Skip to main content


เราจะแก้ปัญหาความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ทางการเมืองในปัจจุบัน

และวิกฤติการณ์ในโลกได้อย่างไร มีอะไรที่ปัจเจกบุคคลจะสามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น


สงคราม

เป็นการแสดงออกที่มีขอบข่ายกว้างขวาง และทำให้สูญเสียเลือดเนื้อของชีวิตประจำวันของเราใช่หรือไม่ สงครามเป็นเพียงการแสดงออกภายนอกของสภาพภายใน เป็นส่วนขยายของการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน สงครามมีขอบเขตกว้างขวางกว่า นองเลือดกว่าและสร้างความพินาศได้มากกว่า แต่มันก็เป็นผลรวมของกิจกรรมแต่ละอย่างของเรา


ดังนั้น

คุณและผมก็เป็นสาเหตุของสงคราม และเราสามารถจะทำอะไรเพื่อหยุดสงครามเล่า ที่เห็นได้ชัดก็คือ สงครามที่ทำท่าจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่อาจหยุดได้โดยคุณและผม เพราะเมื่อสงครามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มันก็ไม่อาจหยุดได้ สาเหตุต่างๆของสงครามมีมากเกินไป ใหญ่โตเกินไป และได้เริ่มแสดงผลแล้ว ไม่อาจเพิกถอนได้


แต่คุณกับผม

เมื่อเห็นว่าบ้านไฟไหม้ สามารถเข้าใจสาเหตุของไฟนั้น สามารถจะไปจากบ้านนั้น และสร้างบ้านใหม่ด้ายวัสดุที่ไม่ติดไฟ ไม่ทำให้เกิดสงครามอีก นี่...เป็นทั้งหมดที่เราอาจจะทำได้ คุณและผมสามารถมองเห็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม และถ้าเราสนใจที่จะยุติสงคราม เราก็อาจจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเรา ซึ่งเป็นสาเหตุของสงคราม


สุภาพสตรีชาวอเมริกันท่านหนึ่ง

มาพบผมเมื่อสองปีที่แล้ว เธอกล่าวว่า ระหว่างสงครามเธอสูญเสียลูกชายในอิตาลี และเธอมีลูกชายอีกคนอายุสิบหก ซึ่งเธออยากจะปกป้องจากสงคราม เราจึงพูดกันเรื่องนี้ ผมแนะเธอว่า ถ้าเธออยากจะช่วยลูก

เธอต้องหยุดเป็นคนอเมริกัน

เธอต้องหยุดโลภ

หยุดสะสมทรัพย์สมบัติ

หยุดแสวงหาอำนาจและการครอบงำผู้อื่น

และเป็นคนง่ายๆในทุกเรื่อง

ไม่ใช่แต่ในเรื่องเสื้อผ้าหรือสิ่งภายนอก แต่เป็นคนง่ายๆในด้านความคิดความรู้สึกในสัมพันธภาพของเธอ กับคนและสิ่งอื่นๆ เธอกล่าวว่า

มันมากเกินไป ท่านกำลังขอมากเกินไป ฉันทำไม่ได้ เพราะสภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันรุนแรงเกินกว่าที่ฉันจะเปลี่ยนแปลง ”

เช่นนั้นแล้ว เธอก็เป็นสาเหตุของความพินาศของลูกชายเธอ


เราสามารถควบคุมสภาพเหตุการณ์ได้

เพราะเราได้สร้างสภาพเหตุการณ์นี้ขึ้นเอง สังคมคือผลของสัมพันธภาพของคุณและของผมรวมกัน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพของเรา สังคมก็จะเปลี่ยนแปลง การพึ่งพากฎหมาย พึ่งพิงการบังคับ เพี่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมแต่เพียงเปลือกนอก ในขณะที่สังคมเสื่อมอยู่ภายใน ในขณะที่ยังแสวงหาอำนาจ ตำแหน่ง การครอบงำอยู่ภายใน ก็คือการทำลายเปลือกของสังคม ไม่ว่าจะสร้างเปลือกนี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และรอบคอบเพียงใด สิ่งที่อยู่ภายในย่อมชนะเปลือกนอกเสมอ


อะไรทำให้เกิดสงคราม

ทั้งสงครามศาสนา สงครามการเมือง หรือสงครามเศรษฐกิจ ที่เห็นได้ชัดก็คือความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องชาตินิยม ลัทธิต่างๆ ความยึดถือแบบงมงาย หรือแนวคิดใดๆ

ถ้าเราไม่มีความเชื่อ

มีแต่ความปรารถนาดี

ความรัก

ความเห็นใจ

ก็จะไม่มีสงคราม

แต่เราถูกอบรมมาเลี้ยงดูด้วยความเชื่อ ความคิด และความยึดถือแบบงมงาย ดังนั้น เราก็สร้างความไม่พอใจขึ้นมา

วิกฤติการณ์ในปัจจุบันมีลักษณะพิเศษ และเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง

คือ

เลือกดำเนินไปตามทางของความขัดแย้ง อันไม่หยุดหย่อน

และสงครามต่อเนื่อง

อันเป็นผลของการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน

หรือ

เลือกมองให้เห็นสาเหตุของสงคราม

และหันหลังให้มันเสีย !


ที่เห็นได้ชัด

สิ่งที่ทำให้เกิดสงคราม คือ ตัณหา ความอยากได้อำนาจ ตำแหน่ง อภิสิทธิ์ เงิน และโรคร้ายที่เรียกว่า ลัทธิชาตินิยม ซึ่งก็คือการบูชาธงผืนหนึ่ง และโรคศาสนาที่เป็นระบบ ซึ่งคือการบูชาความเชื่องมงาย ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของสงคราม...

ถ้าคุณในฐานะของปัจเจกชน

นับถือศาสนาที่เป็นระบบสักศาสนาหนึ่ง

ถ้าคุณละโมบอยากได้อำนาจ

ถ้าคุณอิจฉาริษยา

คุณก็มีทางที่จะผลิตสังคมที่ให้ผลในทางทำลาย...

ดังนั้น ก็อีกนั่นแหละ มันขึ้นอยู่กับคุณ ไม่ใช่ผู้นำ ไม่ใช่ผู้ที่เรียกกันว่า รัฐบุรุษ หรือคนอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวง มันขึ้นอยู่กับคุณและผม แต่ดูเราจะไม่ตระหนักในข้อนี้ ถ้าเรารู้สึกรับผิดชอบต่อการกระทำของเราอย่างจริงจังแล้ว

เราก็จะสามารถยุติสงครามทั้งหลาย

อันเป็นความทุกข์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้อย่างรวดเร็ว

แต่คุณก็เห็นว่าเราต่างก็เฉยเมยไม่รู้สึกรู้สา

เรามีอาหารกินวันละสามมื้อ

เรามีงานทำ

เรามีสมุดบัญชีฝากเงิน ไม่ว่าจะจำนวนมากหรือน้อย

และเราก็พูดว่า

เพื่อเห็นแก่พระเจ้า โปรดอย่ารบกวนเรา ปล่อยเราไว้ตามลำพัง ”


ยิ่งเราอยู่สูงขึ้นเท่าใด

เราก็ต้องการความปลอดภัย ความมั่นคงถาวร ความสงบยิ่งขึ้นเท่านั้น เราต้องการให้ปล่อยเราไว้ตามลำพังมากขึ้น เพื่อรักษาสิ่งต่างๆ ให้คงที่ตามที่มันเป็นอยู่ แต่สิ่งทั้งหลายไม่อาจรักษาให้คงที่อย่างที่มันเป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเสื่อมสลาย เราไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ เราไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า คุณและผมเป็นสาเหตุของสงคราม...


คุณและผมอาจคุยกันเรื่องสันติภาพ

ประชุมกัน นั่งรอบโต๊ะเจรจา แต่ภายในจิตใจแล้ว เราต้องการอำนาจ ตำแหน่ง เราถูกจูงใจโดยความละโมบ เราวางแผนแยบยล เราเป็นคนชาตินิยม เราถูกผูกมัดไว้ด้วยความเชื่อ คามงมงาย ซึ่งเรายินดีที่จะตาย หรือทำลายซึ่งกันและกัน เพื่อสิ่งเหล่านี้ คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งคุณและผม จะสามารถมีสันติภาพได้หรือ


เพื่อที่จะมีสันติภาพ

เราเองจะต้องเป็นผู้สงบสันติ การมีชีวิตอยู่อย่างสันติ หมายความว่าเราจะต้องไม่สร้างความเป็นศัตรูกัน สันติภาพไม่ใช่อุดมการณ์ สำหรับผม อุดมการณ์เป็นเพียงการหนี การหลบเลี่ยงสิ่งที่เป็นอยู่ ( ตามความเป็นจริง ) การขัดแย้งกับสิ่งที่เป็นอยู่ อุดมการณ์ขัดขวางการกระทำที่ตรงตามสิ่งที่เป็นอยู่จริง


เพื่อที่จะมีสันติภาพ

เราจะต้องรัก เราจะต้องเริ่มการไม่มีชีวิตอยู่ตามอุดมการณ์ แต่เริ่มการมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นอยู่จริง กระทำการไปตามที่มันเป็น และเปลี่ยนแปลงมัน ตราบเท่าที่เราแต่ละคน แสวงหาความมั่นคงปลอดภัยทางใจ

ความมั่นคงปลอดภัยทางชีวภาพที่จำเป็น คือ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยจะถูกทำลาย เราแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยทางใจที่ไม่มีอยู่ และถ้าเราทำได้ เราก็แสวงหาสิ่งนี้โดยใช้อำนาจ ตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำลายความมั่นคงปลอดภัยทางชีวภาพ นี้เป็นความจริงที่มองเห็นได้ชัด ถ้าคุณจะมองดู


เพื่อทำให้เกิดสันติภาพในโลก

เพื่อที่จะหยุดสงครามทั้งหลาย จะต้องมีการปฏิวัติภายในตัวปัจเจกบุคคล ในตัวคุณและตัวผม การปฏิวัติทางเศรษฐกิจโดยไม่มีการปฏิวัติภายในจิตใจนั้น ไม่มีความหมาย เพราะความหิว เป็นผลของการปรับเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง อันเป็นผลมาจากสภาวะภายในของเรา คือความละโมบ ความริษยา ความประสงค์ร้าย และความยึดถือว่าเป็นของเรา


เพื่อที่จะยุติ

ความทุกข์โศก ความหิว สงคราม จะต้องมีการปฏิวัติภายในใจ และพวกเราไม่กี่คน เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เราจะเจรจาเรื่องสันติภาพ ออกกฎหมาย สร้างสันนิบาตใหม่ สหประชาชาติ และอะไรต่ออะไรเรื่อยไป

แต่เราไม่สามารถจะได้มาซึ่งสันติภาพ

เพราะเราไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งของเรา

อำนาจของเรา

เงินของเรา

สมบัติของเรา

ชีวิตอันเขลาของเรา

การพึ่งพิงผู้อื่นนั้น ไร้ผลโดยชิ้นเชิง คนอื่นๆไม่สามารถนำสันติภาพมาให้เรา ไม่มีผู้นำคนใดจะให้สันติภาพแก่เรา ไม่มีรัฐบาล กองทัพใด ประเทศใด


สิ่งที่จะนำสันติภาพมาให้เรา

คือการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติภายนอก การเปลี่ยนแปลงภายในไม่ใช่การแยกตัวออกมา ไม่ใช่การถอยจากการกระทำภายนอก ตรงกันข้ามจะมีการกระทำที่ถูกต้อง ก็ต่อเมื่อมีความคิดที่ถูกต้องเท่านั้น และไม่มีความคิดที่ถูกต้อง เมื่อไม่มีความรู้จักตัวเอง ไม่มีความรู้จักตัวเองก็จะไม่มีสันติภาพ


การยุติสงครามภายนอก

คุณต้องเริ่มยุติสงครามภายในตัวคุณ พวกคุณบางคนจะพยักหน้าและกล่าวว่า

ฉันเห็นด้วย ”

แล้วก็ออกไปข้างนอก และทำอย่างเดิม

เหมือนอย่างที่คุณทำมาตลอดสิบปีหรือยี่สิบปีที่แล้ว ทุกอย่าง

การเห็นของคุณเป็นเพียงคำพูดและไม่มีความสำคัญอะไร

เพราะความทุกข์ยากทั้งหลายในโลกนี้และสงคราม

จะไม่อาจหยุดได้โดยการเห็นด้วยอย่างไม่จริงจังของคุณ


สงครามและความทุกข์จะหยุดได้

ก็ต่อเมื่อคุณตระหนักถึงอันตรายเท่านั้น

เมื่อคุณตระหนักถึงความรับผิดชอบของคุณ

เมื่อคุณไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนอื่น

ถ้าคุณตระหนักถึงความทุกข์ทรมาน

ถ้าคุณเห็นความเร่งด่วนของการปฏิบัติอย่างทันควัน

และไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

คุณก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

สันติภาพจะได้มาก็เมื่อตัวคุณเองมีสันติภาพ

เมื่อตัวคุณเองมีสันติภาพกับเพื่อนบ้านเท่านั้น.


หมายเหตุ ; ปาฐะกถาเรื่อง สงคราม ของ กฤษณะมูรติ บทนี้ เป็นงานแปลโดย ภาวรรณ หมอกยา ตีพิมพ์อยู่ในรวมเล่มงานของ กฤษณะมูรติ ชื่อ “ สัจจะแห่งชีวิต ” ร่วมกับนักแปลอีกสองท่าน ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.. 2530 ครั้งที่สอง 2533 จัดพิมพ์โดย “ กองทุนวุฒิธรรม เพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม ”


เมื่อได้อ่านบทปาฐะกถานี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองของเรา ที่กำลังตะโกนหาสันติภาพกันเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงนำงานชิ้นนี้มาลงแด่ท่านผู้อ่าน เพราะสาเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ก็เป็นสิ่งที่ กฤษณะมูรติ ได้พูดเอาไว้อย่างครอบคลุม และขออนุญาต คุณภาวรรณ หมอกยา ที่แปลงานความคิดดีๆมาให้อ่านกัน ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ.


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้