานาธิบดี
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองในโลกออนไลน์ที่ฮือฮาในช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปีหนีไม่พ้นเรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่ สนช. ภายใต้การผลักดันของรัฐบาล คสช.
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อสารที่ตัดข้ามผ่านพรมแดนตลอดเวลา และเศรษฐกิจระบบตลาดที่มีพละกำลังมหาศาลจนมิมีรัฐใดทัดทานได้ จนต้องเปิดกำแพงให้สินค้า บริการและผู้คนเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกกว่ายุคสงครามเย็นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนนักคิดไม่น้อยหลุดปากว่า “รัฐชาติลดความสำคัญ” ไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากประเทศไทยต้องการผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จำต้องมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่ประกันความเป็นส่วนตัวในการสื่อสาร ตามมาตรฐานสากลใน 12 ประเด็นนี้
ทศพล ทรรศนพรรณ
จะพัฒนารัฐ ต้องมุ้งเป้าไปที่ ลูกหลานแรงงานและเกษตรกรโดยเฉพาะสตรี นี่คือสิ่งที่องค์การระหว่างประเทศด้านการพัฒนาเน้นย้ำเสมอ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้มอบให้แด่ ศาสตราจารย์ชอง ติโรล (Jean Tirole) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส    องค์กรให้เหตุผลอย่างชัดเจว่าเป็นผลจาก การวิเคราะห์อำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นน้อยรายที่มักจะมีอำนาจเหนือตลาด ประสิทธิภาพของกลไกตลาดจึงเสียหาย และมีข้อเสนอในงานวิจัยของเขา
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเข้าใจผิดประการหนึ่งต่อการกระตุ้นตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลและดึงดูดการลงทุนในอภิมหาโครงการไทยแลนด์ 4.0 ก็คือ การมุ่งไปชักชวนผู้ประกอบการรายใหญ่โดยใช้มาตรการลดแลกแจกแถมในรูปแบบการเชิญชวนนักลงทุนในยุคอุตสาหกรรมหนักซึ่งพ้นยุคสมัยไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เมื่อมีรัฐบาลใหม่สิ่งทีตามมาด้วยเสมอ คือ นโยบายด้านเกษตรกรรม   ในอดีตเกษตรกร หรือที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็น “ชาวนา” คือ กลุ่มเป้าหมายหลักในการหยิบมาเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับนโยบายอุดหนุน   ตามสโลแกน “ชาวนา คือ กระดูกสันหลังของชาติ”  ที่แม้แต่คนรุ่นหลังๆ ก็ยังได้ฟังคำขวัญเห