Skip to main content

ถนอมรัก  เดือนเต็มดวง


20 พฤศจิกายน 2556
เวลา 13.30 น. ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่าด้วยประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ความเป็นมาก่อนนี้ ส.ว.และส.ส.เสนอแก้ไขที่มาของสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ใช่มาจากการสรรหา 73 คน มาจากเลือกตั้ง 77 คน

เนื้อหาสาระคือ
ศาลฯเห็นว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเนื้อหาที่ถูกแก้ไขโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงเข้าข่ายตามมาตรา 68 แต่ไม่พบเหตุที่จะวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคที่มีการร้องขอ...สาระสำคัญของมาตรา 68 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญคือล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...มีผลให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของ ส.ว.ต้องตกไป

ปัญหาของประเทศขณะนี้
ชูขึ้นมามี 2 ปัญหาคือ ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง โดยเป็นข้อเสนอเรียกร้องของ กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ต่อมาขยายเป็น เรียกร้องให้นากยกรักษาการลาออก แต่ฝ่ายรัฐบาลรักษาการเสนอให้เลือกตั้งก่อนแล้วปฏิรูปประเทศ หรือปฏิรูปควบคู่กันไปด้วย ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการกุมอำนาจรัฐไว้ในมือ ท้ายสุดต้องไปหารัฐธรรมนูญ จะทำอย่างไร แก้ไข ยกเลิก ร่างใหม่

ปมปัญหาเหล่านี้
ทำให้เกิดมวลชนสนับสนุนทั้งสองฝ่าย หลายกลุ่ม หากไล่ไปทีละปัญหาอย่างใจเย็น สืบสาวค้นหาที่มาสาเหตุ เช่น ปัญหาองค์กรอิสระ การใช้เสียงข้างมากในสภา ปัญหา 1 สิทธิ์ 1 เสียง ไม่เท่ากัน ปัญหาคอรัปชั่นรวมทั้งปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายชูประกาศให้ได้ยิน ได้ประจักษ์ ลึกๆลงไป แท้จริงอะไรคือปัญหาหลอก ปัญหาจริง  ความต้องการจริงในหัวใจ

ความขัดแย้ง
ต้นตอน่าจะมาจากปัญหารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ใช้ไปแล้วมีปัญหา รัฐธรรมนูญ 2550 มาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐธรรมนูญเป็นกติกา กฎ แนวทางปฏิบัติร่วมกันของผู้คนในประเทศ บทเรียนที่ ส.ว.และ ส.ส.ขอแก้ไขที่มาของ ส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าทำไม่ได้ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แปลความว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราต้องใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ไปอีกนานเพียงใด

ได้ค้นข้อมูล
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย หยิบเหตุการณ์สำคัญขึ้นมา ขอเริ่มจากปฏิวัติโดยประชาชน เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษา และมีประชาชนเข้าร่วม จำนวนทั้งหมดราว 500,000 คน ร่วมชุมนุมใหญ่ ขับไล่รัฐบาลจอมพลถนอม จอมพลประภาส  เพราะจอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตนเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 เป็นการสืบทอดอำนาจ ซึ่งขณะนั้นจอมพลถนอมจะต้องเกษียณอายุราชการ ทั้งเรื่องปัญหาคอรัปชั่นในวงราชการต่างๆ ฯลฯ  ต่อมาขยายเป้าหมายเป็นเรียกร้องขอรัฐธรรมนูญ เกิดการนองเลือด เมื่อมีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ที่สุดจอมพลถนอม กิตติขจรได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมาจอมพลถนอม จอมพลประภาส พ.อ.ณรงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศ เหตุการณ์จึงได้สงบลง มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรี

หลังเหตุการณ์
มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประชาชนจากหลายภาคส่วน มีนักการเมืองร่วมด้วย นำไปสู่การเลือกตั้งในต้นปี พ.ศ. 2518 ช่วงเวลานั้น เรียกว่าเป็นยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ

ประเทศไทยมีสถิติ
กบฏ 12 ครั้ง ปฏิวัติ 1 ครั้ง รัฐประหาร 8 ครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นการแย่งชิงอำนาจการเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้ปกครองประเทศ ที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามกติกาหรือระเบียบแบบแผนโดยสันติวิธี มีการใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจ เมื่อยึดอำนาจแล้ว มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับเก่าหรือประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  มีการประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ เป็นขบวนการที่เรียกว่ารัฐประหาร เป็นการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองประเทศ แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือประเทศทั้งประเทศ รัฐประหารไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือนองเลือดทุกครั้งไป

คงพอมองเห็น
การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำได้โดยรัฐประหาร เป็นคณะบุคคลที่มีกองกำลังติดอาวุธเข้ายึดอำนาจ เช่น รัฐประหาร 19 กันยายนพ.ศ. 2549 แต่เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ได้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยพลังนักศึกษาและประชาชน โดยมือเปล่า ปราศจากอาวุธ เป็น
2 เหตุการณ์ที่ฉายภาพขบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญที่แตกต่างกัน หากได้ติดตามข่าวบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นภาพจริงขณะนี้ หลายขุมกำลังขยับตัวเข้าทับรอยประวัติศาสตร์อย่างน่าทึ่ง.
                     
                                

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พอได้จังหวะ ผู้ชายที่ห้อยหัว ก็เหวี่ยงผู้แสดงชายที่จับเขาอยู่ กลับคืนมาหาบาร์เดิมของเขา คนดูบางคนทนไม่ไหวส่งเสียงร้อง เขาจับบาร์ได้ เสียงปรบมือให้กำลังใจดังขึ้น ผู้แสดงที่ห้อยหัว หกตัวขึ้นนั่งบนบาร์พักร่างกายครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ห้อยหัวลงมาอีก แข็งแรงและทรหดมาก ผู้หญิงสาวสวยจับบาร์เหวี่ยงตัวเข้าหาบ้าง ผู้ชมคงเอาใจช่วยมากขึ้น เธอปล่อยมือจากบาร์ พุ่งเข้าหาผู้แสดงที่หัวห้อยรออยู่ มือเกือบถึงแต่ไม่ถึง เธอลอยหล่นลงมา คนดูส่งเสียงฮือ บางคนลุกขึ้น เธอตกลงมาตาข่ายปลอดภัย ตัวลอยเด้งขึ้นสองสามครั้ง ตามแรงดีดของตาข่าย เธอรีบลุกขึ้น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ผมสอบถามเรื่องราว จากลูกของป้า ซึ่งย้ายมาปลูกบ้านหลังสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2500 เล่าว่า ราวปี พ.ศ. 2503-2504 มีละครสัตว์มาแสดงในงานฤดูหนาวเชียงใหม่ 2 ปีติดต่อกัน ละครสัตว์คณะนี้เป็นชาวภารตะ ละครสัตว์น่าดูและน่าตื่นเต้นมาก หลังคาโรงละครสัตว์เป็นรูปโดมสูง ภายในมีอัฒจันทร์คนดูเรียงรายเป็นวงกลม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ก่อนงานวันแรก มีเครื่องบินโปรยใบปลิว เชิญเที่ยวงานฤดูหนาวเชียงใหม่จากท้องฟ้า ท้องฟ้ายามนั้นเต็มไปด้วยใบปลิวมันค่อยลอยต่ำลงมา พลิกตัวเล่นลมน่าดู ชวนให้ผู้คนคึกคักไม่น้อย ภาพเด็กวิ่งไล่เก็บใบปลิวที่ลอยลงสู่พื้น บางทีเรานั่งอยู่ในบริเวณบ้าน ใบปลิวหล่นกระจายทั่วบ้าน หลังคาบ้านเอย ลานบ้านเอย นั่งมองขึ้นไปดูใบปลิวสีสวย ยังลอยมาสู่มือให้รับอย่างสบายๆ ตอนบ่ายจะได้ยินเสียงคำรามของรถจักรยานยนต์ตามถนน ถนนสายโน้นสายนี้ มุ่งสู่สนามกีฬาที่จัดงานฤดูหนาว
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
สว่างแล้ว ผมค่อยเปิดหน้าต่างห้องนอน ซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้านเช่า ลมเย็นสะอาดพัดเข้ามา ผมรู้สึกสดชื่น ปอดขยายตัวเต็มที่ สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด รู้สึกปลอดโปร่งกระปรี้กระเปร่า เป็นลมพัดจากทุ่งนากว้างข้างบ้าน มองเห็นนาข้าวผืนใหญ่ จากทิศใต้หักมุมฉากทอดไปทิศตะวันตก ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นไทยใหญ่ มีบ้างเป็นคนไทย อาชีพก็ทำนาทำสวน ไม่กี่รายมีอาชีพค้าขาย ทางซ้ายมือผมเป็นถนนดิน พุ่งตรงไปทิศใต้ของหมู่บ้านเวียงแหง มีบ้านปลูกเรียงรายไปตามถนน สูงขึ้นไปเป็นดอยซ้อนๆ กัน ยอดดอยสูงสุดเป็นดอยสามหมื่น แนวดอยนี้อ้อมโค้งไปทางซ้ายและขวาเป็นวงกลม หมู่บ้านเวียงแหง เหมือนถูกล้อมด้วยดอยสลับซับซ้อน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
 ขอมองย้อนหลัง เกี่ยวกับงานฤดูหนาวเชียงใหม่ แล้วค่อยมายืนกอดอก มองภาพที่เห็นในปัจจุบัน งานฤดูหนาวเชียงใหม่ จะจัดระหว่างปลายเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนมกราคม เป็นงานออกร้าน และงานรื่นเริงประจำปีของจังหวัด ถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีของเชียงใหม่ทีเดียว กิจกรรมสำคัญของงานคือ การออกร้านของเอกชนและรัฐ และกิจกรรมการกุศลของกาชาด ในยุคแรกงานนี้ จัดที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จนถึงปี พ.ศ. 2491 คงมองออก พื้นที่หลักในการจัดงาน เป็นสนามฟุตบอลของโรงเรียน ผู้เขียนนึกภาพงานไม่ออก ไล่อายุคงราว 8-9 ขวบ มันเลือนราง เหมือนเห็นภาพตนเอง กำลังยืนซื้อโรตีสายไหมกับพ่อ ตรงใกล้ประตูฟุตบอลด้านทิศใต้…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เพื่อนผมเรียนหนังสือรุ่นเดียวกัน อาชีพล่าสุดเป็นข้าราชการครูเหมือนกัน แต่เขาอยู่สายผู้บริหารสถานศึกษา ผมอยู่สายนักวิชาการ อยู่คนละอำเภอ เมื่อแยกย้ายไปเรียนต่อ ไปประกอบอาชีพ เราจึงไม่ได้พบไม่ได้ติดต่อกัน ทราบข่าวอีกครั้ง เสียชีวิตเสียแล้ว จากสาเหตุต้นยางโค่นล้มลงมาทับ ขณะขับรถยนต์มาตามถนนสายเชียงใหม่-สารภี ยังไม่พอ ต่อมาน้องสาวคนสวยแสนดีของเพื่อนเสียชีวิตขณะยืนรอรถโดยสารใต้ต้นยาง ไม่มีวี่แววฝนจะตก ลมพัดมาก่อน ลมอะไรไม่ทราบกระโชกมาอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง กิ่งต้นยางหักโครมลงมาบนร่างบอบบาง น้องสาวของเพื่อนเสียชีวิตไปอีกคน
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ราวเดือนพฤศจิกายน เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กับแรม 1 ค่ำ วันแรกลอยกระทงเล็ก วันที่สองลอยกระทงใหญ่ มีบริษัท หน่วยงานต่างๆ ส่งเข้าประกวด งานลอยกระทงก็อาศัยแม่น้ำปิงเป็นสถานที่จัดงาน พอหัวค่ำ หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ พระจันทร์กลมโตกว่าปรกติ ทอแสงสีนวลอ่อนโยน เหนือยอดไม้ด้านทิศตะวันออก แสงสีเหลืองอ่อนอร่ามทั่วฟ้า ยังกระจายไปทั่วลำน้ำและเหนือสะพานนครพิงค์ ในแม่น้ำสว่างไสวด้วยแสงไฟจากเทียนในกระทง ที่ผู้คนมาลอยกระทงพร่างพราวตา ดูละลานตาทั่วแม่ปิง ผิวน้ำสะท้องแสงไฟเหมือนมีไฟใต้น้ำ บอกไฟวี้พุ่งขึ้นท้องฟ้าตลอดเวลา ขีดฟ้าเป็นทางขาว เหมือนสายแพรสีขาวสะอาด บางเบา ของเหล่าบริวารนางฟ้า สะบัดเริงระบำ…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ผมสามคน ธาตรี วิชาญ และผม กินข้าวเดือนที่ร้านอาโกกับเจ๊อิ้ดทุกวัน อาหารมื้อละ 3 อย่าง มีข้าราชการอำเภอเวียงแหง มากินข้าวเดือนเช่นเดียวกันอีกหลายชุด เรากินไปคุยกันไป ฟังโต๊ะอื่นคุยกันแบบไม่ตั้งใจฟังเท่าไร ด้วยเสียงที่คนนั้นพูดดังพอสมควร บางเรื่องทำให้เราตื่นเต้น อยากรู้ ตั้งใจฟังจนเอียงตัวเข้าไปใกล้ แกล้งเคี้ยวอาหารทำไม่สนใจ บางเรื่องก็ธรรมดาทั่วๆไป
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
 ผมขับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าสีแดง ซึ่งเป็นรถสำหรับผู้หญิงใช้งาน จากบ้านที่อำเภอแม่แตง เดินทางสู่กิ่งอำเภอเวียงแหง สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ เสื้อกางเกงเนื้อหนาราคาถูก สีทึมทึบ หมวก แว่นตา และถุงมือ เป็นอันว่าครบชุดออกเดินทางเวลาบ่ายโมงเศษ กินข้าวที่เชียงดาว แล้วพารถสู่ปากทางบ้านแม่จา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางไปกิ่งอำเภอเวียงแหง นำรถจักรยานยนต์ไปครั้งนี้ เพื่อไว้ใช้งานในเรื่องต่างๆ เช่น เยี่ยมโรงเรียน ไปเยี่ยมครูตามบ้านพักหลังเวลาราชการ ครูพักค้างกันตามบ้านพัก เราไปเยี่ยมพูดคุยกับเขา บรรยากาศแบบกันเอง มีอะไรก็นำมารับประทานด้วยกัน พูดคุยกันเรื่องผ่อนคลาย โดยหัวหน้าการของผมนำคณะเราไป…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ผมนั่งรถประจำทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งสู่อำเภอแม่ริม รถวิ่งราว 16 กิโลเมตรก็ถึงอำเภอ ผมลงตรงหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่ริม เดินเข้าซอยข้างๆ สถานีตำรวจ มือหิ้วกระเป๋าเดินทาง เพื่อเข้าไปในค่ายดารารัศมี ซึ่งเป็นค่ายของตำรวจตระเวนชายแดน โดยมีจุดมุ่งหมาย จะขอโดยสารไปกับเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ ที่มีราชการไปอำเภอเวียงแหง โดยเราเพียงบอกว่า เป็นข้าราชการทำงานในอำเภอ ทางเจ้าหน้าที่รับทราบก็จะอนุเคราะห์ทุกครั้ง เป็นการช่วยเหลือในวงราชการด้วยกัน ผมเดินไปครู่เดียวก็ถึง เห็นเฮลิคอปเตอร์ลายเขียวน้ำตาลจอดอยู่ลำหนึ่ง ผมชำเลืองดูรอบบริเวณ เห็นมีผู้คนจะขึ้นไปด้วย 3-4 คน กระเป๋าและสัมภาระวางบนพื้นระเกะระกะ…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เมื่อถึงช่วงสงกรานต์ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะปล่อยน้ำ ทำให้ระดับน้ำแม่ปิงสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้คนตักน้ำแม่ปิงไปรดน้ำได้สะดวก จุดศูนย์กลางเล่นน้ำสงกรานต์อยู่ที่ขัวเหล็ก (สะพานนวรัฐ) คนจะยืนข้างสะพานทั้งสองข้างเต็มไปหมด กลางขัวเหล็กนั้น คนเดินสวนกันไปมาหนาแน่น ใส่เสื้อม่อฮ่อมเป็นส่วนใหญ่ มือถือขัน กระป๋องน้ำ ปืนฉีดน้ำ บางคนใช้เชือกผูกกระป๋อง หย่อนจากสะพานลงตักน้ำแม่ปิงด้านล่างมารดกัน ด้านล่างของขัวเหล็ก จะเห็นคนนั่งแช่น้ำแม่ปิง สาดน้ำกัน ชายหนุ่มหญิงสาวยืนคุยกันด้วยท่าทีเปี่ยมไมตรีจิต ถ้อยคำพิเศษที่รับรู้เพียงสองคน บางแห่งก็ชกต่อยกันประปราย ที่เล่นน้ำขยายมาถึงถนนหน้าพุทธสถาน ตลอดถนนท่าแพ…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ผมยืนขึ้นก้าวไปข้างหน้า น้ำถึงราวนม เท้าจับทรายไม่อยู่ รู้สึกทรายเคลื่อนตัวลง ตัวผมจมลงไป รู้ทันทีว่าทรายดูดหรือ "ทรายมาน" ใจหายวาบ รีบใช้มือตีน้ำ ผ่อนน้ำหนักที่เท้า บิดตัวถอยหลังอย่างฉับพลัน ใช้เท้ายันพื้นทราย เท้าจับทรายได้แล้ว ถอยเท้าอย่างรวดเร็ว รีบขึ้นหาดทราย ประมาทไม่ได้เลยกับภัยในน้ำ เหลียวดูเพื่อน เขากลับลงเล่นน้ำกันอีก