Skip to main content

            สถานการณ์เขม็งเกลียวทางการเมืองและสังคมที่เกิดจากการพยายามผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย(ตัน) ของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลโดยมีคะแนนเสียงในสภาล่างถึง 310 เสียงนั้น   ได้ผลักให้ญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม 2553 และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต่อต้านการล้างผิดให้กับอดีตนายกฯทักษิณ รวมถึงกลุ่มต่างๆที่เห็นความไม่ชอบมาพากลทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาต่อต้านการผลักดันกฎหมายฉบับดังกล่าวอย่างเสียมิได้ และคิดว่าไม่ทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากใช้การเมืองนอกรัฐสภาเข้ากดดัน

      สำหรับผู้ที่ฝากความหวังไว้กับศาลรัฐธรรมนูญที่จะตัดสินว่า พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าวจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็โปรดดูแนวคำพิพากษาย้อนหลังเกี่ยวกับการออก พรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับต่างๆด้วย ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไรในการเพิกถอน พรบ.ฉบับดังกล่าวทั้งฉบับ  

อันที่จริงแล้วยังเหลือแนวทางในการต่อสู้เพื่อสร้างความเป็นธรรม นำผู้กระทำผิดกฎหมายมาลงโทษทางอาญา และเยียวยาสิทธิให้กับญาติผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งจากการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลทักษิณได้อีก หนึ่งหนทาง   โดยที่ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงอันจะนำไปสู่การนองเลือดซ้ำอีกครั้ง   นั่นคือ การผลักดันรัฐสภาให้สัตยาบันธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศในทางสากลมานับสิบปีแล้ว ขาดก็แต่เพียงการให้สัตยาบันโดยรัฐสภาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในประเทศไทยเท่านั้น

            เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและไม่ต้องการเห็นการออกกฎหมายลบล้างความผิดของอดีตนายกฯทักษิณ มวลชนเสื้อแดงที่เจ็บปวดจากการประหัตประหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์   และพลเมืองไทยผู้รักความยุติธรรมต้องการรักษาระบบกฎหมายต่อต้านการใช้อำนาจประหัตประหารของผู้มีอำนาจทุกรูปแบบ   สังคมไทยต้องร่วมกันกดดันให้รัฐสภาให้สัตยาบันต่อธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ และออกถ้อยแถลงให้ธรรมนูญศาลฯมีผลกับประเทศไทยย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจบังคับตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหากใช้เงื่อนเวลาดังกล่าวศาลฯจะมีเขตอำนาจบังคับคดีทั้งหลายอันได้แก่

1)    การใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่มัสยิดกรือเซะของรัฐบาลทักษิณ

2)    การใช้กำลังปราบปรามและทำให้เกิดผู้เสียชีวิต ณ อำเภอตากใบ ของรัฐบาลทักษิณ

3)    การใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมในกรุงเทพ ช่วงเมษา-พฤษภา 2553 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์

4)    ป้องกันการประหัตประหาร หรือการใช้กำลังปราบปรามที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

สาเหตุที่การให้สัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศจะช่วยฝ่าทางตันของ พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ก็ด้วยเหตุที่ว่า   “เมื่อกระบวนการภายในของรัฐไทยไม่สามารถเอาผิดผู้ละเมิดสิทธิของประชาชนได้แล้ว” ก็จะเข้าเงื่อนไขสำคัญในการนำคดีขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศทันที   เนื่องจากก่อนหน้านี้ศาลอาญาระหว่างประเทศและองค์กรนิรโทษกรรมสากลก็ชี้ตรงกันแล้วว่า คดีในประเทศไทยยังไม่เข้าเกณฑ์ในการรับฟ้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศเพราะยังไม่ปรากฏ “การใช้กระบวนการเยียวยาภายในจนหมดสิ้น” (Exhaustion of Local Remedy)   หรือมีพฤติการณ์ให้เชื่อได้ว่าจะมี “การปฏิเสธความยุติธรรม” อย่างชัดแจ้ง (Denial of Justice)

มาบัดนี้การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างความผิดและโทษทางกฎหมายให้กับผู้มีส่วนกับการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศทั้งหลาย ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่ามีการปฏิเสธความยุติธรรม และทำให้โอกาสในการเยียวยาสิทธิด้วยกระบวนการภายในหมดสิ้นลง   ประชาชนผู้ถูกละเมิดสิทธิทั้งหลายจึงมีเงื่อนไขครบถ้วนที่จะนำคดีรัฐบาลทักษิณและอภิสิทธิ์ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ติดอยู่ก็แต่เพียงรัฐไทยยังมิได้ให้สัตยาบันและทำถ้อยแถลงให้ศาลมีผลบังคับใช้กับไทยย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่ศาลมีผลทางกฎหมาย            ดังนั้นแนวทางที่เป็นรูปธรรมและจะนำความยุติธรรมกลับคืนมาโดยไม่ติดข้อจำกัดของเฉดสีและการเมืองภายในนั่นคือ การใช้กลไกเยียวยาระหว่างประเทศเพื่อให้ปลอดคำครหาและการตั้งข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น

สำหรับผู้ที่ห่วงใยว่าอดีตนายกทักษิณจะรอดพ้นคดีไปล่องลอยอยู่ในต่างประเทศได้เหมือนตอนที่เป็นนักโทษในคดีคอรัปชั่น ก็ขอให้ทราบว่า คดีที่จะทำให้อดีตนายกทักษิณติดกับและหนีไปได้อย่างแท้จริง คือ คดีอาญาระหว่างประเทศ เนื่องจากคดีแบบนี้จะทำให้เกิด “เขตอำนาจสากล” ในการบังคับทุกรัฐให้ต้องจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีในศาล   ดังที่ปรากฏความกังวลของ พตท.ทักษิณ โดยการจ้างทนาย อัมสเอตร์ดัม ซึ่งจริงๆแล้วมีความเชี่ยวชาญในการเป็น “ทนายจำเลย” แก้ต่างให้กับผู้ต้องหาในศาลอาญาระหว่างประเทศ  มิใช่ผู้เชี่ยวชาญในการฟ้องเอาผิดดังที่มวลชนฝ่ายแดงเข้าใจผิดกัน

หากมองว่าฝ่ายใดจะคัดค้านการให้สัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศ ก็เห็นจะเป็น ฝ่ายที่หยิบยกเรื่องการสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล และเปิดให้ศาลระวห่างประเทศเข้ามายุ่มย่ามกิจการภายในรัฐไทย   นั่นก็คือ ฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีส่วนในการประหัตประหารประชาชนและละเมิดสิทธิประชาชนร่วมกับทุกรัฐบาลมาตลอด   จุดยืนของ กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือแม้แต่ DSI ย่อมไปในทิศทางนิ่งเฉยต่อ พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย หรือถึงขั้นสนับสนุนกฎหมายฉบับดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ ดังที่สังคมจะต้องสังเกตท่าทีของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ต่อ พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย และท่าทีนิ่งเฉยของผู้นำกองทัพต่อเรื่องนี้ และการให้สัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศ

ประชาชนทุกฝ่ายผู้เห็นแล้วถึงความแยบคายของเหล่าชนช้ำนำไทย ที่ผลักใสมวลชนเข้าปะทะกัน แต่สุดท้ายชนชั้นนำทั้งหลายก็จับมือกันล้างความผิดแล้วผสานประโยชน์เข้าหากัน โดยไม่เห็นหัวประชาชนผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ทางที่ดีขึ้น   การฝากความหวังไว้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง  การหวังพึ่งกองทัพ ข้าราชการ หรือแม้กระทั่งเทพยาดาฟ้าดิน ย่อมไม่อาจสร้างบันดาลความเป็นธรรมให้กับประชาชนได้ ตราบที่คนจำนวนหยิบมือยังกุมอำนาจในการกำหนดชะตากรรมอนาคตไว้ในมือตัวเอง โดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่ออำนาจประชาชน

สังคมไทยคงเห็นชัดจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วว่าการเมืองไทยไม่ได้มีแค่เรื่องหน้าฉากให้เห็นว่ามีเพียงนักการเมืองที่อยู่ใต้แสงไฟหน้าฉาก ให้เราได้ก่นด่าว่าร้าย และตรวจสอบ   แต่จริงๆแล้วยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังอีกมากมาย ซึ่งคนเหล่านั้นพร้อมจะผลักดันให้เกิดการประลองกำลัง หรือจับมือกันผสานประโยชน์โดยไม่สนใจความตายของประชาชนและความยุติธรรมในสังคมใดๆทั้งสิ้น   ฝ่ายการเมืองที่อยู่ในการจับจ้อง ยังไม่อันตรายเท่ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง เช่น ฝ่ายความมั่นคง ชนชั้นนำ หรือกลุ่มทุนที่หนุนหลังแต่ละฝ่าย

และที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ กลุ่มทุนที่สนับสนุนทุกฝ่าย และเข้าได้กับทุกฟาก ซึ่งจะรอดตายไม่ว่าจะเกิดวิกฤตหรือคลี่คลายอย่างไรก็ตาม  

ในทางความมั่นคงและสิทธิมนุษยชนปัจจุบัน กลุ่มที่จะต้องจับตาดูมากขึ้น ก็คือ ฝ่ายเทคโนแครตด้านความมั่นคงที่อยู่ในอำนาจเสมอไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลไปเป็นฝ่ายไหน และกลุ่มทุนที่สนับสนุนและได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลังไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล 

หากไม่เชื่อก็ลองดูรายชื่อรัฐมนตรีย้อนหลัง และรายชื่อหัวหน้าหน่วยงานรัฐด้านความมั่นคงดูสิ

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
Nick Srnicek ได้สรุปภาพรวมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แตกต่างกัน 5 ประเภท คือ1.แพลตฟอร์มโฆษณา, 2.แพลตฟอร์มจัดเก็ยข้อมูล, 3.แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม, 4.แพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์, และ 5.แพลตฟอร์มแบบลีน 
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มดิจิทัลมีรายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลจากการประมวลผลข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคในระบบของตน แต่ยังไม่มีระบบการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม    เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงเรื่องใครเป็นเจ้าของข้อมูลและมีสิทธิแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นบ้าง    จึงจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ.
ทศพล ทรรศนพรรณ
แพลตฟอร์มมักเป็นระบบแบบเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหา จากการที่ทำให้การเข้าถึงข้ามเขตอํานาจ ในทางกลับกัน กลับมีการกําหนดให้หน่วยงานกํากับดูแลและผู้ออกกฎหมายต้องร่วมมือกันข้ามพรมแดนแห่งชาติเพื่อประสานระบอบกฎหมายและกฎระเบียบในขณะที่จัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงประเด็นกา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์ปรับปรุงเกระบวนการระงับข้อพิพาทของบรรดาผู้บริโภคในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยืนยันว่าระบบสามารถใช้เพื่อทำการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้บริโภคจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution - ADR) ที่ได้รับการรับรองจากสาธารณะให้เป็นมากกว่ากลไกการระงับข้อพิพาทใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การสร้างความเชื่อถือให้กับผู้บริโภคจึงเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ขายต่อไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ  รวมถึงประเทศไทยให้ความสนใจและมุ่งให้เกิดการคุ้มครองอย่างจริงจังต่อปัญหาการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใดที่ผู้คนจำนวนมากขาดความรู้ความเข้าใจต่อเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อชีวิตโดยตรง รัฐในฐานะผู้คุ้มครองสิทธิประชาชนและยังต้องทำหน้าที่กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย จึงมีภาระหนักในการสถาปนาความ “เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นในใจประชาชนที่ลังเลต่อการเข้าร่วมสังฆกรรมใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริงเป็นสื่อใหม่ในโลกยุคดิจิทัลที่แสดงด้วยภาพและเสียงสามมิติซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นสังคม (Community) ภายในโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ แต่มิใช่เพียงการเข้าไปรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงเท่านั้น นอก
ทศพล ทรรศนพรรณ
การทำธุรกรรมบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมสัญญาอย่างรวดเร็วสะดวกลดอุปสรรค ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตก็ด้วยไม่ต้องการเดินทางหรือไม่ต้องมีตัวกลางในการประสานความร่วมมือหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้รับรองสถานะของสัญญาในลักษณะตัวกลางแบบที่ต้องทำในโลกจริง ที่อาจถูกกฎหมายบังคับให้ทำตามแบ
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริง (Virtual World) คือสภาพแวดล้อมเสมือนซึ่งสร้างและปฏิบัติการด้วยซอฟต์แวร์ (Software) ที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของเจ้าของแพลตฟอร์ม (Platform) สิ่งแวดล้อมเสมือนเหล่านี้ออกแบบมาให้ผู้เล่นหรือผู้ใช้โลกเสมือนจริงสามารถใช้ตัวตนเสมือนหรืออวตาร (Avatar) ในการท่องไปในโลกนั้น โดยสามารถติดต
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัลตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ โดยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์สามารถห้ามปรามการเผยแพร่ความคิดหรือการแสดงออกในงานสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอ้างเหตุแห่งการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชนอย
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการจำนวนมหาศาลแต่นำมาซึ่งความกังขาว่า สังคมได้อะไรจากการเติบโตของบรรษัทขนาดใหญ่ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ อันเป็นที่มาของเรื่อง การจัดเก็บภาษีดิจิทัลได้กลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ รัฐบาล ในยุโรป เช่นใน เยอรมนี