เธอเริ่มแซะซอกเล็บ
ด้านข้างซ้ายนิ้วโป้ง ครู่เดียวจริงๆเธอบอกว่าเสร็จแล้ว ผมลุกขึ้นเห็นนิ้วโป้งเท้าซ้าย
พันผ้าขาวปิดพลาสเตอร์เรียบร้อย เธอทำงานคล่องมาก อัธยาศัยดี ไว้ผมสั้น ดูเป็นคนเปิดเผยไม่เรื่องมาก เธอบอกว่า
“พ่อ มาล้างแผลทุกวันเน้อ จนครบเจ็ดวันอย่าขาด เวลาอาบน้ำอย่าให้เท้าถูกน้ำนะ ถ้าถูกน้ำแผลจะหายช้า ”
“ครับ ขอบคุณครับ ”
ผมให้ภรรยา นำใบรับยาไปรอที่แผนกยา ส่วนผมเดินช้าๆมานั่งที่ระเบียงอาคาร ลมโกรกมาเย็นสบาย เห็นเด็กหนุ่มที่นั่งก่อน ลดเท้าจากท่าขัดสมาธิ ดูจะให้ความเคารพเรา ผมก็ทักทาย เขาบอกว่ามาเฝ้าแม่ ส่วนผมบอกเขาว่าเจ็บเท้าเพราะเล็บขบ ทรมานมากเลย เด็กหนุ่มพูดเรื่องนี้ว่า
“ผมเคยเป็นมาก่อน แม่บอกว่า ให้ใช้มีดขูดเล็บที่มันหนา ให้มันบางลงๆ เล็บมันจะอ่อนตัวแอ่นขึ้น ไม่โค้งลงแทงเนื้อนิ้วเท้าตรงด้านข้าง ผมทำตามแม่บอก เล็บไม่ขบอีกเลย”
ผมพูดขึ้นบ้าง
“หมอบอกพ่อลุงว่า ให้แช่เท้าในน้ำอุ่น เล็บจะได้อ่อนตัวและนิ่ม แล้วจึงตัดเล็บ อีกวิธีหนึ่ง อาบน้ำแล้วเล็บนิ่มขึ้นจึงตัดเล็บ ตัดเล็บที่ถูกวิธีคือ ตัดให้ตรง จากมุมเล็บหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง อย่าตัดให้มุมเล็บโค้ง”
ตอนเช้าอีกวันต่อมา
ผมมาล้างแผล พบอาจารย์หญิงท่านหนึ่ง หน้าตาคุ้นๆแต่นึกไม่ออก เคยพบสถานที่ใด เธอย่อตัวยกมือไหว้ก้มหัวเล็กน้อยนอบน้อมสวยงาม
“สวัสดีค่ะ จำหนูได้ไหม? หนูชื่อติ๋ว”
ผมคงทำหน้างงๆ สงสัย เธอพูดขยายความต่อ
“หนูเป็นแฟนของรอง ผอ.สพท. 4 รองฯภิญโญ”
“ครับๆ จำได้ครับ” ภาพในอดีตสว่างวาบ เชิญเธอนั่งเก้าอี้ข้างๆ
ผมบอกสาเหตุมาโรงพยาบาล เธอแนะว่า ให้แช่เท้าในน้ำอุ่น และตัดเล็บให้ตรง อาการอย่างนี้รักษาไม่หายขาด แต่ไม่อันตราย เธอหมดไปหลายตังค์ เธอก็ยังเป็นจนบัดนี้
“แล้วทำยังไงล่ะติ๋ว เล็บเป็นขุยๆไม่สวยเลย ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย บางทีต้องโชว์เล็บ”
“หนูใช้ยาทาเล็บเคลือบไว้ แล้วตัดเล็บให้สั้นค่ะ”