Skip to main content

นอกจากประเด็นที่สื่อมวลชนกำลังตื่นตัวว่าจะมีการออกกฎหมายมาควบคุมตีตราสื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในลักษณะที่ผู้มีอำนาจอาจเข้ามาแทรกแซงแล้ว  อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันและกระเทือนไปสู่วงกว้างมาก คือ การขยายขอบเขตการควบคุมไปยัง สื่อใหม่  

                กระแสของการควบคุมสื่อใหม่โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต ได้มีมาก่อนหน้านี้แล้วผ่านการผลักดันชุดกฎหมายเกี่ยวกับดิจิทัล และล่าสุดก็มาถึงการเตรียมประกาศกฎของ กสทช. ในการควบคุมการนำเสนอข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆในอินเตอร์เน็ต

                ทำไมรัฐต้องขยับมาคุมอินเตอร์เน็ตอย่างเข้มงวด ถึงขั้นต้องควบคุมการสตรีมมิ่ง ไลฟ์ จัดรายการผ่านเน็ต และบังคับจดทะเบียนตรีตราเพื่อควบคุม  จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาก่อนเพื่อให้เห็ตเจตนารมณ์ที่แท้ของ ยุทธศาสตร์ยึดพื้นที่สื่อของรัฐบาล

                ก่อนยุคนักข่าวพลเมืองอินเตอร์เน็ตหรือนักสืบไซเบอร์นั้น พื้นที่สื่อสารการเมืองหลักๆ ก็จะยึดโยงอยู่กับสื่อหลัก อาทิ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์  ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า วิทยุ โทรทัศน์นั้นถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยระบบใบอนุญาต และการผูกขาดการจัดสรรคลื่นความถี่มาแต่ไหนแต่ไร แม้รัฐธรรมนูญพยายามแก้ไข ให้มี กสช. ขึ้นมากระจายความถี่ไปให้ประชาสังคมเข้าถึง มีพื้นที่แสดงออกมากขึ้น แต่ก็จบลงด้วยการรัฐประหารกระชับอำนาจของฝ่ายความมั่นคงทั้งสองระลอกในปี 2549 และ 2557

                สื่อที่วิจารณ์รัฐอย่างหนักหน่วงมาเสมอ จึงอยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์มากกว่า ซึ่งก็เป็นที่รับรู้ว่าว่าสื่อกระดาษก็เริ่มปรับไปสู่สื่อออนไลน์มากขึ้น   เช่นเดียวกับผู้จัดรายการเสียง ภาพเคลื่อนไหว ก็กระโดดไปสู่สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพราะต้นทุนถูกกว่ามาก สะดวก และยังมีการแทรกแซงควบคุมจากรัฐน้อยกว่า

                แต่สาเหตุที่รัฐวิตกมากและเป็นจุดเปลี่ยนที่รัฐต้องมาคุมโลกไซเบอร์มากขึ้น ผมว่ามี 2 ประเด็น

                1) สื่อแบบเดิม มักอยู่ด้วยงบโฆษณาและใบอนุญาต ถ้ามีปัญหากับรัฐ วิจารณ์มากๆ รัฐสั่งปิดยึดใบอนุญาต หรือถอนโฆษณาภาครัฐ ก็สะเทือนเลื่อนลั่นถึงขั้นต้องปรับตัว เขาเลยวิจารณ์กันพอประมาณหรือเลี่ยงประเด็นไป ต่างจากสื่อออนไลน์ หรือนักรบไซเบอร์ ล้วงละเลงกันบนเน็ต ไม่ต้องเกรงใจใคร ยิ่งแรงยิ่งหนัก คนยิ่งอ่านยิ่งแชร์ ยอดไลค์กระฉูด รัฐเลยต้องเชือดไก่ให้ลิงดู สอยด้วยกฎหมาย

                2) เดิมถ้ารัฐจะฟ้องนักข่าวอาชีพ ก็จะมีสำนักข่าวตัวเองปกป้อง หรือจ้างทนายสู้คดี ไหนจะสมาคมนักข่าวอีก หากรัฐจะเล่นงานก็ฟ้องยาก ต่างจากฟ้อง นักข่าวพลเมืองเน็ต เมื่อโดนฟ้องทีก็รู้สึกได้ถึงอันตราย และไม่ใช่แค่คนโดนฟ้อง ชาวเน็ตที่อ่านข่าวพลอยสะดุ้งไปด้วยเพราะรัฐก็ออกมาขู่ว่า “แค่กดไลค์” ก็เป็นความผิดอาญา  ซึ่งบิดเบือนหลักกฎหมายมาก

                ผลกระทบ 3 ส่วนหลักๆ
                1) พลเมืองผู้ตื่นตัวทางการเมืองและต้องการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศหายไป เพราะต้องระมัดระวังตัวกลายเป็นเซ็นเซอร์ตัวเองไป ดีกว่าต้องเสี่ยงกับคุกตะราง    ยุทธศาสตร์เงียบทั้งแผ่นดิน (พูดได้ฝ่ายเดียว)

                2) เกิดกลุ่มลับ ขบวนการเฉพาะกิจ รวมกลุ่มกระจายข้อมูลกันในวงแคบๆ ไม่เกิดการกระจายข้อมูลสู่วงกว้าง ไม่เกิดการขยายตัวเป็นประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะใหญ่ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยาก

                3) หน่วยงานและบรรษัทเกิดลัทธิเอาอย่าง เลียนแบบวิธีการสะกดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กิจกรรมของตนที่มีลักษณะสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้คนอื่น โดยการใช้กฎหมายสารพัดหมิ่นมาประเคนใส่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน

 

                ล่าสุด ทำไมรัฐโหมข่าวไวรัส wannacry หนักหน่วง ทั้งที่วิธีป้องกันนั้นง่ายมาก และจริงๆแล้วมันไม่กระทบคนทั่วไปเท่าระบบขององค์กรและหน่วยงานที่เป็นเป้าหมายหลัก

                ครับ ก็เขากำลังจะผลักดัน พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ผ่าน สนช. แล้วไง
ซึ่งเนื้อหาหนักกว่า พรบ.ความผิดคอมพ์ฯ ด้วย ซึ่ง พรบ.นี้แหละครับ ที่จะให้อำนาจรัฐบังคับผู้ดูแลระบบ และผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทั้งหลายส่องข้อมูลเรา และหนักสุดคือ สร้างซิงเกิ้ลเกตเวย์ขึ้นมา

                คำถามที่สำคัญกว่า คือ เมื่อรัฐสอดส่องข้อมูลการใช้งานอินเตอร์เน็ตของประชาชนเข้าไปถึงเนื้อในการสื่อสารแล้ว (Content)  ข้อมูลที่รัฐได้เห็น จะถูกนำมาใช้ต่อหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นมาตรฐานสากล ข้อมูลเหล่านี้ห้ามใช้ห้ามอ่านเด็ดขาด รวมถึงห้ามนำมาเป็นหลักฐานปรักปรำในคดีอาญาอยู่แล้ว

                ข้อมูลที่รัฐจะใช้ประโยชน์ได้ต้องจำกัดอยู่ที่เพียงข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสาร หรือ Big Data เท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลทั่วไปที่ผู้ประกอบการทั่วไปมีการเก็บบันทึกไว้อยู่แล้ว เช่น ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต/ใช้บริการเมื่อไหร่ นานแค่ไหน ผ่านอุปกรณ์ใด จากที่ใด ถี่แค่ไหน   ซึ่งถ้าขยายไปถึงการใช้สมาร์ทโฟน ก็อาจทราบไปถึงว่าใช้ติดต่อสื่อสารกับใคร

                ส่วนประเด็นที่มีเหล่าคนฉลาดพูดว่า “จะตื่นเต้นอะไร เขาล้วงตับเรามานานแล้ว”  นั้นก็สะท้อนถึงความอ่อนด้อยประสบการณ์ทางกฎหมายและการเมืองอยู่มาก  เนื่องจากแต่เดิมข้อมูลที่ดักฟัง ดักเก็บมาโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ถือเป็นการได้ข้อมูลมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดอาญาที่มีโทษถึงจำคุก 

                เนื้อหาที่ได้มาไม่ถูกต้อง จึงไม่อาจนำมาปรักปรำใครให้รับผิดในชั้นศาล  กลับกันผู้ที่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่จะต้องรับผิดหากมีผู้เสียหายฟ้องร้องดำเนินคดี   เช่นเดียวกับผู้ให้บริการที่ดูแลระบบหากปล่อยให้ข้อมูลหลุดรั่วออกไปก็ต้องรับโทษทางอาญาเช่นเดียวกันด้วย หากมิเชื่อลองเปิดประมวลกฎหมายอาญา ม.322-325 ดูกันเองเถิด

                แต่คราวนี้ล้วงตับแล้วเอามาปรักปรำในชั้นศาลได้โดยออกกฎหมายมารองรับ เมื่อบวกกับการเร่งแก้ ป.วิ.อ. ดักข้อมูลฯ ก็...

 

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม