Skip to main content


30
ตุลาคม 2539

วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย
...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป


เพิ่งถึงบางอ้อวันนี้นี่เอง บ้านหมี่เป็นแหล่งกอบโกยอันดับต้นๆของนายบางคน กับรายได้ที่ผิดกฎหมาย ยิ่งบ้านหมี่มีเกือบสามสิบตำบล มีทั้งโรงโม่หินมีทั้งหวยใต้ดิน แค่เม็ดเงินจากหวยใต้ดินจะขนาดไหน มาวันแรกยังจำคำพูดทุกคำของท่านได้ หลงเข้าใจผิด...คิดว่าท่านคงจะ เป็นคนใจซื่อมือสะอาด เอาเข้าจริงๆ สองสามเดือน ไม่เคยเรียกตำรวจประชุม เพราะมัวแต่คอยวิ่งเต้นไปลง...กับลูกน้องคนสนิท ทำเหมือนกับว่า บ้านหมี่ เป็นแค่ทางผ่าน...

เหงาจังเลย...คืนนี้ ภาษิตโบราณที่ว่า “อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นคนค้ำประกัน” น่าจะเป็นความจริง ชีวิตดูมืดมนจริงๆ ประตูของความรื่นรมย์ถูกปิด ตั้งแต่วันที่รู้ว่า ส..... ไปยิงคนแล้วหนีออกจากวงการตำรวจ บอกแก่ตนเองว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

และหลังจากนั้นมาได้เดือนกว่าๆก็ปรากฏว่า ท่านนายพันโท
... นายทหารอดีตเจ้านายเก่าของเขา สมัยที่เขาเป็นทหารเกณฑ์ ก่อนจะถูกปลดประจำการ ออกมาสอบติดเป็นพลตำรวจ ก็มาออกปากขอยืมเงินเขาสามหมื่นบาท เขาปฏิเสธว่าไม่มี...

แต่นายเก่าของเขา ก็ยังคะยั้นคะยอ ขอให้เขาช่วยกู้เงินออกมาให้ตัวเองยืม
...ให้จงได้ บอกว่าภายในเดือนเดียวจะหามาใช้คืน เขาทนนายคะยั้นคะยอไม่ไหว จึงจำใจไปหาเงินกู้นอกระบบให้นายเก่า โดยเอาตัวเองเป็นผู้ค้ำประกัน นั่นคือกู้เอาเงินสดๆมา โดยไม่ต้องทำหนังสือสัญญา แต่สุดท้ายนายก็ไม่ใช้คืนเขาแม้แต่บาทเดียว ปล่อยให้เขาต้องรับภาระผ่อนส่งดอกเบี้ยในฐานะผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่เดือนแรกเป็นต้นมา เขาระบายความขมขื่นในเรื่องนี้เอาไว้ว่า

 

9 พฤศจิกายน 2539

ด้วยหัวใจที่นับถือว่าเขาเป็นนายเก่า นายที่อยู่บ้านหมี่ นายที่มาแต่ละที
...มีแต่เราหน้าใหญ่ใจโต พาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำทั้งผัวและเมีย เพียงแค่นายมาขอยืมเงินส่งค่างวดรถยนต์ ทั้งๆที่บอกว่าไม่มีปัญญาหาให้หรอก เพราะไปค้ำประกันเงินกู้ให้ตำรวจรุ่นพี่ แล้วรุ่นพี่ไปฆ่าคนตายในบ่อน - แล้วหนีไป เราผู้ค้ำต้องรับกรรม แต่นายก็คะยั้นคะยอ หากู้ให้หน่อยเถอะน่า...อยู่นั่นแหละ บอกว่าแค่เดือนเดียวจะเอามาใช้คืน เอาเลย - สามหมื่นบาทซินะ...ที่เราแบกหน้าพานายไปกู้เจ๊ตา เอาเครดิตตัวเราเป็นผู้ค้ำประกัน!


นับจากวันนั้นต่อมาอีกหลายปี ที่เราต้องเป็นคนชดใช้ และมองไม่เห็นทางที่จะได้คืนจากนาย มันช่างเป็นเวรกรรมอะไรอย่างนี้หนอ... บทเรียนที่เคยได้รับไม่เคยจดจำเลยนะมึง เอาเถอะ..ถ้าหากมันจะตายเพราะการกู้ยืมให้คนอื่นเขาสุขสบาย เชิญเลย - เอาให้มันกระอักเลือดตายไปเลย ท่านนายพันโท... เป็นนายทหารเงินเดือนนับสองหมื่น แต่มาขอยืมเงินพลตำรวจ อดีตข้าเก่าเต่าเลี้ยง ที่เคยซักผ้ารีดผ้าให้ สมัยที่ยังเป็นไอ้เณร...น่าอายจริงๆ

(
จากบันทึกหน้านี้ เข้าใจว่า เขาคงจะเขียน บันทึกสีกากี ทั้งหมดนี้ของเขา...โดยคัดลอกมาจากบันทึกครั้งแรกในแต่ละปีที่เขาเขียนเอาไว้ - มาเขียนใหม่ เพราะข้อความหลายบท หลายตอน หลายหน้าบันทึก มีลักษณะการขยายความ และมองย้อนกลับไปหาอดีต ทบทวนประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เช่นเดียวกับบันทึกในหน้านี้ )


และทั้งๆที่มีคนมาช่วยสร้างหนี้สินให้เขา ที่มีสถานะเป็นเพียงแค่พลตำรวจในขณะนั้น
...อย่างหนักหนาสาหัส แต่อีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็มีอันเป็นไปต้องแต่งงานกับครูคนหนึ่ง ที่มีอายุแก่กว่าเขาเกือบหนึ่งรอบ ด้วยความเห็นดีเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เขาบันทึกงานแต่งงานครั้งแรกของเขาเอาไว้อย่างเซ็งๆว่า


16
มกราคม 2540


แล้วงานแต่งงานก็เริ่มขึ้น มันเริ่มแบบกระท่อนกระแท่น มันเป็นความทุกข์หรือความสุขกันแน่นะ ตอบตัวเองไม่ถูก... รู้แต่ว่าเราจะต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้


หรือแท้จริงแล้วมันเหมือนเส้นขนาน ที่วันหนึ่ง บังเอิญแหกโค้งมาเจอกันเพียงชั่วแว่บเดียว เท่านั้น...


อย่าร้องไห้ไปเลยคนดี เพราะพรุ่งนี้ ฉันอาจไม่ใช่ผู้ชายที่เธอคาดหวัง... มีใครต่อใครมาร่วมงานมากมาย เราจะสู้ปัญหาที่เราก่อ ถ้าหากฉันทำให้เธอร้องไห้ ตั้งแต่งานแต่งงานเสียแล้ว อย่าดันทุรังแต่งแล้วเลิก...ได้ไหม บทเพลงแห่งความรักมันไม่หอมหวานเอาเสียเลย ถ้าหากเธอคิดว่า ฉันเป็นแค่บันไดอันสุดท้าย...ที่จะพาดให้เธอไต่ลงมาจากคานทอง ในวัยใกล้สี่สิบของเธอ เพียงเพราะตัวเองจะได้ชื่อว่า...มิได้เป็นสาวเทื้อที่ปราศจากชายมาเหลียวแล ก็จะคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของเราด้วยกันทั้งสองฝ่าย...

 

และหลังจากแต่งงานได้เพียงแค่สองเดือน ชีวิตการแต่งงานของเขาก็แตกร้าวและล้มเหลวในที่สุด ด้วยสาเหตุ...ที่น่าจะเป็นด้วยทัศนคติที่ไปกันไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้า เพราะจากน้ำเสียงความรู้สึกนึกคิด...ในบันทึกวันงานแต่งงานของเขา - บ่งบอกไว้เช่นนั้น ประกอบกับทางฝ่ายหญิง คงจะมาล่วงรู้ภายหลังว่า เขาช่างเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ที่มีแต่หนี้สินมากมายเหลือเกิน


ตอนแรกที่ผมอ่านหน้าบันทึกหน้านี้ของเขา ผมยังนึกข้องใจ ว่าเขาจัดงานแต่งงานได้ยังไงว่ะ หนี้สินพะรุงพะรังจนน่าขนลุกออกปานนั้น กับเงินเดือนพลตำรวจที่แทบจะไม่พอยาไส้...และแถมยังติดลบ จนกระทั่งอ่านไปพบบันทึกวันที่ 11 สิงหาคม 2541 ปีถัดมาที่เขาบันทึกว่า


วันนี้ พี่สาวเขียนจดหมายมาบอก... แม่ฝากมาเตือนว่า ไร่นาก็ขายให้แต่งงานไปแล้ว ทำไมไม่อดทนอยู่กับเขาต่อไป ทนๆอยู่ด้วยกันไปนานๆ ซักสี่ซ้า - ห้าปี ก็ชินๆกันไปเองแหละลูก...”


ทำให้ผมหายข้องใจเป็นปลิดทิ้ง และหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลคนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์ กับวิธีการคิด...แก้ปัญหาผัวเมียแบบชาวบ้านอันเหลือร้ายของแม่เฒ่าเขา


 

5.

 

ชีวิตในช่วงนี้ของเขาในเวลาต่อมา

นับว่าเป็นช่วงชีวิตที่หนักหนาสาหัสที่สุด ทั้งปัญหาหนี้สิน การแต่งงานที่ล้มเหลว พ่อที่ป่วยหนัก และถูกนายแป๊กเงินเดือนสองขั้น แต่เขาก็มีความดีอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือ ไม่ว่าชีวิตเขาจะมีความทุกข์หนักหนาสาหัสเพียงใด ก็ไม่ปรากฏว่ามีบันทึกหน้าไหน ที่พบว่าเขาหันหน้าเข้าไปหาเหล้าเป็นที่พึ่ง...แบบหัวราน้ำ เหมือนผู้ชายทั่วๆไป


นอกจากนึกอยากจะตาย...ให้มันพ้นๆไปเสียจากความทุกข์และปัญหา หรือไม่ก็ตัดพ้อต่อว่าโชควาสนาชะตากรรมของตัวเอง ด่าทอตัวเอง สั่งสอนตัวเอง ปลอบใจตัวเอง - ทั้งด้วยคติทางโลกและทางธรรมต่างๆนาๆ และพยายามให้กำลังใจตัวเองให้ลุกขึ้นมาฮึดสู้ เหมือนนักมวยที่หมดแรงในยกสุดท้าย พยายามประคับประคองตัวเอง มิให้ถูกน็อคเอ้าท์...ก่อนเสียงระฆังบอกเวลา - หมดยกสุดท้ายจะดังขึ้น


5
มิถุนายน 2540


รถบัสดิ่งลงคลอง เลยป้อมยามที่ฉันเข้าเวรไปไม่กี่กิโลเมตร ตายไปสามสิบกว่าราย บาดเจ็บสาหัสอีกนับสิบ คืนนี้ทั้งคืนตำรวจทั้งโรงพัก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแน่ๆ ทั้งเหตุ 360 เหตุรถสิบล้อชนกันที่เขตบางขาม


เหงาจัง...ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นเรา ทำไม ทำไม...เราจึงไม่เป็นหนึ่งในสามสิบเอ็ดคนที่ตายในรถบัสคันนั้นนะ...

 

21 มิถุนายน 2540


เอาทองไปจำนำสองพัน นั่งรถไปเรื่อยเปื่อย ไปพะเยา ไปลำปาง สะใจตัวเองเหลือเกิน กับการเดินทางที่ไร้สาระ ทำไมเราจึงไม่ตกรางรถไฟ...ตายไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด เคยบอกแก่ใจตนเองอยู่เสมอว่า ถ้าหากเรามีจิตใจที่มั่นคง แม้ความล้มเหลวจะผ่านเข้ามาในชีวิตสักกี่ครั้ง เราจะยืนหยัดผงาดขึ้นต่อสู้ เราจะไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจ...ท้อแท้ไปกับมัน แต่พอเจอของจริงเข้าจริงๆ ทำไม...มันถึงยากแสนยากจะทำใจได้ว่ะ


หรือว่าเราจะขายปืน ขายแล้ว - เบิกปืนหลวงมาใช้นะหรือ... มันยังพอดิ้นได้โว้ย จินตวีร์ เอาของเจ๊ตาร้อยละสิบไปก่อนก็แล้วกัน คิดมาก...เดี๋ยวเป็นโรคประสาทนะมึง!

 

6 กรกฎาคม 2540


กลับบ้านเพชรบูรณ์ เห็นสภาพของพ่อแล้วได้แต่สงสาร พ่อจะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่หนอ... พ่อครับลูกชายของพ่อคนนี้ ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลย เห็นพี่ชายที่เป็นครูวิ่งเอาพ่อเข้าโรงพยาบาลเมืองเพชรบูรณ์บอกว่า พ่ออ้วกออกมาเป็นเลือด ทำไม...ทำไมนะพ่อ ทำไมเราจึงต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วย


ฟ้าหลังฝน ใครๆก็พูดกันว่า มันสวยงามเสมอมิใช่หรือ เก็บความทุกข์เก็บความเศร้าเอาไว้ อย่าเที่ยวไประบายความทุกข์ ให้ใครเขาสมน้ำหน้าเลย หนี้สินที่เราก่อ ก็อย่าเผลอไปปริปากให้พี่สาวรู้เป็นอันขาด...

 

25 กรกฎาคม 2540


ให้ตายเถอะ... เงินที่ช่วยหยิบยืมให้ผู้กอง...สามหมื่นบาทเมื่อคราวโน้น มันช่างเป็นเงินมากมายเหลือเกิน...สำหรับเราในเวลานี้ เป็นถึงนายทหารยศพันโท ไม่น่าจะมาเบียดเบียนพลตำรวจอย่างเรา ร่ำๆอยากจะเข้าไปหาในกรมทหาร แต่ก็รั้งใจตัวเองเอาไว้ นายท่านคงไม่หายเงียบเข้ากลีบเมฆไปหรอกน่า... แต่เวลามันผ่านไปหลายเดือนแล้วนิหว่า... ดอกร้อยละสิบก็ส่งให้ท่านทุกเดือน โทรศัพท์ไปหาทีไร ก็ยังบอกว่ายังหาไม่ได้อยู่ทั้งปีทั้งชาตินั่นแหละ...


เพื่อนทหารเกณฑ์รุ่นน้อง ที่มาได้เมียรวยที่สิงห์บุรี แวะมาเยี่ยมที่โรงพัก พูดคุยกันเรื่องผู้กอง... น้องเขาถามว่าพี่โดนไปเท่าไหร่ ผมกับเมียโดนไปห้าหมื่นบาท ไปตามถึงค่ายทหารท่านปฏิเสธไม่มีลูกเดียว สามหมื่นของเราคงเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว ไม่เข็ดหนอ...ทั้งหนี้สหกรณ์ตำรวจของตัวเอง ทั้งหนี้ค้ำประกันกู้พี่...ที่ไปยิงคนตาย ทั้งหนี้ผู้กอง... กับเงินเดือนแค่หกพันกว่าบาท!

 

27 กรกฎาคม 2540


เห็นพ่อนอนหายใจรวยริน เหมือนรอพญามัจจุราชมาพรากเอาวิญญาณออกจากร่าง แล้วอยากจะหยิบปืนที่บั้นเอวออกมาจ่อยิง...ให้พ่อไปดี ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมาน แต่ก็กลัวเหลือเกิน...กลัวเป็นปิตุฆาต แค่คิดก็บาปมหันต์แล้ว พ่อครับ นานเหลือเกิน ที่พ่อต้องต่อสู้กับโรคร้ายนี้...

 

22 สิงหาคม 2540

แอบปลื้มกับ สมพงษ์ เลือดทหาร คนขับแท็กซี่ - ที่เก็บเงินฝรั่งลืมไว้ในรถไปคืนเจ้าของเมื่อคราวโน้น จนมีการแจกไม้บรรทัดทองคำ...ที่บ้านเกิดของเขาที่จังหวัดขอนแก่น อ่านข่าวทีแรกถึงกับน้ำตาไหลในความดีที่เขาทำ...


บอกแก่ตัวเองเสมอว่า อย่าทุกข์ใจไปเลย...กะไอ้แค่สองขั้นเงินเดือนที่ถูกแป็ก - ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าไม่ได้ ก็ช่างหัวแม่มัน สักวันหนึ่ง...เมื่อถึงเวลาก็คงเสือกได้เองแหละว่ะ จำไม่ได้หรือ อุดมคติตำรวจ “อดทนต่อความเสียใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก”


เห็นไหม มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ แล้วก็มีเสื่อม เสื่อมยศ และนินทา เรื่องนาย...อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า... ภูมิใจในตัวเองมั่งซิวะ จินตวีร์ เรายังดีกว่าคนอื่นอีกมากมายหลายล้านคน ที่ยังเที่ยวตะลอนๆหางานทำ


จงมองตัวเราและทำตัวเราให้มีค่าที่สุด จงมีสติ ดูอย่าง มนต์สิทธิ์ คำสร้อย นั่นประไร ตอนนี้ออกเทปชุดสามแล้ว ความรู้แค่ ป.4 แล้วเราล่ะ ม.6 อีกหน่อยก็จะจบปริญญาตรีแล้วนิหว่า...

 

เขาถูลู่ถูกัง ประคับประคองตัวเองอย่างทุลักทุเล ผ่านเรื่องราวต่างๆมาอย่างทรหด...จนแทบไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งถึงกลางปี 2542 เขาก็ได้รับข่าวการจากไปของพ่อ ที่เขาเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ก็พบพ่อป่วยเป็นอัมพาตนอนแบ็บอยู่บนที่นอน เป็นเวลานานถึง 20 กว่าปี และ ทำให้เขาจำเป็นต้องขายปืนที่ใช้ในอาชีพตำรวจ...เพื่อเอาเงินมาทำศพพ่อ เขาบันทึกความสูญเสียพ่อเอาไว้ว่า

 

1 สิงหาคม 2542


ได้รับโทรศัพท์จากเพชรบูรณ์โทรมาบอกว่า พ่อเสียแล้ว ใจหายวูบ มันเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย พ่อครับ หมดเวรหมดกรรมกับการต่อสู้อันยาวนานกับโรคร้ายของพ่อเสียที พ่อเกิดวันที่ 1 มีนาคม 2482 อายุ 60 ปี นอนป่วยมานาน 23 ปี พอดี ในวันที่พ่อจากไป ลูกจะขอจดจำพ่อเอาไว้ในใจตลอดไป สิ่งที่ลูกเคยทำให้พ่อยังน้อยนิดเหลือเกิน พ่อครับ...ชาติหน้ามีจริง ลูกขอเกิดมาเป็นลูกของพ่ออีก แต่ขออย่าให้เรา...ต้องมาตกอยู่ในสภาพชีวิตเช่นนี้อีกเลย ผมเข็ดแล้วกับชีวิตที่ยากลำบากในครอบครัวของเรา...


เผาศพพ่อวันพฤหัส พี่ชายคนโตจัดงานให้พ่อได้สมเกียรติ แขกเหรื่อมากันมากมาย พ่อครับ ลูกไม่เสียดายปืนของลูกที่ขายไปหรอก สักวันหนึ่ง มันคงจะคืนกลับมาหาลูกเอง ลูกทำให้พ่อเป็นครั้งสุดท้ายได้ดีที่สุด เพียงแค่นี้แหละครับพ่อ...


ดูซิ...พี่ชายคนโตของพ่อก็มาร่วมงาน ญาติๆทางเชียงรายก็มากันเยอะ เพื่อนตำรวจของผมมากันเกือบทั้งโรงพัก ไอ้กิตเพื่อนซี้ของผมที่เป็นทหารมาช่วยงานตั้งแต่วันแรก พ่อแม่บุญธรรมที่บางกระพี้มากันเต็มคันรถแน่ะ ผมรักพ่อครับ ตั้งแต่นี้ต่อไป ผมคงไม่มีโอกาสซุกเงินสอดไว้ใต้หมอนให้พ่ออีกแล้ว...


พ่อครับ ผมขอสัญญาว่าจะดูแลแม่ แม่อันเป็นที่รักของพ่อให้ดีที่สุด และสักวันหนึ่ง ลูกจะปลูกบ้านหลังใหม่ แทนบ้านหลังเก่าซอมซ่อ ยังกะบ้านในสลัม ให้แม่อยู่ให้จงได้...

 

18 มิ.. - 15 .. 2552

กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

 

 

 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้