Skip to main content

 

แล้วในที่สุด
ผมก็ได้รับรู้ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องเป็นราว (ที่อยากรู้มานาน) ของ คุณหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายราษฎร์อาสาปกป้องสถาบัน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ออกมาต่อต้านข้อเสนอแก้ ม.112 ของนิติราษฎร์และครก.112 จากการเป็นวิทยากรรับเชิญอภิปรายในเรื่องนี้ ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 55 ที่ประชาไทนำมาลงในหน้าแรกประชาไท เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 55 ทั้งคลิปภาพและเสียงการอภิปรายที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆ และเนื้อหาที่ประชาไทแปลแบบย่อความมา รวมทั้งการตอบคำถามของผู้สื่อข่าว

โดยเฉพาะคำถามในช่วงท้ายของรายการที่ประชาไทรายงานว่า
“...นิรมล โฆษ ผู้สื่อข่าวหนังสือ สเตรทไทม์ ของ สิงคโปร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า นพ.ตุลย์มักใช้คำว่า ‘ชาวไทย’ ‘คนไทย’ บ่อยครั้ง จึงอยากทราบว่า นพ.ตุลย์หมายถึงใครบ้าง เพราะคนอย่างนพ.ตุลย์และคนเสื้อแดง ก็เป็นผลผลิตจากสังคมเดียวกัน”
ซึ่งการตอบคำถามอันแหลมคมข้อนี้ของคุณนิรมล ทำให้เราได้รู้จักฐานความคิดที่เป็นต้นตอความคิดทั้งระบบ หรือทั้งชุดของขบวนการความคิดของคุณหมอตุลย์ ดังนี้

แกนนำเสื้อหลากสีจึงตอบว่า เราทั้งหลายเป็นคนไทยด้วยกัน บ้างเป็นอิสระ บ้างตกอยู่ในพันธนาการของนักการเมืองที่ต้องการอำนาจ ตอนนี้นักการเมืองทุกคนต้องสังกัดพรรคการเมือง นี่ต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ
“สภาพจริงๆ (ทางการเมือง) ตอนนี้เหมือนเกษตรพันธะสัญญา หัวหน้าหมู่บ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อย่าง ‘หัวคะแนน’ ผมไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร คือคนที่ได้รับเงิน แล้วเอาไปจ่ายเพื่อประชาชนที่ยากจนมาสนับสนุน ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ พวกเขาก็จะเลือกตามหัวคะแนน ดังนั้น พวกเขาไม่ใช่เสรีชน เขาเป็นคนไทย เป็นคนไทยที่ยากจน ครอบครัวของผมก็เหมือนคนเหล่านี้ ปู่ย่าตายายของผมเป็นชาวนา แต่พวกเขาสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ ดังนั้น สถานการณ์จึงต่างจากประเทศอื่น”

ผมเสียใจ ผมรู้ ผมเกลียดสถานการณ์เช่นนี้มาก ผมอยากให้ทุกคนเป็นอิสระเหมือนอย่างผม หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น นี่เป็นธรรมชาติของผมเลยนะ ถ้าพวกเขาเป็นเสรีชน และพวกเขาเสนอแบบนี้ (เสนอแก้ไข ม. 112) ถ้าข้อเสนอบางอย่างไม่ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะอันตราย ผมเห็นด้วยกับพวกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนสภาพการณ์ถูกชักไปโดยนักธุรกิจ นักการเมือง นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ถ้าคุณพิจารณาให้ดี นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ตอนนี้เป็นเผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยนักการเมือง พวกเขาโหวตทุกเรื่องเพื่อเปลี่ยนทุกเรื่องในสภา และผมกลัวว่าภายในอนาคตอันใกล้ประเทศจะตกอยู่ในภาวะล้มละลาย เหมือนที่เกิดขึ้นกับบางประเทศ ผมไม่พูดชื่อประเทศนะ ก็ประเทศอย่างที่พวกคุณรู้”

“พวกเขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยใช้อำนาจที่มาจากคนจน 15 ล้านคะแนน แล้วพวกเขาบอกว่าชนะเลือกตั้ง พวกเขาสามารถจะทำได้ทุกเรื่อง นี่คือประชาธิปไตยหรือ” หมอตุลย์กล่าว

ครับ
สรุปแล้วฐานความคิดของคุณหมอตุลย์ ก็คือ การไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตย จากคะแนนเสียงของคนจนที่เทให้พรรคเพื่อไทย 15 ล้านเสียง ขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล (รวมทั้งในอดีตตั้งแต่ทักษิณขึ้นมาเป็นนายกฯ) ด้วยเหตุผลที่คุณหมอบอกว่า มันใช่คะแนนของ “เสรีชน” แต่เป็นคะแนนที่ซื้อมาจากระบบอุปถัมภ์ ของ ทักษิณ ชินวัตรโดยผ่านหัวคะแนน ของ พรรคเพื่อไทย โดย ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนควักเงินจ่าย

เมื่อคุณหมอตุลย์เชื่อว่า คะแนน 15 ล้านเสียงของคนจน ไม่ใช่คะแนนของเสรีชน แต่เป็นคะแนนที่ถูกซื้อจาก ทักษิณ ชินวัตร จึงมิใช่เรื่องที่แปลกที่คุณหมอจะคัดค้านข้อเสนอการแก้ไข ม.112 ของนิติราษฎร์ โดยให้เหตุผลและการเชื่อมโยงกันว่า
“เนื่องจากเกรงว่า หากมีการแก้กฎหมายดังกล่าว ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์แล้ว อาจทำให้การหมิ่นสถาบันกษัตริย์มีสูงมากขึ้นกว่าเดิม จึงมีข้อเสนอว่า ควรเปิดให้มีการจัดเวที ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กับการแก้ไข ม.112 ในเชิงวิชาการและสันติ พร้อมที่จะให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งฟ้อง ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า ควรมีการนิยามข้อบังคับดังกล่าวให้ชัดเจนมากกว่าเดิมด้วย”

และอธิบายอีกว่า การหมิ่นสถาบันในระยะหลังๆได้เพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องมาจากความไม่หวังดีของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมือง โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงประเทศ และเข้าแทรกแซงขบวนการต่างๆของไทย ทั้งตุลาการ ศาล และ สถาบัน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในชนบทและขาดการศึกษาตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง

นพ.ตุลย์กล่าวว่า กลุ่มที่รณรงค์แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น นิติราษฎร์ กลุ่ม ครก. 112 หรือกลุ่มที่รณรงค์เพื่อความตื่นรู้ ที่มุ่งจัดเวทีเพื่อความตื่นรู้และความเข้าใจในจังหวัดต่างๆ แท้จริงแล้วมีเบื้องหลัง และอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในแง่มุมต่างๆ และอาจส่งผลเสียตามมาต่อประเทศไทยได้ เขาจึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนิติราษฎร์

ทั้งนี้ เขาระบุว่า เขาเองยินดีที่จะร่วมเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนและถกเถียงกับกลุ่มที่เสนอให้แก้ ม.112 เช่น นิติราษฎร์ ตราบใดที่การพูดคุยนั้นเป็นอย่างสันติและเชิงวิชาการ อย่างไรก็ตาม นพ.ตุลย์กล่าวว่า ไม่ต้องการที่จะพูดในประเด็นดังกล่าวออกอากาศทางโทรทัศน์ เนื่องจากเป็นเรื่องอ่อนไหว และอาจถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีเอาไปโจมตีได้

เมื่อผู้สื่อข่าว ถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่ฝ่ายเสนอให้แก้ ม. 112 ชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมาย เพื่อเป็นการรักษาสถาบันฯ นพ.ตุลย์กล่าวว่านั่นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง และ “โฆษณาชวนเชื่อ” เท่านั้น เพราะตนเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับการรักษาสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น นอกจากนี้ยังชี้ว่า กลุ่มนิติราษฎร์ เป็นกลุ่มวิชาการที่ตั้งขึ้นมา เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ และไม่ได้ศึกษาอย่างรอบด้าน

ส่วนกรณีคดีหมิ่นฯ ที่คุณหมอเห็นด้วยกับการเพิ่มโทษให้สูงขึ้น
คุณหมอให้เหตุผลว่า
“ปรกติแล้ว ถ้าอาชญากรเพิ่มขึ้น การลงโทษนั้นก็ต้องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เพื่อที่จะหยุดยั้งมัน หากแต่ข้อเสนอจากดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมายอย่างวรเจตน์ ที่บอกว่า ต้องลดบทลงโทษ เพื่อที่จะให้คดีหมิ่นลดน้อยลงนั่น ผมจินตนาการไม่ออกเลย ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย ผมเองเป็นหมอ ผมมีไข้หรือเจ็บป่วย ผมก็ต้องใส่ยาที่แรงขึ้น ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหยุดให้ยา หรือให้ยาน้อยลง”

เมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ให้ความคิดเห็นว่า หากยังมีการพยายามปิดพื้นที่ในการถกเถียงเรื่องสถาบันฯในสังคมไทย โดยอ้างว่ากลัวความวุ่นวาย อาจจะเป็นอันตรายในระยะยาวก็ได้ นพ.ตุลย์ชี้ว่า สังคมไทยยังไม่พร้อมในการถกเถียงทางวิชาการที่สันติ เนื่องจากคนไทยยังขาดการศึกษาอยู่มาก

นอกจากนี้ นพ.ตุลย์ยังเชื่อว่า กรณีการตัดสิน อากง จำคุก 20 ปี และ โจ กอร์ดอน เป็นการจัดฉากขึ้น เพื่อให้กลุ่มที่ต้องการแก้ ม.112 ใช้เป็นข้ออ้าง และเป็นแผนการ ของ ทักษิณ ชินวัตร

ครับ สรุปแล้ว ต้นตอสาเหตุของปัญหาทั้งหมดที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและแตกแยกในสังคมไทย และลุกลามไปจนถึงกฎหมายหมิ่นสถาบันฯในขณะนี้ จากความคิดและความเชื่อของคุณหมอ ก็คือ คะแนนเสียง 15 ล้านเสียงของคนจน ที่ยังไม่เป็นเสรีชน เพราะขายคะแนนเสียงให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร นำพรรคเพื่อไทยขึ้นไปเป็นรัฐบาล นั่นเอง ที่เป็นต้นตอสาเหตุ

และผมก็นึกแปลกใจ ที่คุณหมอยังปักเชื่ออีกว่า คณะนิติราษฎร์ และกลุ่มที่ต้องการแก้ ม.112 ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการเมือง ของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นก็หมายความว่า คุณทักษิณก็คงจะซื้อปัญญาชน - นักวิชาการเหล่านี้เอาไว้กำมือ ด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่แนบเนียน และถือได้ว่าเป็นพวกเขาก็ไม่ใช่ เสรีชน เช่นเดียวกับคนจน 15 ล้านคน เพราะยอมทรยศต่อวิชาชีพของตนเอง ยอมให้ทักษิณซื้อไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตามความเชื่อของคุณหมออีกเหมือนกัน...

ขอบคุณครับ ขอบคุณ คุณหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ที่ออกมาแสดงความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องเป็นราวให้ผมและสังคมได้รับรู้ - ไปไกลถึงนานาประเทศ - ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไม คุณหมอจึงคิดอย่างนี้ และทำให้เราเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในเรื่องที่คนเราจำเป็นต้องแสดงเหตุผลมารองรับ โดยไม่ต้องรอให้ใครมากล่าวหาว่าเป็นพวก Absurd กันอีก

วันนี้ ผมหมดสิ้นความอยากรู้ - อยากเข้าใจระบบความคิดของคุณหมอจนหมดสิ้นแล้ว ต่อไปผมจะเก็บไปพิจารณาและคอยจับตาและตรวจสอบดูว่า ทั้งหมดนี้...มันเป็นความจริงหรือเปล่าในสังคมที่ขัดแย้งแตกแยก ที่แต่ละฝ่ายต่างประกาศออกมาว่า
ข้าคือความจริง
ข้าคือความงาม
ข้าคือความดี
ข้าคือความถูกต้อง
ข้าคือความยุติธรรม - ที่แท้จริง
ขอให้ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังพวกข้า
และปฏิบัติตามพวกข้าแต่เพียงผู้เดียว
โดยเฉพาะวาทกรรมของคุณหมอที่กล่าวว่า
“สังคมไทยยังไม่พร้อมในการถกเถียงทางวิชาการที่สันติ เนื่องจากคนไทยยังขาดการศึกษาอยู่มาก”
เพราะวาทกรรมนี้ของคุณหมอ ทำให้ผมสะดุ้ง...และตระหนักคิดว่า ถ้าหากมันเป็นความจริง ก็แสดงว่าคนไทยเราทั้งหมดจำนวน 65 กว่าล้านคน โดยภาพรวมแล้ว ระดับสติปัญญาในการรับรู้ทางสังคม ยังอยู่ในยุคที่ยังนุ่งห่มใบไม้และอาศัยอยู่กันในถ้ำ

ซึ่งถ้าหากมันเป็นความจริง
ตามระบบความคิดที่เป็นความเชื่อของคุณหมอ นั่น ก็หมายความว่า แท้จริงแล้วในบ้านเมืองของเรา คนส่วนน้อยที่มีการศึกษาดี มีความรู้ มีสถานภาพทางสังคมสูง มากด้วยโอกาสทางสังคม มีเศรษฐกิจเหลือกินเหลือใช้ - ต่างหากเล่า เป็นคนที่น่าเห็นใจ เป็นคนที่น่าสงสาร ที่ต้องมาเป็นทุกข์เดือดร้อน

เช่น คุณหมอที่ต้องมาเดือดร้อน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ที่ยากจน พึ่งพาตนเองไม่ได้ ขาดการศึกษา ขาดโอกาสทางสังคม ขาดความเป็นเสรีชน และเห็นแก่เงินของ ทักษิณ ชินวัตร เช่น พวกคนจนจำนวน 15 ล้านคน ที่ขายคะแนนเสียงให้แก่ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยเรา ได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่คุณหมอยอมรับไม่ได้ เพราะไม่ใช่คะแนนเสียงของเสรีชน

คุณหมอครับ
เราควรจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี ผมเหลียวมองไปทางไหนในบ้านเมืองนี้ ผมก็เห็นแต่คนที่ยังไม่เป็นเสรีชน แต่กลับเห็นแต่คนที่เป็น ทาส ของความจน อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ผู้รู้บางท่านอธิบายให้ผมฟังว่า คนพวกนี้เป็นคนที่เกิดมาเพื่อชดใช้บาปกรรมมหันต์ที่ทำเอาไว้แต่ชาติปางก่อน ซึ่งถ้าหากความเชื่อนี้เป็นจริง ก็แสดงว่าโลกนี้มีคนบาปเยอะเหลือเกิน จึงถูกลงโทษให้มาเกิดเป็นคนจนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เพื่อชดใช้กรรมเก่า เช่น พวกชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรแบกหาม แม่ค้าขายส้มตำ คนขับแท็กซี่ คนเก็บขยะ ขโมย โสเภณี คนจรจัด ขอทาน ฯลฯ

แต่บางท่านกลับบอกผมว่า คนพวกนี้ คือผลผลิตของระบบสังคมอยุติธรรมที่คนส่วนน้อยที่กุมอำนาจการปกครองเอาไว้ คอยกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ที่ต้องกินและดื่ม มาตั้งแต่ยุคที่มนุษย์เริ่มรวมตัวกันเป็นชนเผ่า ผ่านมาจนถึงยุคศักดินาเจ้าที่ดิน และยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน โดยคนกลุ่มน้อยพวกนี้ต่างก็พยายามรักษาระบบสังคมอันชั่วร้ายนี้เอาไว้กอบโกยความมั่งคั่งให้แก่โคตรตระกูลและพวกพ้องของตนเอง - ด้วยอำนาจจากกองทัพที่พวกเขากำเอาไว้ในอุ้งมือ

คุณหมอครับ
เราควรจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี คนที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของคุณหมอสกปรกมอมแมม
จนคุณหมอยอมรับไม่ได้ และมีจำนวนมากขึ้นๆทุกวัน จนไม่สามารถยับยั้งได้ - สวัสดี.

20 - 21 กุมภาพันธ์ 2555 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมือง ที่ขัดแย้งกันมานาน ระหว่างรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ที่ดูเหมือนว่า นอกจากจะมองไม่เห็นทางที่จะสมานฉันท์กันได้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า สถานการณ์ที่ต่างฝายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน ยังมีทีท่าว่าจะทวีความรุนแรงไปสู่การนองเลือดที่น่าสยดสยอง ดังที่คาดหมายกันว่าจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ วันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป ตามที่เขาประกาศศึกกันแบบเอาเป็นเอาตายกัน ซึ่งเราไม่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้เกิดขึ้นในสังคมไทย   ดังเช่น โศกนาฏกรรมนองเลือด 6 ตุลาคม 19 และพฤษภาคมทมิฬ 35 ในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีพลังแห่งความปรารถนาดีใดๆในสังคม สามารถเข้าไปยับยั้งได้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  โอ พระเจ้า !ข้าสงสัยเหลือเกินว่า ทักษิณ ชินวัตรทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตรทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตรทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตรทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตร และ สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุลสนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้ม ทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุลสนธิ ลิ้ม ทองกุล สนธิลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุลสนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ลิ้มทองกุล
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ด่วน ! ประชาชนชาวไทย ผู้รักความสงบทุกท่าน โปรดทราบ... นับตั้งแต่ออกประกาศฉบับนี้เป็นต้นไป เวลาท่านออกจากบ้านไปไหนมาไหนคนเดียว โดยเฉพาะตามสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จัก เวลาพบคนใส่เสื้อสีเหลือง เหลีอง เหลีอง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง กำลังชุมนุมกันอยู่เป็นจำนวนมาก... ขอให้ท่านจงโปรดระวัง ! อย่าได้ขับรถ - หรือเดินเฉียดเข้าไปใกล้พวกเขาเป็นอันขาด ! เพราะนี่คืออันตรายเป็นอย่างยิ่ง !…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1 พฤศจิกายน 2551ข้ามองเห็นคนรัก ทักษิณ ชินวัตร ใส่เสื้อสีแดงแดง แดง แดง แดง แดง แดง แดง แดงแดง แดง แดง แดง แดง แดง แดง แดงแดง แดง แดง แดง แดง แดง แดง แดงแดง แดง แดง แดง แดง แดง แดง แดงจำนวนนับไม่ถ้วน ณ ราชมังคลากีฬาสถานแห่แหนกันออกมายกย่องและให้กำลังใจ ทักษิณ ชินวัตร และเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏภาพและเสียงผ่านโฟนอิน ออกมาพูดแล้วคนใส่เสื้อสีแดงทุกคนต่างเชื่อว่าทุกถ้อยคำที่ ทักษิณ ชินวัตร พูด ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นความจริงหมดทุกถ้อยคำ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิใช่ บ่อ จากท่อธารบาดาลใสหลั่งรินไหล มิรู้แล้ง แห้งเหือดหายเป็นเพียง บ่อ น้ำฟ้ามาซึมทรายหลั่งรินสาย มาหล่อเลี้ยง - เพียงชั่วกาลมิใช่ บ้านดวงใจ อุ่นไอรักแค่ เพิงพัก หลบร้อนอันกร่อนกร้านริมวิถี คดเคี้ยว เปลี่ยว กันดารเป็นทางผ่าน เป็นที่พัก - นักเดินทางมิใช่ แสงดาว ชี้ชัดปลุกศรัทธาแทนดวงตาดวงใจผู้ไร้ร้างเป็นเพียง แสงหิ่งห้อย - ลอยเลือนรางอยู่ท่ามกลางคืนเดือนมืดอันยืดยาวและมิใช่ สมณะ ผู้ละโลกย์พ้นทุกข์โศกเวียนว่ายกายสีขาวยังเป็นแค่ ปุถุชน คนมากคาวยังมิก้าวพ้น ตัณหา ราคีใดคือ ตัวฉัน…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าใส่เสื้อสีเหลือง ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความชอบธรรมของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความถูกต้องของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความดีงามของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งข้อเท็จจริงของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความเป็นจริงของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งเหตุผลของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อสีเหลืองแห่งอุดมการณ์ของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งพลังมวลชนอันยิ่งใหญ่ของข้า และความเชื่อในสีเหลืองทั้งหมดของข้า เป็นความเชื่อที่ข้าเชื่อว่า เป็นความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด และดีที่สุดที่ข้ามี แต่เพียงผู้เดียวในโลกนี้ ข้าจึงไม่มีวันที่จะประนีประนอม…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผลงานน้องจูนี่ไฟไฟ ไฟ ไฟไฟ กำลังลุกไหม้บ้านเมืองของเราเร้ว เร็วเข้าเถิดรีบมาช่วยกันดับไฟเร็วๆเข้า บ้าบ้า บ้า บ้าบ้าบอคอแตกที่สุดในโลกมัวไปสนใจมัวไปทะเลาะเบาะแว้งมัวไปทุ่มเถียงกันให้เสียเวลาทำไมว่าพวกรัฐบาลหรือว่าพวกพันธมิตรใครเป็นคนลงมือจุดไฟเผาใช้น้ำมันเบนซินยี่ห้ออะไรบริษัทอะไรเป็นผู้ผลิตใครเป็นคนคิดวางแผนใครเป็นคนสั่งการ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1. เงิน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับลมหายใจเข้าออกแทบทุกขณะจิตของผู้คน 2. เงิน คือทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ แต่เป็นนายที่โหดร้าย ยังเป็นวาทกรรมที่ทันสมัย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่ ดวงตา คอยมองจับจ้องอยู่ ที่ ใบหู คอยแยะแยกจำแนกเสียง ที่ จมูก คอยดมชมกลิ่นเกลี้ยง ที่ ปลายลิ้น คอยเรียงไล่ลิ้มรส
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
Canto คือยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่ออกมาให้เราเห็นนิดเดียวบนพื้นผิวของมหาสมุทร Canto คือการเปิดประตูเพื่อให้คนเดินเข้าไป คือการเปิดหน้าต่างเพื่อให้คนมองออกไป – สู่จินตนาการเสรี Canto คือการลงมือเขียนถ้อยคำจากความรู้สึกประทับใจจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างฉับพลัน 3 บรรทัดสั้นๆ จบ Canto คือการลดละการแสดงความคิดเห็น ความรู้ ความเฉลียวฉลาด ของผู้เขียน ออกไปให้มากเท่าไหร่ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น Canto คือการเก็บเม็ดทรายเม็ดเล็กๆของถ้อยคำ มารวมกันจนเกิดเป็น มวล ที่มีน้ำหนักและพลัง - ที่ไม่อาจปฏิเสธไม่ได้ Canto คือการเขียนเพื่อให้คนอื่นคิด มิใช่เขียนเพื่อคิดแทนคนอื่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1. ของแท้ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ แต่ผมไม่ใช่ 2. ได้มาก็เสียไป สิ่งสำคัญที่สุดอยู่กับเราชั่วคราว ผิดกับความอ่อนแอ 3. ความงามหนึ่ง ชื่อการพลัดหลง น่าประทับใจจนอยากเก็บเอาไว้คนเดียว 4. แดดส่องโต๊ะรับแขกหน้าบ้าน ตำลึงเลื้อยพันขาเก้าอี้ขึ้นไปงอกงาม กาน้ำชาฝุ่นเกาะอยู่ในห้องครัวเงียบ 5. กลิ่นชาใบเตย ขยายตัวอวลอุ่น จอกหนึ่งว่าง...จอกหนึ่งพร่อง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ระบอบการเมือง                ที่ดีที่สุดในโลกนี้มี                                   หรือไม่มีถ้าหากมี                          แล้วถูกขยำขยี้ทิ้งไปยัง…