Skip to main content

 


"นางแบบ มาลานชา ตากล้อง Tou Paycheck"

ท่านเคยพบไหมว่า
ในบางครั้งเราไม่สามารถปล่อยเรื่องราวใน อดีต ให้ผ่านพ้นไป หรือไม่สามารถยุติความวิตกกังวลเกี่ยวกับ อนาคต ลงได้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะนึกถึงนิทานเซ็นที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง
 
วันหนึ่ง
ขณะกำลังเดินผ่านป่ารกชัฏ ชายคนหนึ่งได้พบเข้ากับเสือดุร้ายตัวหนึ่ง เขาออกวิ่งสุดชีวิต โดยมีเสือไล่ตามมา
 
ชายคนนั้น
วิ่งมาจนสุดขอบหน้าผา และเสือไล่มาเกือบจะทัน เมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงจับเถาวัลย์ตรงขอบหน้าผาเส้นหนึ่งไว้แน่นด้วยมือทั้งสอง แล้วไต่ลงไป เมื่อไต่ลงไปได้ครึ่งทาง เขาได้แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็น เสือตัวนั้นยืนแยกเขี้ยวอยู่ข้างบน ครั้นก้มดูข้างล่าง ก็เห็น เสืออีกตัวหนึ่งคอยเขาอยู่เบื้องล่าง และกำลังส่งเสียงคำราม เขาถูกดักไว้ทั้งสองด้าน
 
และยังมีหนูสองตัว
ตัวหนึ่ง สีขาว ตัวหนึ่ง สีดำ ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะเขาขึ้นไป พวกมันกำลังแทะเถาวัลย์ที่เขาโหนตัวอยู่ โดยไม่ได้สนใจเขาเลย
 
เขารู้ดีว่า ถ้าปล่อยให้มันแทะต่อไป จะต้องถึงจุดหนึ่งที่เถาวัลย์ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวเขาได้ มันจะต้องขาดและเขาจะต้องตกลงไปเป็นเหยื่อของเสือที่รออยู่ข้างล่าง เขาพยายามส่งเสียงไล่มัน แต่มันก็ไม่ยอมไป
 
ในทันใดนั้น
เขาสังเกตเห็นสตรอว์เบอร์รีต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ที่ผนังหน้าผาไม่ห่างจากตัวเขานัก ลูกของมันอวบใหญ่และสุกแล้ว เขาจึงโหนเถาวัลย์ไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วเอื้อมมือไปเด็ดมันออกมา ชายผู้นั้นได้ลิ้มรสสตรอว์เบอร์รี และพบว่า รสชาติของมันหอมหวานยิ่งนัก...
 
นิทานเรื่องนี้
เป็นทั้งหมดที่เกี่ยวกับขณะมีชีวิต ถึงแม้ตกอยู่ในสภาพที่เป็นอันตราย ชายผู้นั้นก็ไม่ยอมให้ อันตรายที่ยังไม่เป็นจริง ทำให้เขาอ่อนเปลี้ย เขาสามารถฉวยโอกาสที่มีเพียงชั่วครู่สร้างความเพลิดเพลินได้...
 
ในนิทานเต็มไปด้วยคำอุปมา ส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมดในนิทาน เป็นตัวแทนที่มีความหมายลึกซึ้ง
 
เบื้องบนหน้าผา
เป็นตัวแทนอดีต เป็นที่ที่ชายคนนั้นได้อยู่มาแล้วและจากมา อาจเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางแห่งกาลเวลาส่วนบุคคล หมายถึงประสบการณ์และความทรงจำทั้งหมดจากการดำเนินชีวิต
การไต่เถาวัลย์ย้อนกลับขึ้นไปบนหน้าผา คือการหวนระลึกถึงอดีต
 
เสือที่อยู่บนหน้าผา
เป็นตัวแทนของสิ่งที่เป็นอันตรายแห่งการดำรงชีวิตในอดีต ซึ่งมีอยู่มากมายเหลือเกิน ถ้าเราทำร้ายตัวเองอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้กระทำบางสิ่ง รวมทั้งสิ่งที่ควรกระทำ หรือถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับความเสียใจ และความละอายใจต่อความผิดพลาดที่ได้เคยกระทำไว้ นั่นคือเสือได้ทำให้เราบาดเจ็บด้วยเขี้ยวอันแหลมคมของมันเข้าแล้ว ถ้าเราไม่สามารถปล่อยวางประสบการณ์ด้านลบจากในอดีต ซึ่งทำให้เราขวยเขินและหวาดกลัว หรือถ้าเรารู้สึกเหมือนเป็นผู้เคราะห์ร้าย เพราะเคยได้รับความบอบช้ำทางจิตใจ หรือมีเบื้องหลังที่ไม่ดีมาก่อน นั่นคือเสือได้ทิ้งรอยกัดอันเจ็บปวดไว้ให้เรา
 
นอกจากนั้น
เสือยังเป็นตัวแทนของความเป็นไปไม่ได้ในการที่จะย้อนกลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างอีกสักครั้ง บางครั้งเรานึกถึงว่าเราน่าจะทำได้อย่างดีเลิศ ก็ต่อเมื่อโอกาสอันเหมาะสมได้ผ่านไปนานแล้ว บางครั้งเรานึกถึงการกระทำบางอย่าง ที่ทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ แต่มันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้เสียแล้ว เพราะว่าเส้นทางแห่งกาลเวลา เป็นถนนที่เดินทางเดียวที่มีเจ้าเสือที่น่าหวาดหวั่นตัวนั้นมันขวางทางอยู่ จะผ่านไปได้อย่างไร มีแต่ตายลูกเดียว
 
ด้านล่างหน้าผา
เป็นตัวแทนของอนาคต มันเป็นเมืองที่ไม่มีใครค้นพบ เป็นบทที่ยังไม่ได้เขียน อนาคตบรรจุไว้ด้วยความเพ้อฝันและความหวาดกลัว ความปรารถนา ความผิดหวัง ชัยชนะที่แอบแฝง และความพ่ายแพ้ที่เป็นไปได้ มันเป็นความลึกล้ำ มันเป็นอาณาจักรแห่งความไม่แน่นอนของวันพรุ่งนี้
 
การไต่เถาวัลย์ลงไป
ใกล้จะถึงพื้นล่างของหน้าผามากขึ้น คือการณ์มองการณ์ไกล มุ่งหวัง และคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต
 
เสือที่อยู่ด้านล่างของหน้าผา
เป็นตัวแทนของอันตรายอันเกิดจาก การที่คนเรากังวลมากเกินไปในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันจะทำให้เราสูญเสียความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ หรือในการคงความสันติของจิตใจ
 
คนเราส่วนมากล้วนเคยมีประสบการณ์ในความวิตกกังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเกี่ยวกับการดำเนินการที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การปาฐกถา หรือการสัมภาษณ์ เราคิดไปถึงทุกๆสิ่ง กลัวว่าจะล้มเหลว ไม่สามารถนอนหลับให้สนิทได้ เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับวันต่อไป
 
ดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเหตุการณ์นั้นได้มาเยี่ยมเยือน การที่เราไม่สามารถผ่อนคลายได้  ความวิตกกังวลนี้จะตัดเราออกจากคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในการสร้างสรรค์ของเต๋า เราจึงไม่สามารถทำได้ดีที่สุด ไม่สามารถนำพลังงานที่เกี่ยวกับประสาทไปทำงานให้มีประสิทธิภาพได้ นอกจากนั้นยังจะกลายเป็นคนที่มีความตึงเครียดและกดดัน เพราะเราได้ไต่เถาวัลย์ลงมาต่ำเกินไป และอยู่ใกล้เสือเกินไป จึงทำให้เกิดอันตราย
 
เสือที่อยู่เบื้องล่าง
เป็นตัวแทนวาระสุดท้ายของความตายในที่สุด ความตายรอคอยพวกเราทุกคนอยู่ในอนาคตอย่างอดทน มันรู้ว่า ไม่ช้าหรือเร็ว เราจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน เมื่อเสือคำรามใส่ เราจะรู้สึกได้ถึงกระแสลมที่เย็นยะเยือกของความตาย
 
ตำแหน่งของชายคนนั้น
ที่อยู่ระหว่างเสือสองตัว เป็นตัวแทนของ ปัจจุบัน จงสังเกตดูว่า เขาถูกลอยอยู่กลางอากาศ เช่นเดียวกับที่เราดำรงชีวิต เคว้งคว้างอยู่ระหว่างอดีตและอนาคต
 
สิ่งที่เราเรียกว่า ขณะนี้ หรือ ปัจจุบัน เป็นความหมายที่ยากจะจำกัดความ เพราะว่าในทันทีที่ท่านชี้มือออกไปว่า “ขณะนี้” ขณะนี้...ก็เลื่อนไหลผ่านนิ้วมือของท่านไปเสียแล้ว และไม่มีปัจจุบันอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ว่าท่านจะใช้ความพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถผูกมัดมันไว้ได้
 
ปัจจุบัน ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้เช่นเดียวกับเต๋า ไม่ว่าจะจับเวลาด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำขนาดไหน ก็ไม่สามารถจับสิ่งที่มีอำนาจลึกลับแห่งปัจจุบันได้
 
ถึงแม้ว่า “ปัจจุบัน”
จะอยู่เหนือเงื้อมมือของเรา แต่ข้อความที่ดูเหมือนขัดแย้งกันของการดำรงอยู่กล่าวว่า
“ปัจจุบันคือสิ่งที่มีอยู่แน่ๆ”
ซึ่งที่จริงแล้วมันคือทั้งหมดที่เรามีอยู่ เพราะว่าท่านไม่สามารถมีอดีตหรืออนาคต เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้ว และอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ส่วนปัจจุบันอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้แล้ว มันเป็นของท่านอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข ไม่มีใครช่วงชิงไปจากท่านได้ ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจว่าจะใช้มันอย่างไร
 
เถาวัลย์
เป็นตัวแทนของชีวิตในโลกแห่งวัตถุ ในขณะที่ชายผู้นั้นจับเถาวัลย์แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เหมือนเรายึดติดกับชีวิตทางกายอย่างดื้อรั้น สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดของเราบังคับให้ทำเช่นนั้นเพื่อชีวิตที่หวงแหน เราจะดิ้นรนไม่ยอมปล่อยมันไป
 
การไต่เถาวัลย์ลงมา
เป็นการกระทำที่ไม่มีทางเลือก ชายผู้นั้นถูกเสือไล่ล่า เมื่อไม่มีทางเลือกจึงไต่ลงมา เช่นเดียวกับเมื่อเราเกิดมาในโลกนี้แล้ว เราไม่มีทางเลือก นอกจากดำรงชีวิตให้รอดพ้นจากชั่วขณะหนึ่งไปยังชั่วขณะต่อไป ดังนั้น เถาวัลย์อาจเปรียบเป็นปัจจัยประกอบที่สำคัญของสังสารวัฏ อันเป็นวงจรของการเกิดและตาย
 
หนูสองตัว
เป็นตัวแทนการเดินทางของกาลเวลา หนูสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของ กลางวัน หนูสีดำเป็นสัญลักษณ์ของ กลางคืน เมื่อหนูแทะเถาวัลย์ทำให้สึกกร่อนลงเรื่อยๆ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า วงจรของวันและคืนได้นำเราเข้าไปใกล้ความตายทีละน้อยๆ ถ้าเถาวัลย์ขาด ชายผู้นั้น ย่อมตกลงไปสู่ความตายอย่างแน่นอน ในทำนองเดียวกัน เมื่อจำนวนวันและคืนได้ผ่านพ้นไปมากพอ ชีวิตร่างกายที่เรายึดมั่นอยู่ก็จะแตกดับ มันเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเผชิญหน้ากับเสือตัวนี้
 
ขณะที่ชายคนนั้นพยายามส่งเสียงไล่หนู ก็เช่นเดียวกับเราพยายามหน่วงความชรา และป้องกันรักษาโรคอย่างจนตรอก แต่หนูก็ไม่ยอมไป นั่นคือกาลเวลาไม่เคยคอยใคร ต่อให้พยายามอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะว่าเวลาในแบบแปลนของความตายของเราได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
 
ผลสตรอว์เบอร์รี
เป็นตัวแทนของความงาม ความสุข กำลังกาย และความมีชีวิตชีวาในปัจจุบัน มันอยู่ที่นั่นเสมอ สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่มีความสามารถเข้าใจมันและมีประสบการณ์กับมัน
 
การเด็ดผลของสตรอว์เบอร์รี
คือการฉวยโอกาสในชั่วขณะ เมื่อท่านทำเช่นนั้น ท่านกำลังใส่ใจในปัจจุบัน จงเอาใจใส่โดยตรงต่อพลังที่กำลังไหลผ่านท่าน และเลือกที่จะแช่ลงไปในแม่น้ำแห่งความเป็นนิรันดร์ เสียแต่บัดนี้
 
การลิ้มรสผลสตรอเบอร์รี
คือการเพลิดเพลินอย่างเต็มที่กับรสชาติของ ความเป็นจริง เมื่อได้ทำเช่นนั้น ท่านจะเริ่มพอใจกับความมหัศจรรย์ของการดำรงอยู่ และสังเกตเห็นความงดงาม ซึ่งมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะมองไปที่ไหน นี่เป็นการเติมหัวใจของท่านด้วยความเบิกบานใจ และรู้สึกขอบคุณ
 
การเด็ดและลิ้มรสผลสตรอเบอร์รี อาจพูดง่ายแต่ทำยาก ตลอดเวลาคนส่วนมาก มักมีปัญหาในการเข้าสู่สภาวะที่มีจิตใจจรดจ่ออย่างทรงพลัง เพื่อยอมให้เราได้ฉวยโอกาสเพียงชั่วขณะและได้ลิ้มรสความเป็นจริง เนื่องจากมีอุปสรรคหลายชนิดเข้ามาขัดขวาง
 
อุปสรรคชนิดที่หนึ่ง คือการขาดความรู้ตัว อุปสรรคชนิดนี้ผู้บ่มเพาะเต๋าสามารถเอาชนะได้ ผู้คนส่วนมากมีชีวิตติดหล่มอยู่กับอดีต หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต โดยไม่รู้ตัวว่าขุมทรัพย์แห่งปัจจุบันอยู่ที่พวกเขาแล้ว ในนิทานเรื่องนี้ ถ้าชายผู้นั้น มัวยุ่งอยู่กับการมองขึ้นไป เขาคงไม่ได้สังเกตเห็นผลไม้หวานฉ่ำที่อยู่ใกล้ๆตัว
 
อุปสรรคชนิดที่สอง นี้ยากกว่า และเรามักจะพบเป็นประจำ ลองพิจารณาดูจากนิทาน เมื่อชายคนนั้นพบผลสตรอเบอร์รี แต่ถ้าขณะนั้นเขากังวลเกี่ยวกับเสือตัวที่อยู่ข้างบนและกลัวเสือตัวที่อยู่ข้างล่างมากเกินไป เขาจะไม่นึกอยากกินอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะรู้ว่าผลสตรอเบอร์รีอยู่ตรงไหน ก็ไม่สนใจแม้แต่จะเอื้อมมือไป
 
บางคนเมื่อเผชิญกับอุปสรรคเช่นนี้ อาจกล่าวว่า
“การเข้าใจคำอุปมาในนิทานเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่มันต่างจากการนำความเข้าใจไปใช้ปฏิบัติจริงๆ ขณะนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า ควรมีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการใช้ชีวิต แต่นั่นแหละข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรล่ะ”
 
ในนิทานได้ให้ร่องรอยเอาไว้แล้ว เมื่อชายคนนั้นได้เห็นผลสตรอเบอร์รี เขาได้ยึดเถาวัลย์เอาไว้เพียงครึ่งเดียว อีกมือหนึ่งเอื้อมออกไป การกระทำเช่นนี้ประกอบด้วยส่วนสำคัญสองประการคือ ปล่อยมือข้างหนึ่งออก และเอื้อมออกไป
 
ชายคนนั้นจะไม่สามารถปลิดผลสตรอเบอร์รีได้เลย ถ้าเขายืนกรานที่จะยึดเถาวัลย์ด้วยมือทั้งสองข้าง ทั้งหมดที่ทำได้ก็แค่เบิ่งตามองเท่านั้น เพื่อที่จะได้รับรางวัล เขาจำเป็นต้องคลายมือข้างหนึ่ง แล้วปล่อยมันออกจากเถาวัลย์
 
ในการดำเนินชีวิตก็เช่นกัน
เถาวัลย์เป็นตัวแทนของการดำรงอยู่ทางกายที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ การยึดเถาวัลย์แน่น ก็เหมือนกับการยึดมั่นถือมั่นในการเกี่ยวข้องกับวัตถุ ด้วยการยึดมั่นเช่นนั้น ท่านจึงไม่สามารถปล่อยมันไปได้ นี่เป็นวิธีกีดกันตัวเอง มิให้ท่านมีความเบิกบานกับปัจจุบันที่ได้ผลแน่นอน
 
ฟังดูง่ายๆเมื่อพูดเช่นนี้ แต่ลองนึกถึงผู้คนที่ท่านรู้จัก เขาจะเพ่งความสนใจอยู่แต่การหาเงินและเก็บเงิน จนไม่มีเวลาให้ความเบิกบานแก่ชีวิต ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถผ่อนคลายได้เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจทำ ตัวอย่างเช่นในวันที่หยุดงาน พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ทำงานได้ ตามภาษาในนิทานของเราเรียกบุคคลเช่นนี้ว่า พวกเกาะตายคาเถาวัลย์
 
ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือการเอื้อมมือออกไป การที่อยู่อย่างสบายก็อาจถือว่าเป็นความสบาย แต่ไม่ได้รับอะไรใหม่ๆ เพื่อที่จะได้รับผลสตรอเบอร์รี ท่านจำเป็นต้องลองทำสิ่งที่นอกเหนือจากความคุ้นเคย เป็นการทดสอบเพื่อรางวัลที่เห็นอยู่ว่าไม่ไกลเกินเอื้อม
 
เต๋า ปรากฏตัวของมันในการดำรงชีวิต และลักษณะสำคัญของการดำรงชีวิต ก็คือการเจริญเติบโต ชีวิตกำลังสำรวจอาณาจักรใหม่ๆอยู่เสมอ กำลังฉกฉวยโอกาสและกำลังบรรลุผลสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าเราทำเช่นเดียวกันจะพบในไม่ช้าว่าชีวิตสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ เราจะพบว่า การดำรงชีวิตในปัจจุบันนั้น...ง่ายดายและเบิกบาน
 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อมีความทุกข์จงดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่และสนใจกับชั่วขณะนั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ คือถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ :
 
อะไรคือสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดติด
มีอะไรบ้างที่ยังไม่สามารถปล่อยวางได้
การยึดติดอะไรบ้างที่ข้าพเจ้ากำลังปรารถนาจะปลดปล่อย
เพื่อให้การดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
 
ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่
หรือพบผู้คนใหม่ๆ
ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน
มีสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินอะไรบ้างที่ข้าพเจ้าศึกษาได้
มีสิ่งที่น่าสนใจให้ข้าพเจ้ารับมือบ้างไหม
 
คำตอบของท่านจะชี้ทางให้ท่านดำเนินตาม จงวางแผนไปตามนั้น
 
ขณะที่ท่านปฏิบัติตามแผนที่วางเอาไว้ เพื่อดำรงชีวิตด้วยการให้ความสนใจกับชั่วขณะนั้น จะพบว่ามันแสนง่าย...ที่จะยุติ การหมกมุ่นอยู่กับอดีตหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต เมื่อท่านเบิกบานอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะพบว่าความทรงจำที่ทำให้ท่านไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งทำให้ท่านเจ็บปวด...จะไม่มีผลกับท่านอีกต่อไป ความกังวลหรือแม้แต่ความหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตก็หมดไปด้วย
 
ท่านจะพบว่าปัจจุบันนั้น
เป็นของขวัญที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันเป็นของขวัญอันน่าพิศวงที่บรรจุไว้ด้วยความสงบ ความพอใจ กำลังความสามารถ และความกระปรี้กระเปร่า มันเป็นกล่องที่เต็มไปด้วยสตรอเบอร์รีอันเลิศรส
 
คุณคงเริ่มที่จะตระหนักแล้วว่า สิ่งที่ต้องการเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่สมควรได้รับ ดั่งเช่นของขวัญอันเป็นสิ่งที่ท่านต้องยอมรับมันและพอใจกับมัน ท่านอาจสงสัยว่า มีผู้ที่ไม่สามารถต้อนรับมันด้วยหรือ บางคนถึงขนาดไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นการมอบให้พวกเขา พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขา อีกทั้งไม่เข้าใจคุณค่าที่เหลือเชื่อของมัน
 
จงรวบรวมความคิดของท่าน กลับเข้าไปไว้ในตัวของท่านเอง มันได้เวลาเปิดกล่องของขวัญของท่านแล้ว.
 
หมายเหตุ ; ครับ เต๋า กลับมาอีกแล้วครับ หลังจากผมได้แก้ขัดด้วยการเอาบทกวีเก่าๆของตัวเองแก้ขัดเอาไว้ในตอนก่อน เนื่องจากไม่สามารถทำงานได้สะดวก เพราะยกบ้านและที่ทำงานที่อยู่ในห้องนอนให้แขกเข้าไปพัก ดังที่ผมได้บอกกล่าวมาแล้ว
 
เรื่อง “ขณะมีชีวิต” จากหนังสือ “อยู่อย่างเต๋า” โดย เกรียงไกร เจริญโท ที่ผมนำมาเสนอนี้ โดยส่วนตัวผม ผมถือว่าเป็นเรื่องที่มีสาระที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในหนังสือเล่มนี้ เพราะเขาได้หยิบเอาความทุกข์และปัญหาที่คนเราทุกคนต้องเผชิญ และชี้แนะว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร จึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความทุกข์จากความทรงจำในอดีต และความทุกข์กังวลต่อการคาดการณ์ถึงอนาคต และทำให้เราไม่สามารถใช้เวลาในปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ หรือบางทีก็ทำมันหายไปจนหมด เพราะไปติดหล่มอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว และกับปัจจุบันที่ยังมาไม่ถึง
 
ความจริงนิทานเซ็นเรื่องนี้ ผมเคยได้อ่านท่านผู้รู้ตีความมาหลายท่าน แต่ก็ยังคลุมเครือและเต็มไปด้วยช่องโหว่ให้เราสงสัยและถกเถียงได้ แต่พอผมได้มาอ่านการตีความของคุณเกรียงไกร เจริญโท ผมก็สิ้นสงสัย และขอคารวะในความรู้และความสามารถของคุณเกรียงไกรที่สามารถใช้หลักของเต๋าถอดรหัสนิทานเซ็นเรื่องนี้ออกมาให้ผมได้อ่านแล้ว ต้องยอมรับว่า ชีวิตคนเราเป็นเช่นนี้จริงๆ และเราก็ควรที่จะเอื้อมมือไปเด็ดผลสตรอเบอร์รีมากินอร่อยๆดีกว่า แทนที่จะมัวมาห้อยต่องแต่งอดอยากปากแห้งเป็นทุกข์อยู่กับไอ้เสือสองตัว ที่แยกเขี้ยวคอยขย้ำเราอยู่ที่บนและล่างหน้าผา หรือคอยหวาดผวาไอ้หนูสารเลวสองตัวที่คอยแทะเถาวัลย์ที่เราห้อยอยู่อย่างขยันขันแข็ง แถมไล่อย่างไรก็ไม่ไป
 
ครับ หวังว่าท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ คงจะได้คำตอบที่ดีๆของชีวิต นำไปผ่อนคลายความทุกข์หรือชี้นำชีวิตบ้างไม่มากก็น้อย เรื่องเต๋านี่ยังไม่จบนะครับ ผมยังจะนำมาเสนออีก เพราะผมมองว่ามันมีประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่าน จึงจะนำเสนออีกต่อไป สักสองสามตอน เพียงแต่ตอนหน้า ผมอาจจำเป็นต้องเอาเรื่องที่ต้องช่วยประชาสัมพันธ์งานนิทรรศการศิลปะของน้องๆมาคั่นก่อน สวัสดีครับ.
 
ปล. ภาพประกอบยังคงเป็นภาพของ มาลานชา จากฝีมือ Tou Paycheck ในอิริยาบถที่ดูแล้วให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนและสบายใจ เหมาะที่จะช่วยผ่อนคลายในการอ่านงานที่หนักเป็นหินชิ้นนี้ ต้องขออนุญาตคนสวยเอาภาพของเธอมาใช้งานอีกแล้วจ้า ขอบคุณ
 
23 มีนาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่    
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้