Skip to main content

การพัฒนาชนบทถือเป็นภารกิจของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ยุคต้านภัยคอมมิวนิสต์ที่ต้องการขจัดภัยคุกคาม ด้วยการเปลี่ยนพื้นที่กันดารให้มี น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก เพื่อขับไล่พวกที่ปลุกระดมโดยอาศัยความแร้นแค้นเป็นข้ออ้างให้ฝ่อไปเพราะเชื่อว่าเมื่อ “การพัฒนา” มาถึง คอมมิวนิสต์ก็จะแทรกซึมไม่ได้
                ในทศวรรษนี้ที่รัฐบาลจากการรัฐประหารสองครั้งหลังสุดมิได้พูดโดยตรงแต่ก็เป็นที่รับรู้กันไปทั่ว ก็คือ การขจัดความยากจนเพื่อต่อสู้กับการเมืองประชานิยมของเหล่าผู้แทนที่ใช้นโยบายลด แลก แจก แถม มาเป็นเหยื่อล่อ?   ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนเครือพรรคไทยรักไทยหรือที่คิดกันว่าเป็น “คนเสื้อแดง”  

                จริงอยู่ที่ “คนเสื้อแดง” มีหลากหลาย และกลุ่มที่ต้านรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก็อาจมีความแตกต่างกันไปในเฉดต่างๆ   แต่บทความนี้จะพูดถึงเฉพาะ การทำสงครามเพื่อยึดครองใจคนชนบทของรัฐบาลรัฐประหารเท่านั้น  

                สิ่งแรกที่ต้องตอบให้ได้ คือ ปัจจุบันคนชนบทเป็นใคร หรือเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ก็ คนชนบททำอะไร อยู่ในภาคการผลิตใด   “ชาวนา” คือ คนกลุ่มหลักของชนบทจริงหรือไม่   และสังคมชนบทต้องการอะไรเพื่อไม่เอนเอียงไปทางการเมืองแบบที่ใช้นโยบายลด แลก แจก แถม เป็นเครื่องมือ แบบที่พรรคอื่นๆ หรือระบบราชการแย่งชิงใจประชาชนไม่ได้

                ภาพกระท่อม กองฟาง และทุ่งนา ที่มีชาวบ้านลงแขกเกี่ยวข้าว แบ่งปันข้าวปลาอาหาร กลายเป็นสิ่งล้าสมัย    สังคมชาวนา แบบที่แต่ละครอบครัวทำการผลิตทางการเกษตรเพื่อยังชีพ ไม่นำไปขาย หรือมีรายได้จากการเกษตรอย่างเดียว แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว   ชาวนาที่ทำเกษตรเพื่อยังชีพและไม่แลกเปลี่ยนอาหาร สินค้าด้วย “เงินตรา” นั้นแทบจะหมดไป  

เหลือเพียงบางกลุ่มที่ได้รับโครงการพิเศษของรัฐพยุงรักษาไว้ หรือไม่ก็เป็นกลุ่มที่อาศัยรายได้จากทางอื่นเข้ามาจุนเจือ เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เป็นต้น   แม้กระทั่งกลุ่มดังอย่างบ้านกุดชุม ในหมู่บ้านนั้นกว่าครึ่ง ก็ทำการผลิตและดำรงชีวิตแบบอื่น

การติดภาพชนบทแบบโรมแมนติกจึงไม่ช่วยให้เข้าใจอะไร และไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาอะไร เพราะไม่อาจฝืนดึงคนชนบทกลับไปดำรงชีพแบบเดิมได้อีกแล้ว ดังเนื้อเพลง “ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย”

ชนบทอาจจะยังเป็นที่ผลิตอาหารและวัตถุดิบแต่กลายเป็นวิธีการเชิงอุตสาหกรรม มีการผลิตสินค้าบางชนิดจำนวนมาก กินพื้นที่กว้างขวาง ลงทุนเยอะ และมีความสัมพันธ์กับบรรษัท ห้างร้าน ดำเนินการเชิงพาณิชย์มากขึ้นเรื่อยๆ   สาเหตุก็มาจากการขยายตัวของสังคมเมือง ที่คนผลิตอาหารเองไม่ได้ ต้องซื้อหาอาหารปรุงสำเร็จ ผ่านแปรรูปของร้านสะดวกซื้อ หรือบริโภคร้านข้างทางที่รับวัตถุดิบต่อมาอีกทอด

การเกษตรยังสำคัญต่อการผลิตอาหาร แต่การเกษตรเป็นแบบอุตสาหกรรมแล้วนั่นเอง   ดังนั้นแนวโน้มที่จะเกิดกับชนบทไทยจึงมี 2 แนวใหญ่ๆ คือ

  1. การทำเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เพื่อตอบสนองตลาดมวลชน (Mass Market)
  2. การทำเกษตรประณีตตั้งแต่ ออร์แกนิค ไร้สาร คุณภาพสูง ฯลฯ เพื่อสนองตลาดเฉพาะ (Niche Market)

การเกษตรทั้งสองแบบต้องอาศัยความรู้ทางธุรกิจในการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพการผลิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นนโยบายรัฐที่ตื้นเขิน เพียงแค่จ่ายเงินอุดหนุน หรือปฏิรูปที่ดินเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พออีกแล้ว

สาเหตุมาจากต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรมนั้นหนักไปที่ปัจจัยการผลิต มูลนิธิวิถีไทได้แสดงให้เห็นแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อรอบว่าเป็น ค่าตัวอ่อนพันธุ์พืช และเมล็ดพันธุ์ เกือบครึ่ง เมื่อผนวกกับค่าปุ๋ย ยา อาหาร แล้วก็เกือบเป็นต้นทุนทั้งหมด ดังนั้นการปฏิรูปกรรมสิทธิ์เหนือพันธุกรรม หรือที่เคยพูดเรื่องอธิปไตยอาหาร นำพันธุกรรมกลับมาเป็นของส่วนรวมหรือเกษตรกร จึงเป็นวาระเร่งด่วนมาก  

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ ทักษะในการบริหารจัดการฟาร์ม ในระบบพันธสัญญามี “สัญญา” ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและปากเปล่า แต่ผูกมัดเกษตรกรได้ และมีไม่น้อยที่ทำให้เกิดหนี้จากการผลิตในระบบนี้แล้วออกจากระบบไม่ได้   ต้องทำการผลิตต่อไป   ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศไทยยังมีการเกษตรอุดมสารเคมีและฮอร์โมนส์ เพราะทุกคนต้องการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตจนตกในวังวนของสารพิษ   บางรายรู้ทั้งรู้ว่ากำลังฆ่าคนกินทางอ้อมก็เลิกไม่ได้ เพราะภาระหนี้ติดพันจนอาจล้มละลายและสูญเสียที่ดิน แล้วต้องไปเป็นแรงงานรับจ้างในท้ายที่สุด

รัฐสามารถเข้าไปช่วยในการเจรจาต่อรองและกำกับการทำสัญญาของเกษตรกรกับเอกชนได้ เพื่อให้เกิดสัญญาที่เป็นธรรม และเข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตให้ปลอดสารพิษ เพื่อลดค่าใช้จ่าด้านสาธารณสุขทั้งภาคเกษตรในชนบทและคนกินในเมืองด้วย

เหนือสิ่งอื่นใด คือ การพัฒนาวิธีบริหารจัดการเชิงธุรกิจ ให้เกษตรกรเป็นผู้จัดการฟาร์มที่ช่ำชอง ศึกษาข้อมูลตลาด เข้าใจผู้บริโภค สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าและฟาร์มตัวเองได้ด้วย เช่น การท่องเที่ยวฟาร์มและธรรมชาติ   เพื่อสร้างความสุขทั้งเกษตรกรในชนบท และคนเมืองที่มาเที่ยว

แล้วไปหนุนเสริมเรื่องระบบโทรคมนาคมและโลจิสติกส์ ให้เกิดตลาดจริงๆ หรือตลาดออนไลน์ ที่คนกินในเมือง กับเกษตรกรในชนบท เจรจากันโดยตรง ควบคุมการผลิตให้ปลอดภัย เพราะรู้จักกัน

เมื่อการเกษตรเกี่ยวพันกับตลาดมากขึ้น นโยบายรัฐก็ยิ่งสำคัญตามไปด้วย เกษตรกรจึงสนใจการเมือง   ดังนั้นการบริหารชนบทจึงต้องใส่ใจรายละเอียด เพราะภาคบริการและพาณิชย์ในชนบทโตขึ้นโดยมีการเกษตรเป็นฐาน

นโยบายพัฒนาชนบทของรัฐจึงต้องครบวงจรทุกด้านด้วย

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า “คนที่ตายแล้วก็สบายไป ที่เหลือไว้คือลูกหลานที่แย่งชิงมรดก” หากไม่มีการวางแผนและจัดการปัญหาไว้ล่วงหน้า ก็อาจมีปัญหาในครอบครัวตามมาหากว่าความรักไม่อาจเอาชนะความโลภได้ แต่ในบางครั้งก็มิใช่เพียงกิเลสเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องเนื่องจากยังมีความยุ่งยากภายในครอบครัวตามมาอีกมาก
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัญหาบางเรื่องมิได้เกิดจากการเดินเข้าไปพบปัญหา แต่บางครั้งปัญหาก็บุกมาถึงตัวเราด้วยปฏิบัติการเป็นหมู่คณะของบริษัทห้างร้านที่ทำธุรกิจร่วมกันไขว้โปรโมชั่นไปมา แล้วเอาข้อมูลของเรามาหาประโยชน์ทางการค้า ด้วยการติดต่อมาหาแล้วพูดจาหว่านล้อมสารพัดจนเราพลัดตกลงไปในหลุมพรางหรือบ่วงล่อบางอย่างจนทำให้เกิดการ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เดี๋ยวทรัพย์สินไม่ใช่ของที่จับต้องได้อย่างข้าวของ เงินทองอย่างเดียวแล้ว มีทรัพย์สินทางปัญญาที่เขารณรงค์กันตลอดเวลาว่าอย่าละเมิด บางทีก็งงใช่ไหมครับ ว่าทำไมเราซื้อหนังสือหรือซีดีมาแต่ทว่า เขาบอกห้ามเผยแพร่ ทำซ้ำ เราก็กลัวว่าถ้าปั้มไปให้เพื่อนเยอะจะผิดไหม แต่ใครๆก็ทำกัน ไหนจะข่าวคนเก็บขยะเอาแผ่นซีด
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะคอยเตือนให้ทุกคนจดจำไว้เสมอคือ “ไม่ควรไว้ใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับคนรู้จัก” หากจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีอาจต้องกันเรื่องเงินๆทองๆไม่ให้มีภาระผูกพันกันไว้เป็นดี   หากจะเห็นใจกันก็ต้องทำใจไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าช่วยอะไรกันไปแล้วอาจไม่ได้คืนมา  แต่ทว่ามีเรื่องหนึ่งในทางกฎหมาย
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัญหาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสังคมที่ใช้เงินทองเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้า ก็คือ การกู้ยืมเงิน มีตั้งแต่การกู้ยืมกันธรรมดาระหว่างญาติพี่น้องคนรู้จักและเพื่อนฝูง ไปจนถึงการกู้ยืมกับคนร่ำรวยในพื้นที่ ถึงขนาดมีผู้มีอิทธิพลปล่อยกู้นอกระบบจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อเกิดการทวงหนี้แล้วมีปัญหาใช้ความรุนแ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องถัดมาก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากกับคนที่ต้องย้ายตัวเข้ามาทำงานหรือมาเรียนต่างที่ ยิ่งเดี๋ยวนี้การเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นเรื่องที่คนเจเนอร์เรชั่นวอล์ค (Generation Walk) อย่างเราๆท่านๆที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ซื้อรถยนต์ขับ และยังไม่แต่งงานต้องคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี   เพราะบางคนย้ายที
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากใครทำธุรกิจการค้าก็คงหวั่นเกรงจะเกิดปัญหาที่จะพูดถึงต่อไปนี้กับกิจการตนเองใช่ไหมล่ะครับ ใช่แล้วครับ เช็คเด้ง!
ทศพล ทรรศนพรรณ
เมื่อถึงเทศกาลสำคัญที่ทุกคนได้ปลดปล่อยกันสุดเหวี่ยงอย่างสงกรานต์   คนจำนวนมากก็เลยถือโอกาสเมาหัวทิ่มมันทุกวันเช้ายันเช้ามืดอีกวันหนึ่ง ตื่นมาก็กินต่อ   ไม่แค่นั้นความสุขทุกรูปแบบที่นึกได้ก็จะหามาปรนเปรอตัวเองให้สนุกสุดเหวี่ยง   ถ้าออกไปนอกบ้านก็จะเจอสงครามสาดน้ำและลู
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับคนไทยยุคหลังครับ เพราะห้างสรรพสินค้ากลายเป็นสถานที่สำคัญของการรวมผู้คนในยุคสมัยที่ชุมชนของเราเปลี่ยนไป จากที่แต่ก่อนอยากได้อะไรก็ซื้อของในร้านใกล้บ้าน อยากซื้อของกินของใช้ก็ไปร้านของชำ อยากได้เสื้อผ้ารองเท้าก็ไปสั่งตัดเอาจากร้านที่เชื่อมือกัน ร้านอาหารดังๆ ยี่ห้อใหญ่ๆ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ มีเรื่องจำนวนมากเกี่ยวกับ  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบางพื้นที่เพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อไปนี้สะท้อนความเป็นไปในระบบการศึกษาไทยได้เป็นอย่างดีเลยครับ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าอนาคตของเราฝากไว้ที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่น้อยเลยทีเดียว   หากอยากเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ คณะดังๆ เพื่อหวังว่าจบมาจะหางานทำง่ายๆ คงรู้กันว่าต้องเตรียมตัวสอบเข้าให้ได้ เลยเกิดโรงเรียนกวดวิชาขึ้นมาม
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผมคิดว่าทุกคนคงเคยเจอปัญหาแบบนี้เข้ากับตัวเองบ่อยๆ เลยครับ ก็เรื่องข้าวของราคาแพง จะไปกิน ไปเที่ยวให้หายเปรี้ยวปากก็ลำบากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าต้องรู้สึกผิดหลังจากรู้ราคาและควักเงินจ่ายออกไปรึเปล่า เพราะบางทีก็เจอร้านหรือบริการที่ไม่บอกราคาชัดเจน มีงุบงิบปิดบังราคาหลบซ่อน โฆษณาจนเราเข้าใจผิดว่าราคาถ