Skip to main content

อย่างที่รู้ๆกัน
การต่อสู้กันทางการเมืองครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างชนชั้นนำในสังคมที่ขัดแย้งกัน หรือพูดง่ายๆก็คือระหว่างทุนเก่ากับทุนใหม่ ที่ช่วงชิงอำนาจกันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล ที่ต่างฝ่ายต่างมีประชาชนเป็นฐานคะแนนเสียงสนับสนุนอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างจากการต่อสู้กันในยุคเดือนตุลามหาวิปโยค ที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับประชาชน นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน โดยตรง

แต่ผมก็ยอมรับ
และเชื่อว่าใครต่อใครอีกเป็นจำนวนมาก ต่างก็จำเป็นต้องปรับตัวปรับใจยอมรับระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ตามข้อเท็จจริงที่ว่า คนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองในยุคนี้และยุคต่อๆไปอีกนานเท่าไหร่ก็ยากที่รู้ได้ มีแต่คนที่มีเงินถุงเงินถังเท่านั้น...ที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเล่นการเมือง ซึ่งย่อมหมายถึงนายทุนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นขึ้นไปจนถึงนายทุนระดับชาติชาติเท่านั้น ที่จะมีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นส.ส.ทำหน้าที่อยู่ในรัฐสภา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ เมื่อคนของนายทุนหรือตัวนายทุนเองเข้าไปเป็นส.ส. เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นพรรคฝ่ายค้าน เขาย่อมที่จะยังประโยชน์และปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นเขาเป็นตัวหลัก

ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา...ที่ต้องเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่เรายังไม่มีคนที่เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ที่แท้จริงเข้าไปบริหารประเทศ หรือถ้ามีเล็ดลอดเข้าไปสักคนสองคน ก็จะถูกกลืนเปลี่ยนไปเป็นอื่นด้วยระบบทุนที่แข็งกว่า ดังที่คนเดือนตุลาหลายคนได้เปลี่ยนไปจากคนที่เคยต่อต้านทุนนิยมก็กลับกลายมารับใช้การเมืองให้แก่นายทุน ทั้งทุนเก่าอำมาตย์ศักดินาที่พวกเขาเคยโจมตีในยุคเดือนตุลา และทุนใหม่โลกาภิวัตน์ ของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเข้าไปสู่ระบอบดังกล่าว

ซึ่งคงเป็นเรื่องที่พวกเขาคงเข้าใจกันดีแล้วว่า มันเป็นขั้นตอนหนึ่งของวิวัฒนาการทางสังคมที่ยากแสนยากที่จะเปลี่ยนผ่านระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ และต้องยอมรับความเป็นจริงของสังคมที่เป็นอยู่ ถ้ายังอยากอยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์การเมืองในยุคปัจจุบัน เพราะระบบนายทุนนั้นเขาจะแข็งแกร่งมากในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในเรื่องการเมือง ที่จะทำให้พรรคเข้มแข็ง มีเอกภาพ และนำมวลชนเข้ามาสนับสนุน ดังเช่น ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกทำลายไม่รู้กี่ครั้ง และถูกขับไปอยู่ถึงต่างประเทศ แต่ยังสามารถบัญชาการผ่านเทคโนโลยี่ล้ำยุคเข้ามานำพรรคเพื่อไทย เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างถล่มทลายเมื่อปีที่แล้ว

เพราะถึงอย่างไร
เรามีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ก็ยังดีกว่ารัฐบาลแบบเผด็จการทุกรูปแบบ เพราะเขายังเปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อยมีปากมีเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมต่างๆ และคัดค้านในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย และสามารถวิพากษ์วิจารณ์หรือด่ารัฐบาลได้ เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังที่เราสามารถด่ารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สารพัดอย่าง แม้กระทั่งบางพวกบางเหล่าถึงกับด่าคุณยิ่งลักษณ์อย่างหยาบคายว่าเป็น อีกะหรี่ ก็ยังด่าได้ โดยไม่ต้องโทษประหารชีวิตเจ็ดร้อยชั่วโคตร ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการ ใครปริปากอะไรออกมาสักหน่อย แล้วไม่เป็นที่พึงพอใจของเขา ก็จะมีกองทัพทหารปรากฏตัวออกมาพร้อมกับปืนที่ซื้อมาจากเงินภาษีของเรา...มาจ่อหัวเรา ตามคำสั่งของรัฐเผด็จการ ดังที่พวกเขาทำกันมาทุกยุคทุกสมัย และที่เพิ่งผ่านไปเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดของสังคมอย่างสดๆร้อนๆ เมื่อกลางปี 2553 ก่อนจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช่หรือมิใช่

ผมจึงไม่มีปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคกระจอกงอกง่อยอะไรจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ถ้าพรรคนั้นมาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ผมพร้อมที่จะยอมรับนับถือ และช่วยปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเรื่องที่ควรปกป้อง และวิพากษ์วิจารณ์ติชมในเรื่องที่ควรติชม เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ มิให้การเมืองถอยหลังเข้าคลองกลับไปเป็นรัฐเผด็จการซ้ำซากจนเราจะอ้วกแตก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกเขา

เพราะผมมาคิดดูแล้ว ถ้าหากผมหรือใครๆไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากว่าเป็นพรรคการเมืองที่เราไม่ชอบ แถมยังทำตัวเป็นคนขี้แพ้ชวนตี เวลาพรรคที่ตัวเองถือหางพ่ายแพ้ ผมก็ไม่ทราบว่าเราจะมีระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดในโลกนี้ เอาไว้หาพระแสงด้ามพร้าห่าเหวอันใด

จริงๆนะ ผมคิดเกี่ยวกับการเมืองได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้เอง ถ้าหากท่านผู้ใดคิดได้ดีกว่านี้ และมองเห็นว่าที่ผมคิดยังตื้นเขินและโง่เขลาไม่เท่าทันสถานการณ์ ขอความกรุณาช่วยแสดงความรู้และความเห็นอันลึกซึ้งมาเป็นวิทยาทานแก่ผม และอีกหลายๆท่านที่คิดได้ประมาณเดียวกับผม เพื่อช่วยพัฒนาจิตสำนึกทางการเมืองให้แก่กันและกัน มิให้ดักดาน ห้วนกุด ซ้ำซาก อยู่กับความเชื่อและข้อมูลเก่าๆ ก็จะเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง...แก่สัตว์โลกผู้ยากไร้ความรู้และสติปัญญาเป็นอย่างยิ่ง

และด้วยเหตุที่การเมืองครั้งนี้ เป็นเรื่องของชนชั้นนำในสังคม มิใช่การเมืองของประชาชนส่วนใหญ่โดยตรง แถมยังแตกแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ผมจึงไม่มีใจที่จะเลือกข้างเป็นคนเสื้อเหลืองหรือคนเสื้อแดง ประกอบกับผมมองเห็นว่า มีคนหลายคนที่เลือกข้างไม่ว่าจะเป็นคนเหลืองหรือคนเสื้อแดง ได้กลายเป็นคนที่มองคนอื่นที่เป็นสีตรงกันข้ามกับตนเอง เป็นพวกที่มีความเลวไปหมดทุกอย่าง ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ผิดธรรมชาติของมนุษย์และผมไม่อาจยอมรับได้ เพราะผมกลัวเหลือเกิน...ที่จะถูกองค์กรของเขาที่เต็มไปด้วยบุคคลากรที่เก่งกล้าสามารถ จะนำไปล้างสมองจนกลายเป็นมนุษย์หุ่นยนตร์ที่น่าสงสารและน่ากลัวแบบนี้

ผมจึงสมัครใจขอยืนดูห่างๆสนับสนุนในเรื่องที่ควรสนับสนุน คัดค้านในเรื่องที่ควรคัดค้าน นี่ผมไม่ได้หมายความว่า คนที่เขาเลือกข้างจะเป็นแบบนี้กันหมดนะครับ เพราะยังมีคนเลือกข้างอีกมากมายที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ได้ และพูดกันรู้เรื่อง เพราะเขาไม่ยอมให้ใครมาล้างสมองจนถึงขนาดเห็นใครใส่เสื้อต่างสี หรือคิดต่างจากที่ตัวเองถูกใส่ข้อมูลมา เป็นต้องรีบตรงรี่เข้าไปขวิด ขวิด ขวิด เอาไว้ก่อน ราวกับโกรธแค้นกันมาสักห้าร้อยชาติก็ไม่ปาน

ดังนั้น
ทุกวันนี้ เวลามีคนมาถามว่า ผมเป็นคนเสื้อเหลืองหรือว่าเป็นคนเสื้อแดง ในระยะแรกๆผมเคยพยายามอธิบายให้คนที่ถามผมหลายๆคนให้เข้าใจจุดยืนของผม ดังที่ผมกล่าวมาในเบื้องต้น แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจ และงงๆกันว่า ผมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็เลือกข้างด้วยกันทั้งนั้น ไม่เหลืองก็ต้องแดงนั่นแหละครับ ช่วงหลังมานี่เวลาเจอแบบนี้ ผมก็เลยโยนคำถามกลับให้คนถามช่วยคิดแทนผมในทำนองที่ว่า ผมยังไม่รู้เลยว่า ผมควรจะเลือกข้างเป็นคนเสื้อเหลืองหรือเป็นคนเสื้อแดงดี เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน แล้วก็ปล่อยให้เขาพรรณนาถึงความดีของสีที่เขาเลือก และขุดคุ้ยสาวไส้ความไม่ดีสารพัดอย่างของสีที่อยู่ตรงกันข้ามกับเขา (จนผมฟังแล้วขนลุก) เพื่อโน้มน้าวผมเข้าไปเป็นแนวร่วม จนเขาเบื่อที่จะพูด และเลิกสนใจไปเอง

ครับ
ที่ผมเขียนมานี่ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ คือเมื่อเดือนสองเดือนก่อน มีพี่สาวคนสวยที่ผมรักและนับถือคนหนึ่ง ไม่ได้เจอกันมาเกือบยี่สิบกว่าปี ได้เบอร์จากน้องๆที่ทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมและรู้จักผม ได้โทรมาหาผม หลังจากท้าวความหลังสมัยเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ในสถาบันเดียวกันพอหอมปากหอมคอ พี่ก็ค่อยๆเลียบๆเคียงๆถามผม...แบบเช็คดูให้แน่ใจ ว่าผมเป็นคนเสื้อสีอะไรหรือเปล่า ผมก็ตอบแบบโยนคำถามไปให้ผู้ถามช่วยคิดดังกล่าว แต่พอพี่เริ่มพรรณนาถึงความเลวร้ายของคนเสื้อสี...ผมก็รู้เลยว่าพี่เป็นคนเลือกข้างแบบสุดขั้วหัวใจ และเลือกข้างเป็นคนเสื้อสีอะไร

โอ้ ตอนรับโทรศัพท์พี่ครั้งแรก ผมดีใจมากๆ ซึ้งใจมากๆ ที่พี่ยังจำผมได้แถมยังอุตส่าห์โทรมาหา รีบบอกแก่ตัวเองทันทีเลยว่า ถ้าหากมีโอกาสเข้าเมืองจะต้องแวะไปเยี่ยมพี่ที่บ้าน แต่พอพี่เริ่มเช็คเรื่องสีทางการเมืองเอากับผม ความตั้งใจที่จะไปเยี่ยมพี่ก็พลันดับวูบลง และรู้สึกอย่างชัดเจน...ว่าตัวเองกำลังอกหักแบบเฉียบพลันจนยับเยินไปหมด เมื่อพบว่ามิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างเราสมัยเป็นนักศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน ได้เปลี่ยนไปเสียแล้วในวันนี้ เพราะพี่ได้สร้างเงื่อนไขความสัมพันธ์แบบมิตรภาพอันงดงามในอดีต โดยถือเอาการเมืองเป็นตัวกำหนดวัดชี้กลั่นกรองการยอมรับหรือไม่ยอมรับความสัมพันธ์กันใหม่ ในขณะที่ผมยังคงเป็นคนเชยๆเหมือนเดิม

ฮือ ฮือ
พี่สาวครับ ลาก่อนครับ พี่ครับ.

10 มกราคม 2555
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้