3 เมษายน 2554
ได้ทราบข่าว นักเรียนไทยในสิงคโปร์ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถไฟ MRT ของสิงคโปร์ทับขาขาดทั้งสองข้าง ในเวลาต่อมาได้มีการเสนอข่าวเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้ทราบเรื่องราวต่อมา คนไทยที่ได้รับอุบัติเหตุครั้งนี้ ชื่อ เด็กหญิงณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 14 ปี เดินทางไปเรียนซัมเมอร์คอร์สภาษาอังกฤษ เคมบริดจ์ ที่สิงคโปร์ เธอเป็นนักเรียนชั้น ม. 2 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดตรัง
มีการสอบสวนเหตุการณ์
ภายหลังมีคำอธิบาย อุบัติเหตุครั้งนี้ ไม่ใช่ความประมาทของน้องธัญญ์ เพราะขณะเกิดเหตุยืนอยู่ในเส้นที่กำหนด แต่อาจถูกกระแทกหรือทำให้ตกลงไปในรางรถไฟ ขณะนั้นน้องธัญญ์ยังมีสติดีมาก ได้พยายามยกขาที่ร่องแร่งออกจากรางรถไฟ และร้องให้คนช่วยเป็นภาษาอังกฤษ Help Me Help Me และยังโทรศัพท์บอกคนรู้จัก บอกเพื่อน ถ้าเป็นเราคงร้องโอดโอยสิ้นสติแน่นิ่งอยู่ที่นั่น
เลือดที่ขาออกมาก น้องธัญญ์บอกตนเองว่า หากไม่ช่วยตัวเองก่อนใครมาช่วยต้องเสียชีวิตแน่ๆ จึงพยายามลุกขึ้น...รู้ตัวเอง ขาบาดเจ็บมาก จะต้องถูกตัดขาแน่นอน ถึงโรงพยาบาลหมอแจ้งให้ทราบ ต้องตัดขาเพื่อป้องกันชีวิต น้องธัญญ์พยักหน้าด้วยใจเข้มแข็งยอมให้หมอตัดขา ตัดขาแล้วเธอต้องอยู่ในห้อง ICU ถึง 2 เดือนทีเดียว ส่วนคุณพ่อของน้องธัญญ์ เมื่อทราบข่าวลูกสาวถูกรถไฟชนขาบาดเจ็บ ต้องทำใจให้ยอมรับสภาพถึง 5 วัน จึงบินไปพบลูกสาวได้ พอพบกันคุณพ่อเข้ากอดลูกสาว น้องธัญญ์ร้องไห้เพียงเวลานิดเดียวแล้วกลับร่าเริงดังเดิม จิตใจน้องธัญเข้มแข็งมาก ไม่น่าเชื่อ แต่นี้คือความจริง เด็กหญิงอายุเพียง 14 ปี ทำใจรับสภาพได้ถึงเพียงนี้...น้องธัญญ์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสิงคโปร์ 1.2 แสนบาท ความจริงเป็นเงินบริจาคจากกาชาดสิงคโปร์
มีข่าวน่ายินดียิ่ง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ได้โปรดเกล้าฯให้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ดูแลด้านกายภาพบำบัด และจัดหาขาเทียมที่ดีที่สุดให้แก่น้องธัญญ์ ซึ่งน้องธัญญ์กล่าวว่า
“รู้สึกดีใจที่สมเด็จพระเทพ ฯ ทรงเห็นความสำคัญของเด็กและทรงช่วยเหลือประชากรของท่าน ไม่ว่าจะอยู่หนแห่งใด ทราบมาว่า ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือแบบนี้ ท่านอาจทรงเห็นว่าเราเป็นเด็กเข้มแข็ง และจะยิ่งมีกำลังใจให้มากยิ่งขึ้น เพื่อท่านจะได้ภูมิใจ.”
น้องธัญญ์อายุเพียง 14 ปี แต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่ เธอเรียนเก่งมาก เกรดเฉลี่ยล่าสุดได้ 3.93 เป็นเด็กร่าเริง มองโลกในแง่ดี จิตใจเข้มแข็ง จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการต่อสู้ชีวิต ไม่จมจ่อมเป็นทุกข์กับสิ่งที่สูญเสียไป ไม่โอดโอย ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ เป็นอย่างนี้แล้วคงอยู่ไม่ได้ ไม่โทษใครไม่โยนให้โชคชะตา เหมือนคิดและมองไปข้างหน้า เราต้องอยู่ให้ได้ อยู่กับโลกที่เป็นจริง และอยู่อย่างมีความสุข.