Skip to main content

มหกรรมฟุตบอลโลกจบลงไปแล้วด้วยชัยชนะของกองเชียร์ฝ่ายสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกลุ่มสนับสนุนสิทธิของผู้อพยพ เนื่องทีมแชมป์โลกเป็นการรวมตัวของนักฟุตบอลที่มิได้มีพื้นเพเป็นคนฝรั่งเศส (พูดอย่างถึงที่สุด คือ มิได้มีบุพการีที่เกิดในดินแดนฝรั่งเศส)

                ฝรั่งเศสซึ่งมีแก่นแกนของรัฐอยู่ที่การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้คน ส่งเสริมความเสมอภาคของบุคคลแม้จะมีที่มาและเชื้อชาติศาสนาที่แปลกแตกต่างกันไป บนพื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจในความจำเป็นของเพื่อมนุษย์ที่ในบางสถานการณ์จำต้องอพยพย้ายถิ่นฐานของมาที่หนีภัยออกจากประเทศบ้านเกิด

                มีการสำรวจข้อเท็จจริงในข่าวกีฬาหรือสารคดีทางสังคมจำนวนมากที่บอกสัดส่วนให้เห็นอยู่แล้วว่าหากตัดกลุ่มนักเตะอพยพออกจะทำให้โฉมหน้า 11 ตัวจริงเปลี่ยนไปชนิดที่ไม่เหลือเค้าเดิมของทีมเลอเบลอส์ที่โลดแล่นในฟุตบอลโลก 2018 หรือแม้แต่ย้อนไปเมื่อครั้งได้แชมป์สมัยแรกในปี 1998 ก็มีนักเตะอพยพเกินครึ่งเช่นกัน

                ปรากฏการณ์นี้ให้บทเรียนอะไรกับเรา โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศ การควบคุมดุแลคนเข้าเมือง หรือพูดอย่างถึงที่สุด คือ การบริหารจัดการประชากรเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของประเทศท่ามกลางอีกสถานการณ์ที่รุกเร้ารัฐไทยนั่นคือ การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีทายาทน้อยลง

มิพักต้องพูดถึงปัญหาที่ซ่อนอีกประการ คือ ลูกหลานคนไทยยุคใหม่ไม่ต้องการประกอบอาชีพ สกปรก อันตราย และไร้เกียรติ

                กีฬาฟุตบอลโดยเฉพาะการแข่งขันของ “ทีมชาติ” ย่อมสะท้อนเรื่องนี้ได้อย่างถึงแก่น

                กล่าวคือ ทีมที่เข้าแข่งขันนั้นต้องเป็นตัวแทนของประเทศ มีสัญชาติของรัฐเพื่อให้เกิดสิทธิในการลงเล่นให้ทีมชาติเหล่านั้น  แต่ที่ลึกไปกว่านั้น เราจะเห็นถึงระบบการสร้างเยาวชนนักฟุตบอลตั้งแต่วัยเยาว์ที่ประกอบไปด้วยเด็กซึ่งได้สัญชาติมาตามนโยบายของรัฐนั้นๆ แม้พ่อแม่จะเป็นผู้อพยพถือสัญชาติอื่นก็ตาม

                ข้อคัดค้านที่มีเสมอคือ ถ้ายอมให้ผู้อพยพเข้ามา ไม่กลัวล้นประเทศหรือ จะควบคุมอาชญากรรมอย่างไร จะเข้ามาแย่งงานไหม หรือถ้าต้องให้สิทธิสวัสดิการ จะเอาที่ไหนไปจัดให้เขา 

ขอตั้งต้นอย่างนี้นะครับ

                ในโลกหลังสมัยใหม่ ความสามารถในการข้ามพรมแดนย่อมมีมากกว่าในอดีตอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกันเทคโนโลยีจำนวนมากก็ช่วยให้รัฐควบคุมชายแดนหรือประชากรได้มากขึ้นเช่นกัน ระบบเอกสารหรือตรวจนับคนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  แต่สิ่งที่ทั่วโลกกำลังเผชิญไปด้วย คือ ขาดกำลังแรงงานในภาคการผลิตและบริการที่จำเป็น “ในราคาประหยัด”

                เราจะตอบสนองเป้าหมายทั้งสองที่ดูเหมือนจะขัดกันได้อย่างไร ไม่ให้กระเทือนชีวิตหรือแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกของผู้รักชาติ ย่อมเป็นประเด็นสำคัญในการเมืองร่วมสมัย ดังที่จะเห็นแนวโน้มของการใช้นโยบายเรื่องผู้อพยพเป็นเครื่องมือหาเสียงมากขึ้นเรื่อยๆในหลายประเทศ

                ว่ากันด้วยเรื่องความมั่นคงก่อน การวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมประชากร พบว่า ความสามารถในการตรวจนับเขาสู่ระบบ และสร้างประสิทธิภาพในการสอดส่องจับจ้องผู้ต้องสงสัย คือ เครื่องมือสำคัญในการรักษาความมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม หรือในบั้นปลายคือติดตามจับกุมอาชญากรมาดำเนินคดี

                ดังนั้นการมีผู้อพยพที่ลักลอบเข้าเมืองโดยที่รัฐไม่พัฒนาระบบในการลงทะเบียนตรวจนับ เพื่อสร้างกลไกในการติดตามบุคคลต่างหากที่เป็นรูลอดให้องค์กรอาชญากรรมสอดทะลุเข้ามาดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการปล่อยให้เรื่องผู้อพยพเป็นสิ่งซุกซ่อนใต้พรม เพราะจะทำให้คนเหล่านั้นเข้าสู่อาชีพหรือกิจกรรมผิดกฎหมายสร้างรายได้ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้แสวงหาประโยชน์โดยทุจริต และกลายเป็นเสาค้ำยันองค์กรอาชญากรรมไปด้วย

                หลายประเทศจึงเลือกที่จะทำให้ขึ้นมาอยู่ในที่สว่าง มีการดำเนินการที่ชัดเจนตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส

                ในประเด็นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคมไทยเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าอาชีพที่ผู้อพยพทำนั้นล้วนมีความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนต่ำจนคนไทยเลือกที่จะไม่ทำ หากขาดแรงงานข้ามชาติอาจทำให้สายพานการผลิตชะงักงัน 

เรื่องที่สำคัญกว่า คือ แรงงานอพยพเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของสินค้าและบริการไทยให้เสื่อมคุณภาพเสียชื่อเสียงต่อแบรนด์ไทยหรือไม่ เช่น อาหารไทยที่รสชาติแปร่งปล่าเพราะว่าใช้เชพจากต่างประเทศ หรือร้านค้าที่เปลี่ยนวิถีการให้บริการผิดแผกไปจากกลิ่นอายไทยแท้

จากการลงพื้นที่สำรวจวิจัยพบว่า ร้านที่มีลักษณะเปลี่ยนไปในเชิงคุณภาพนั้นก็ด้วย 2 สาเหตุใหญ่ คือ

  1. ไม่ได้มีการรักษาคุณภาพ เช่น เจ้าของไม่ได้เฝ้าร้าน เปิดแฟรนไชส์ไปหลายสาขาจนยากควบคุม หรือไม่มีการส่งมือดีไปชิม ไปบริหารอย่างใส่ใจในรายละเอียด
  2. การเข้ามาของทุนต่างชาติที่แผ่อิทธิพลมากขึ้นผ่านกำลังเงินมหาศาล เช่น การมาซื้อกิจการต่อจากคนไทยแล้วเอาไปทำเองจนเพี้ยนไป เสมือนไปกินร้านอาหารไทยในต่างแดนที่มีเจ้าของไม่ไทย เป็นต้น

ปัญหามิใช่ตัวแรงงาน แต่เป็นปัญหาที่ผู้ควบคุมคุณภาพเสียหรือที่โหดร้ายกว่านั้น คือ การซื้อห้างร้านนั้นไปเพื่อบังหน้ากิจกรรมผิดกฎหมายอื่น แล้วทำการฟอกเงินผ่านตัวเลขที่ปั้นแต่งโดยอาศัยชื่อเสียงเก่าของร้านนั้นๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่บั่นทอนทั้งความมั่นคงของรัฐและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติ

                เราเลือกได้ว่าจะดึงดูดใครเข้าประเทศและควบคุมใครมิให้ทำร้ายชาติ

 

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นต่างและไม่ยอมรับกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ก็ห้ามแสดงความคิดเห็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากกรณีฮือฮาที่บัณฑิตนิติศาสตร์ถูกจับดำเนินคดี เนื่องจากผลิตเบียร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จนมีการถกเถียงว่า “ทำไมรัฐไทยไม่อนุญาตให้คนทั่วไปผลิตเบียร์” ทั้งที่ชอบป่าวประกาศให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  จนทายาทเบียร์ยี่ห้อดังออกมาตอบโต้ โ
ทศพล ทรรศนพรรณ
นอกจากประเด็นที่สื่อมวลชนกำลังตื่นตัวว่าจะมีการออกกฎหมายมาควบคุมตีตราสื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในลักษณะที่ผู้มีอำนาจอาจเข้ามาแทรกแซงแล้ว  อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันและกระเทือนไปสู่วงกว้างมาก คือ การขยายขอบเขตการควบคุมไปยัง สื่อใหม่  
ทศพล ทรรศนพรรณ
จากประสบการณ์ตรงและการสังเกตการณ์งานต่อสู้ของประชาชนในท้องถิ่นหลายงานสะท้อนปัญหาหนึ่งที่คล้ายกันในหลายพื้นที่ คือ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการและนโยบายพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ หรือการลงทุนของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม มักจะถูกจ้องมองด้วยสายตาหวาดระแวงไปจนถึงการถูกสลายทำลายขบวนการเรื่อยมา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองประเด็นใหญ่ช่วงปลายปี 2016 ที่ชาวโลกจับตามองเห็นจะไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการทยอยประกาศรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ บ็อบ ดีแลน ได้โนเบล แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำแหน่งประธานาธิบดี
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเมืองในโลกออนไลน์ที่ฮือฮาในช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปีหนีไม่พ้นเรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่ สนช. ภายใต้การผลักดันของรัฐบาล คสช.
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อสารที่ตัดข้ามผ่านพรมแดนตลอดเวลา และเศรษฐกิจระบบตลาดที่มีพละกำลังมหาศาลจนมิมีรัฐใดทัดทานได้ จนต้องเปิดกำแพงให้สินค้า บริการและผู้คนเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกกว่ายุคสงครามเย็นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนนักคิดไม่น้อยหลุดปากว่า “รัฐชาติลดความสำคัญ” ไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากประเทศไทยต้องการผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จำต้องมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่ประกันความเป็นส่วนตัวในการสื่อสาร ตามมาตรฐานสากลใน 12 ประเด็นนี้
ทศพล ทรรศนพรรณ
จะพัฒนารัฐ ต้องมุ้งเป้าไปที่ ลูกหลานแรงงานและเกษตรกรโดยเฉพาะสตรี นี่คือสิ่งที่องค์การระหว่างประเทศด้านการพัฒนาเน้นย้ำเสมอ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้มอบให้แด่ ศาสตราจารย์ชอง ติโรล (Jean Tirole) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส    องค์กรให้เหตุผลอย่างชัดเจว่าเป็นผลจาก การวิเคราะห์อำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นน้อยรายที่มักจะมีอำนาจเหนือตลาด ประสิทธิภาพของกลไกตลาดจึงเสียหาย และมีข้อเสนอในงานวิจัยของเขา
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเข้าใจผิดประการหนึ่งต่อการกระตุ้นตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลและดึงดูดการลงทุนในอภิมหาโครงการไทยแลนด์ 4.0 ก็คือ การมุ่งไปชักชวนผู้ประกอบการรายใหญ่โดยใช้มาตรการลดแลกแจกแถมในรูปแบบการเชิญชวนนักลงทุนในยุคอุตสาหกรรมหนักซึ่งพ้นยุคสมัยไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เมื่อมีรัฐบาลใหม่สิ่งทีตามมาด้วยเสมอ คือ นโยบายด้านเกษตรกรรม   ในอดีตเกษตรกร หรือที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็น “ชาวนา” คือ กลุ่มเป้าหมายหลักในการหยิบมาเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับนโยบายอุดหนุน   ตามสโลแกน “ชาวนา คือ กระดูกสันหลังของชาติ”  ที่แม้แต่คนรุ่นหลังๆ ก็ยังได้ฟังคำขวัญเห