Skip to main content

กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงจำเป็นต้องเข้ารักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศ แต่ในความเป็นจริงยังมีปัจจัยอื่น ๆ ในการแทรกแซงอีก เช่น การเสียอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มผู้มีอำนาจ ชนชั้นนำ และกองทัพ หรือการได้รับคำสั่งจากรัฐบาล รวมถึงภารกิจข่าวกรองสอดส่องโดยอาศัยข้ออ้างเรื่องความมั่นคงของชาติ


การแทรกแซงของทหารนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อย ระบบพรรคการเมืองและสภาผู้แทนราษฎรขาดความต่อเนื่อง ขาดเสถียรภาพในการบริหารบ้านเมือง ส่งผลให้เสียภาพพจน์ทางการเมืองในสายตาของต่างประเทศ ทำให้ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังอาจเกิดความแตกแยกในกองทัพ และเกิดปัญหาเรื่องการเพิ่มงบประมาณของกองทัพ ที่ไม่สมดุลในสัดส่วนงบประมาณของประเทศ


ปัญหาที่เกิดกับการเมืองในอดีต อันเป็นผลจากการที่ทหาร ตำรวจ หน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานลับ มักจะมีอำนาจอย่างมาก โดยเฉพาะในบางครั้งอำนาจของหน่วยงานเหล่านี้อาจจะอยู่ "เหนือกฎหมาย" สภาพเช่นนี้ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำงานด้านความมั่นคงแทนที่จะรับใช้ประชาชน กลับกลายเป็นองค์กรที่ถูกใช้เพื่อล้อมปราบประชาชน และบางครั้งก็กลายเป็นจุดของการสร้างแนวคิดทหารนิยม (Militarism) ในสังคมนั้น ๆ  ทำให้ความคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบกองทัพทำให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนเป็นไปได้ยาก

ผลกระทบจากการเรืองอำนาจของกองทัพในทางการเมือง

1. ฝ่ายความมั่นคงแทรกแซงทางการเมือง

ในยุคหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กองทัพและฝ่ายความมั่นคงได้เข้าแทรกแซงการเมืองด้วยความรุนแรงโดยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฝ่ายความมั่นคงหรือ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นั้นได้ทำการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ ทั้งยังออกประกาศ พ.ร.บ.ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลายฉบับ อาทิ พรบ.การรักษาความมั่นคงภายใน 2550 และมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 รวมไปถึงการปรับสัดส่วนกรรมการในสภากลาโหมให้ข้าราชการประจำมีจำนวนสัดส่วนมากกว่าข้าราชการพลเรือน/การเมือง อีกด้วย


ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 และมีการเลือกตั้งรัฐบาลแล้ว ฝ่ายความมั่นคงมีท่าทีที่แตกต่างกันเมื่อรัฐบาลมาจากต่างพรรคการเมือง ดังจะเห็นได้จากช่วงรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนนั้นฝ่ายกองทัพไม่เข้าร่วมการจัดการผู้ชุมนุมของพันธมิตรและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายตำรวจในการจัดการ ในช่วงรัฐบาลสมชายซึ่งถูกกดดันจากหลายฝ่ายนั้นฝ่ายกองทัพก็ได้แสดงความเห็นกดดันให้รัฐบาลลาออกเช่นกัน


ส่วนในยุครัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์นั้นในการชุมนุมของฝ่าย นปช. ทั้งปี 2552 และ 2553 นั้นฝ่ายความมั่นคงได้ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลโดยไม่ขัดขืนทั้งยังเป็นหน่วยงานที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทั้งสองครั้ง การทำงานของฝ่ายความมั่นคงกับรัฐบาลยุคอภิสิทธิ์นั้นสอดคล้องไปด้วยกัน
ยิ่งในยุคหลังการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กองทัพได้กลายเป็นโล่เหล็กและเป็นกลไกสำคัญในการทำบัญชีรายชื่อบุคคลผู้เป็นภัยต่อความมั่นคงและเรียกบุคคลเหล่านั้นเข้ารายงานตัวในค่ายทหาร และดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคงในศาลทหารเป็นจำนวนมหาศาล   และในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารกองทัพก็เป็นองค์กรที่ใช้ในการกดปราบผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลอีกด้วย


จากเหตุการณ์การเมืองดังกล่าวข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าฝ่ายความมั่นคงนั้นแทรกแซงการเมืองโดยการเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลบางรัฐบาลเท่านั้น   หาใช่กองทัพอาชีพที่รับบัญชาจากรัฐบาลที่ได้รับอาณัติมาจากประชาชน แล้วปฏิบัติภารกิจตามกรอบของรัฐธรรมนูญในการธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน

 

2. ฝ่ายความมั่นคงและข่าวกรองใช้วิธีในยุคสงครามเย็น

การดำเนินงานจัดการกับปัญหาทางการเมืองของฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลไทยนั้นยังคงใช้วิธีการที่เรียกว่า “การเมืองนำทหาร” คือการใช้กำลังทหารภายใต้แนวทางทางการเมืองที่ชัดเจนมีการจัดการองค์กรที่เป็นองค์เดียวชัดเจน มีลักษณะสร้างความเป็นศัตรูให้แก่มวลชนหรือเชื้อชาติที่ต่อต้านรัฐบาล ให้มวลชนกลุ่มอื่น ๆ มองว่ากลุ่มมวลชนดังกล่าวนี้เป็นศัตรูกับทุกคนในสังคมแล้วดึงมวลชนของศัตรูมาเป็นพวกกับฝ่ายรัฐบาลให้มากที่สุดจนฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรง อันเป็นวิธีการที่รัฐไทยใช้มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน วิธีการดังกล่าวสามารถที่จะปราบฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้อย่างราบคาบก็จริง แต่ก็อาจจะส่งผลให้เกิดแรงต้านที่ร้ายแรงกว่าเดิมได้ดังกรณีที่เห็นได้จากหลาย ๆ ประเทศ 


เราจะเห็นวิธีการดังกล่าวอย่างชัดเจนใน “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ. ซึ่งเป็นการนำรายชื่อของบุคคลต่าง ๆ จากฝ่ายข่าวกรองที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่ม นปช. และมีแนวคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์มาโยงเป็นเครือข่ายอันจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐออกประกาศทางสื่อกระแสหลักต่าง ๆ ที่สร้างความเป็นศัตรูแก่ประเทศให้แก่กลุ่ม นปช. ทั้งยังเป็นการสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของรัฐในการเข้าสลายผู้ชุมนุมอีกด้วย การใช้วิธีการดังกล่าวเป็นการทำลายปฏิปักษ์ทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาลและเป็นการแทรกแซงฝ่ายข่าวกรองโดยรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายปฏิปักษ์ของตนด้วย   รวมไปถึงการทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่เป็นต่อความมั่นคงของรัฐ ในกรณี รายชื่อเฝ้าระวังบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันหลักของชาติ หรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเรียกร้องการปกครองตนเอง โดยผลักไสให้กลายเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเป็นอาชญากรหรือกลุ่มก่อการร้ายที่ฝ่ายความมั่นคงล็อคเป้าหมาย และมีการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาลอีกด้วย


ยุทธวิธีดังกล่าวเป็นมรดกทางยุทธศาสตร์ที่ตกทอดมาจากยุคสงครามเย็น อันใช้วิธีสร้างศัตรูของชาติขึ้นมา ก่อให้เกิดการแบ่งแยกในหมู่มวลชนด้วยกัน ยิ่งเป็นการผดุงความขัดแย้งไว้มากกว่าการรักษาความมั่นคงของสังคมโดยการสร้างความปรองดอง

 

3. การฉวยใช้ประโยชน์จากสถาบันหลักของชาติ

การอ้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นและบูรณภาพของดินแดน กดปราบขบวนการเคลื่อนไหวที่เรียกร้องให้มีการผลักดันนโยบายปกครองตนเองหรือกระจายอำนาจ ให้กลายเป็น ศัตรูของชาติ  เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของราชอาณาจักรไทย โดยอ้างว่ารัฐไทยเป็นรัฐเดี่ยวหนึ่งเดียวไม่อาจแบ่งแยกได้   ทั้งที่จริงแล้ว การปกครองตนเองและการกระจายอำนาจ หาใช่การแยกดินแดนออกไปตั้งรัฐใหม่ แต่เป็นการออกแบบการปกครองระดับพื้นที่/ท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับความแตกต่างหลากหลายของประชากรและความจำเป็นพื้นฐานของแต่ละพื้นที่ อันเป็นวิถีทางที่สอดคล้องรัฐธรรมนูญ  


สถาบันหลักของชาติอย่างเช่น สถาบันกษัตริย์ ถูกฝ่ายความมั่นคงดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายปฏิปักษ์ทางการเมืองของฝ่ายตน โดยเฉพาะกรณีการดำเนินคดีมาตรา 112 ต่อประชาชนผุ้เห็นต่าง การดึงสถาบันหลักของชาติมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสถาบันหลักของชาติเอง เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่เป็นเหยื่อจากการดำเนินการของรัฐเองต่อสถาบันหลักของชาติที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง   ทั้งที่ฝ่ายที่อ้างสถาบันกษัตริย์เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงเองหาใช่สถาบันกษัตริย์โดยตรงไม่

จากปัญหาข้างต้นเห็นได้ว่ารัฐไทยในช่วงระยะเวลาจากปี 2548-2566 นั้นมีลักษณะที่ขยายอำนาจของรัฐฝ่ายความมั่นคงมากขึ้น แต่รัฐมีความชอบธรรมน้อยลงจากการขยายอำนาจของตนในด้านต่าง ๆ เช่น การแทรกแซงองค์กรอิสระ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน การขาดอำนาจนำของรัฐ เป็นต้น และมีความชอบธรรมในการบังคับใช้กลไกของรัฐตกต่ำลงมากขึ้น

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้มีน้องคนหนึ่งนำเรื่องแปลกมากเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ก็มีดังนี้ครับ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องสุดท้ายของบริการด้านสื่อสารแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกบ้านแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านกันแล้วแทบทุกหลังเพราะมันทำให้เราสามารถทำงานหรือพักผ่อนที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนั่งทำงานที่อื่นหรือเสียเงินออกไปซื้อความบันเทิงนอกบ้าน   หนูก็ชอบดูซีรี่ส์แล
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาผมคิดว่าหลายท่านคงเคยหงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถที่ดันมาพังเอาตอนที่เรารีบเร่งจะต้องใช้งานใช่ไหมครับ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เราขับได้แต่ซ่อมไม่เป็นต้องเข็นไปเข้าอู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดีไม่ดี มีฝีมือน่าเชื่อถือจริงรึเปล่า เพราะเราก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น ผู้ชา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้หลายท่านอาจจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน หรือเคยได้ยินตามข่าวคราวที่ออกมาหลายครั้งนะครับ เพราะว่าปัจจุบันศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะเราอยากมีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยงาม เปล่งปลั่งมาจากภายในแต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งเพราะไม่ตรงกับเวลาว่าง ก็มักจะเข้าฟิตเ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องยุ่งๆ เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมตามเงื่อนไขการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามาชักชวนคนในพื้นที่ให้เข้าร่วมทำสัญญาประกันชีวิตแต่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของสัญญาที่มาเล่าปากเปล่าและมีการปิดบังซ่อนเร้น เพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่าง เมื่อผู้เอาประกันตาย ญาติ ลูกหลานไปร้องขอรับปร
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นกรณีที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่นที่อาจมาเคาะประตูบ้านเราได้ทั้งที่เราก็อยู่เฉยๆในบ้านไม่ได้ออกไปทำอะไรเสี่ยงภัย  แต่กลับประสบภัยจากความประมาทเลินเล่ออย่างรายแรงของผู้อื่น  ลองไปฟังเคราะห์หามยามซวยของน้องคนหนึ่งที่หวังจะใช้กฎหมายเป็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ป้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าไปโรงพยาบาลรัฐแถวบ้านซึ่งตนมีชื่อเป็นคนใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ป้าได้รับบัตรมานานมากแล้ว และเมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างและซ่อมบ้านทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของออกจากบ้านก่อนจะกลับเข้าไปอยู่อีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ทำให้บัตรที่เก็บไว้สูญหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทร
ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมาย เขียนด้วยคน บังคับด้วยคน และก็เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน   จึงมีคนสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปทำไมในเมื่อไปบังคับ ดิน ฟ้า อากาศ หรือน้ำ ไม่ได้  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากคำทำนายในบทความ “รัฐเผด็จการ กับ การล้วงตับ” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (http://blogazine.in.th/blogs/streetlawyer/post/4833) จึงเป็นเวลาอันสมควรที่ประชาชนและสังคมไทยต้องร่วมกันต่อต้าน ชุดกฎหมายความมั่นคงโดยเฉพาะ พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาจำนวนมากขัดกับ หลักกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทศพล ทรรศนพรรณ
“ความซวยไม่เข้าใครออกใคร” รถหาย โดนเบี้ยวหนี้ ชนแล้วหนีไม่มีใครรับผิดชอบเด็กในท้อง ไปจนถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถ้าลองได้เกิดขึ้นในหมู่คนรู้จัก ก็มักจบลงด้วยการตัดญาติขาดมิตร ไม่เผาผีกัน คงเป็นสิ่งที่ได้ยินไม่เว้นแต่ละวันใช่ไหม