Skip to main content

คนที่เป็นคนดีและทำแต่สิ่งที่ดีงาม

ที่เรามักจะเรียกกันว่าคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่ใครๆเขาก็รักก็ชอบ เพราะคนที่ค่อนข้างหาได้ยากแบบนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมักกระทำแต่สิ่งที่ดีงามทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็น่าเป็นห่วง คนดีมากมายหลายคนที่มีความเชื่อว่า การเป็นคนดีมีศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านจะต้องเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ เหมือนยาขนานเดียวที่รักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจริง และไม่เคยเป็นจริงถึงขนาดนี้

 

แต่ก็ยังมีคนเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมกติกนี้มิใช่น้อย ทั้งๆที่การมีอยู่ของคนดีมีศีลธรรมนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากการมีอยู่ของสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ นั่นคือ จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงในคุณค่าของตัวเอง หรือง่อนแง่นคลอนแคลน ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพของสิ่งแวดล้อมจะกำหนดให้เป็นเช่นใด


พูดอย่างง่ายๆกว้างๆ

ให้เข้าใจกันได้ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าคุณเป็นคนดีและทำดีอยู่ในสังคมที่แวดล้อมด้วยคนดีเหมือนๆกัน ชีวิตคุณย่อมไม่มีปัญหายุ่งยากอะไรมากนัก เพียงแค่คุณเป็นคนดีและทำดี คุณก็สามารถเอาชนะความเลวร้ายและอยู่รอดปลอดภัยได้โดยง่าย เพราะคุณอยู่ในสังคมของคนดี ที่รักความดีและไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร

แต่ถ้าคุณอยู่ในสังคมที่มีแต่คนที่เลวร้าย คอยจ้องจะทำแต่เรื่องชั่วๆ และพร้อมที่จะทำร้ายใครก็ได้ ความเป็นคนดีและทำดีเพียงประการเดียว ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกครับ ในสังคมแบบนี้นอกจากการเป็นคนดีและทำดีแล้ว คุณยังต้องเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้และคอยป้องกันความเลวร้ายจากคนพวกนี้ด้วย คุณจึงจะอยู่รอดปลอดภัยในสังคมแบบนี้ได้

 

นี่คือเรื่องราวในโลกของความเป็นจริง

ที่เรียกกันว่า การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์-เพื่อการอยู่รอด ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของคนเรา เรื่องนี้ คุณเฉียว เอี่ยมตระกูล ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือชื่อ ปรัชญาชีวิต ของท่านเอาไว้โดยละเอียด และได้หยิบยกเรื่องราวการเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย ระหว่างคนที่เชื่อว่าการเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร จะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ จึงไม่ยอมคิดปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ใดๆ กับคนที่เตรียมตัวปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ที่ชีวิตต้องเผชิญ โดยยกตัวอย่างเรื่องนางชีเดินกลับวัด มาเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ว่า

 

มีนางชีสองคน จะต้องเดินกลับยังวัดที่พำนักในยามวิกาล นางชีคนหนึ่งพกมีดไว้กับตัวเพื่อป้องกันเหตุร้าย เพราะต้องเดินผ่านที่เปลี่ยวในยามค่ำคืนอันมืดมิด นางชีอีกคนไม่พกอาวุธอะไรเลย เพราะถือว่าตนตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด ทั้งยังเชื่อมั่นว่า “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” จึงไปแต่ตัวเปล่า พอถึงทางเปลี่ยวก็มีคนร้ายสองคน วิ่งเข้ามาฉุดคร่าจะเอาตัวไปทำมิดีมิร้าย นางชีคนแรกเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ด้วยการเตรียมตัวไว้ก่อนเพราะความไม่ประมาทจึงล้มตัวลง รอให้คนร้ายก้มลงอุ้มแล้วใช้มีดแทงสวนขึ้นที่ร่างของคนร้าย จนคนร้ายต้องปล่อยตัวนางชีเพราะความเจ็บปวด นางชีคนที่พกมีดก็สามารถวิ่งหนีเอาตัวรอดได้”

 

เหตุการณ์เช่นนี้

เราย่อมเรียกได้ว่า นางชีคนที่พกมีด สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีกับเหตุการณ์ จะหาว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมก็หาได้ไม่ เพราะเป็นการป้องกันตัวจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นและเป็นภัยที่ร้ายแรง จะว่าเป็นการใช้ลูกไม้เล่ห์เหลี่ยมก็ว่าได้ แต่เป็นการใช้เพื่อป้องกันตัวให้พ้นจากภัย ในยามที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายโดยปราศจากความช่วยเหลือจากคนอื่น


ส่วนนางชีที่เคร่งอยู่ในศีล จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น จะสวดมนต์วิงวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้ามาคุ้มครองจากโพยภัย หรือจะใช้กำลังกายต่อสู้โดยตรง ก็ยากที่จะพ้นจากภัยร้ายแรงไปได้…”

 

ครับ

ที่ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง เพราะผมรู้สึกสะเทือนใจ เนื่องจากผมเคยได้เห็นคนดีมากมายหลายคนในสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ และถูกคนสารเลวทำร้ายอย่างน่าสงสาร เพราะมีความเชื่อแบบนางชี ที่ไม่ยอมพกมีด เดินผ่านที่เปลี่ยวในยามค่ำคืนอันมืดมิด…

 

ครับ หลังจากผมเขียนเรื่องนี้จบเรียบร้อยแล้ว ผมก็แอบหวังกับตัวเองเอาไว้อย่างเงียบๆว่า ท่านที่ยังมีความเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมนติกเป็นบ้านี้ ถ้าหากท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านคงจะได้ข้อคิดจากโลกของความเป็นจริงที่เลวร้ายนี้ไม่มากก็น้อย ใช่ ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อคนดี เพราะไม่อยากเห็นคนดีถูกทำร้าย เพราะความประมาท-เนื่องจากความเชื่อที่ไม่เป็นจริง ถึงแม้ตัวผมจะเป็นคนดีบ้างไม่ค่อยดีบ้าง แต่ผมก็รักและนับถือคนดี-ที่หาทำยาได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างพากันหันเหไปบูชาวัตถุธรรมเป็นสรณะของชีวิต-แทบทุกมุมเมือง.

 

หนังสืออ้างอิง : ปรัชญาชีวิต เฉลียว เอี่ยมตระกูล ราคา 35 บาท พิมพ์ครั้งที่ 4 .. 2530 จำนวน 2,000 เล่ม โดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์

 

กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    เมื่อยังมีชีวิต จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต   การมีชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น ฉันทำเท่าที่ฉันหวัง ฉันหวังเท่าที่ฉันเห็น ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันเชื่อหนึ่งมากกว่าร้อย ฉันเชื่อคนมากกว่าลัทธิ ฉันเชื่อดินมากกว่าฟ้า ฉันเชื่อต้นหญ้ามากกว่าขุนเขา ฉันเชื่อสวนหลังบ้านมากกว่าป่าหิมพานต์ ฉันเชื่อวันนี้มากกว่าวันวาน ฉันง่ายฉันงามฉันแจ่มชัด ฉันไม่เชื่ออำนาจรัฐจากกระบอกปืน   ฉันเป็นเท่าที่ฉันเป็น.  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อิสรภาพ   ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  เป็นที่ทราบกันดีว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่สร้างความทุกข์สาหัสให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” มามากมายหลายคน เพราะกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นมาอย่างกว้างๆไม่ระบุขอบข่ายความผิดให้ชัดเจน รวมทั้งกระบวนการจับกุม สอบสวน ดำเนินคดี ก็มิได้เป็นไปตามปกติทั่วไป มิหนำซ้ำการตีความบังคับใช้มาตรานี้ ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่สามารถตีความใช้ได้อย่างกว้างขวาง และนักการเมืองมักจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ และผู้ต้องคดีนี้นอกจากจะติดคุกติดตะรางแล้ว ยังถูกซ้ำเติมจากสังคมที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างรุนแรง    
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง คือพลังคีตกานท์อันหวานไหว คือหนึ่งจิตวิญญาณล้านนาไทย คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ย้อนกลับไปทบทวนดู คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
    คราวที่แล้ว ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมมักจะได้ยิน ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า “คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ถึงแม้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการรับรองจาก กกต. ให้หลุดพ้นจากข้อหาไปช่วยขบวนแห่ที่เชียงราย ให้พ้นจากข่ายความผิดด้วยมติ 5 ต่อ 0 ท่ามกลางความโล่งอกของใครต่อใครมากมายหลายคน ที่ว่ากันว่า เป็นเพราะโพลเสียงจากประชาชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการคุณยิ่งลักษณ์นายกฯ (รวมทั้ง นปช.) เป็นกระแสกดดัน กกต. หรือเพราะเหตุใดก็ช่างเถิด แต่เราก็สามารถฟันธงกันได้เลยว่า อีกไม่นาน เราจะต้องได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่างแน่นอน 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
      ผมไม่แน่ใจว่า ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนสวย และกลุ่มมันสมองของพรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายประชานิยม เพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานจาก 221 บาท เป็น 300 บาท และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้จบปริญญาตรีที่เริ่มเข้าบรรจุงานจาก 11,028 บาท เป็น 15,000 บาท
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมกำลังจะชวนใครต่อใคร เข้ามาคุยเรื่องปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาสะสางและแก้ไข จากข้อมูลของนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่รวบรวมและชี้แนะเอาไว้ล่วงหน้าแก่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์เอาไว้