ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน
ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน
รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
หกโมงเช้า พระเดินมาบิณฑบาตร ก็พอดีกับรายการยอดนิยมประจำวัน
“ข่าวสารบ้านเรา”
ฟังชื่อรายการชวนให้คิดว่าเป็นการเอาหนังสือพิมพ์มากาง อ่านข่าว แล้วก็วิเคราะห์+วิจารณ์ อย่างที่สื่อมวลชนมักง่าย เอ๊ย ! นิยมกันอยู่ แต่ที่จริง นี่เป็นรายการที่เอาตำแหน่งงานว่างมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ว่าจะของรัฐหรือของเอกชน ทั้งในจังหวัดและในจังหวัดใกล้เคียง
ที่น่าสนใจคือ นอกจากข่าวสารอันเป็นประโยชน์สำหรับผู้ว่างงาน ที่กำลังหางานทำ หรือที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงาน ลีลาเฉพาะตัวของผู้จัดทั้งสามคน ทำให้รายการมีสีสัน มีอารมณ์ขัน สร้างความครึกครื้นให้แก่ผู้ฟังที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่
แม้จะเป็นจังหวัดไม่ใหญ่ แต่ที่นี่ก็มีบริษัทห้างร้านไม่น้อย อาจเพราะเป็นเมืองที่ทำทั้งการเกษตรและการประมง กิจการที่เกี่ยวเนื่องจึงมีมากมายหลายอย่าง ทั้งโรงงาน โรงแรม ก็มีตลอดถนนใหญ่ที่มุ่งสู่ภาคใต้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเขตจังหวัดไปจนสุดเขตอีกด้านหนึ่ง ตำแหน่งงานทางราชการก็มีประปราย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้าง
ถ้าเป็นห้างร้าน ก็รับพนักงานทีละ 1-3 อัตรา
ถ้าเป็นโรงแรมก็รับพนักงานทีละ 3-10 อัตรา
ถ้าเป็นโรงงานก็รับพนักงานทีละ 1-100 อัตรา หรือ มากถึง 200-300 อัตราก็มี
ไม่ว่าที่ไหนจะประกาศรับสมัครพนักงาน รายการนี้ก็จะนำเสนอให้ตลอด ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสให้คนได้มีงานทำแล้ว ยังให้กำลังใจด้วยคำคมน่าคิด สุภาษิตประจำวันเป็นประจำ บางทีก็มีหยอดมุก เย้าแหย่กันพอขำๆ ท้ายรายการยังมีปัญหาอะไรเอ่ย มาทายกันสนุกๆ ด้วย
วันไหนไม่ได้ฟังรายการนี้ เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
แต่วันไหนที่ได้ฟังรายการนี้ แล้วได้ยินบางประโยคที่ผู้จัดรายการมักจะชอบย้ำเตือนอยู่บ่อยๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“...ก็ขอให้ขยันทำงานกัน ต้องอดทนนะครับอย่าไปย่อท้อ งานอะไรก็แล้วแต่ต้องใช้ความอดทน...นี่ก็มีบางบริษัทแจ้งมาว่า พนักงานทำงานกันไม่ค่อยทนเลย อยู่กันได้ไม่นานก็ออกอีกแล้ว ต้องอดทนกันนะครับ ต้องอดทน...”
ฟังแรกๆ ดูเหมือนเป็นการให้กำลังใจ แต่พอบ่อยเข้า รู้สึกเหมือนเป็นการตำหนิติเตียน ฟังดูคล้ายกับว่า คนเป็นลูกจ้างเป็นพนักงานที่ทำงานได้ไม่นาน เป็นคนเหลาะแหละ หยิบโหย่ง ชอบเปลี่ยนงานบ่อย ทั้งที่จริงนั้น การออกจากงานไม่ได้มีสาเหตุแค่ไม่อดทน
ผู้ที่ออกจากงานมีเหตุผลมากกว่านั้น แต่ในฐานะคนฟัง แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อาจไปชี้แจงได้
ใครทำงานเป็นลูกจ้างมานานปี คงรู้ดีว่า การออกจากงานบ่อยๆ นั้นเป็นอย่างไร
เพราะเมื่อออกจากงาน ก็ต้องไปทำที่ใหม่ ต้องปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ ระบบใหม่
การออกจากงานบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดี ประสบการณ์ในการทำงานกะพร่องกะแพร่ง จะเอาไปใช้เป็นเครดิตในการหางานใหม่ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ไม่มีใครอยากออกจากงาน
ส่วนพวกที่ทำงานแบบเข้าๆ ออกๆ นั้น เอาเข้าจริงก็มีแต่พวกพนักงานรายวัน ที่ทำๆ หยุดๆ กันเป็นปกติอยู่แล้ว
งานราชการ เข้ายาก ออกก็ยาก
งานบริษัท ห้างร้าน โรงแรม เข้ายาก แต่ออกง่าย
งานโรงงาน เข้าง่าย ออกง่าย
เมื่อออกมาแล้วก็บอบช้ำกายใจ ได้แต่เยียวยากันไปตามอัตถภาพ
ไม่มีใครอยากออกจากงานกันบ่อยๆ ถ้าที่ทำงานนั้นดีจริง หรืออย่างน้อยก็พอทน แต่ในบรรดางานทุกประเภท รับรองได้ว่า งานด้านอุตสาหกรรมโรงงาน เครียดที่สุด น่าเบื่อที่สุด ปลอดภัยน้อยที่สุด และได้รับค่าแรงต่ำที่สุด
ไม่แปลก ที่งานโรงงานจะมีอัตราการเข้าๆ ออกๆ สูงที่สุด โดยเฉพาะพนักงานฝ่ายผลิต
เมื่อเข้าๆ ออกๆ มาก โรงงานก็ต้องรับสมัครไว้มากๆ
รายการข่าวสารบ้านเรา ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงานว่างอย่างตรงไปตรงมา ห้างร้าน บริษัทใดยังไม่ได้พนักงานในตำแหน่งที่ต้องการ จะประกาศซ้ำวันเว้นวัน ทางรายการก็ประกาศให้
แต่การที่ไม่มีใครไปสมัคร หรือ ตำแหน่งยังว่างอยู่ตลอด หรือ รับสมัครพนักงานจำนวนมากเป็นประจำ มันก็ประกาศโดยนัยอยู่แล้วว่า โรงงานแห่งนั้น บริษัทแห่งนั้น “คนเขารู้กันหมดแล้วว่าเป็นอย่างไร”
- มีเจ้านายหลายคน แต่ละคนชิงดีชิงเด่น แบ่งพรรคแบ่งพวก เด็กใครเด็กมัน
- ใช้งานสารพัดอย่าง ทำงานเกินหน้าที่ เห็นพนักงานเป็นแค่ “ทรัพยากร” ไม่ได้อย่างใจก็บ่นว่า
- เอาเปรียบสารพัด หักนู่น หักนี่ จนคนทำงานหมดกำลังใจ
- เอาแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำ สื่อสารไม่ได้ เข้ากับคนงานไทยไม่ได้ เกิดปัญหากระทบกระทั่ง
- สภาพแวดล้อมย่ำแย่ เสียงดัง สารเคมีเหม็นคลุ้ง อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยๆ มีกระทั่งคนตายแต่ถูกปิดข่าว (ด้วยความร่วมมือของปลวกในระบบราชการ)
ฯลฯ
โรงงานดีๆ ก็มี แต่น้อยเหลือเกิน ส่วนใหญ่จะเข้าข่ายต้องทนทำ
ชีวิตประจำวัน ออกจากบ้านรถขึ้นรถรับส่งแต่เช้ามืด ทำโอทีถึงทุ่ม-สองทุ่ม นั่งรถกลับบ้าน เข้านอนตอนสีทุ่ม ตื่นแต่เช้ามืดไปทำงาน ได้หยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน ห้ามป่วยห้ามลาถ้าไม่อยากโดนหักเงิน หรือโดนเจ้านายเขม่น ชีวิตเป็นวัฏจักรเวียนวน
หากมีทางเลือกอื่น หลายคนก็ออกจากวงเวียนชีวิตคนโรงงานไป
แต่เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องทน
ประสาชาวบ้าน เมื่อรู้ว่าลูกหลานใครเรียนจบ คำถามยอดนิยมคือ ทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร ได้เงินเดือนเท่าไร โดยเฉพาะคำตอบสุดท้าย อาจทำให้พ่อแม่คุยเขื่องไปได้ทั้งตำบล
คนรุ่นเก่า มองเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ทำอะไรก็ได้ที่มีเงินเดือนประจำ ทว่าความมั่นคงนี้ ก็ต้องแลกด้วยสารพัดความกดดันที่ต้องแบกรับ อย่างที่คนไม่เคยยืนตรงนั้นไม่มีทางเข้าใจ
งานประจำไม่ใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียทั้งหมด การทำงานประจำนาน-ไม่นาน ก็ไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จในชีวิต โรงงานเห็นคนเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่ง หลายคนทำได้ก็ทำไป หลายคนทำไม่ได้ ทนไม่ได้ ก็ลาออกไป
ไม่ใช่ และ ไม่มีปัจจัยใดๆ มาวัดได้ว่า นี่คือ การประสบความสำเร็จ-ล้มเหลว
บางที การได้ทำงานโรงงาน ก็อาจจะมีข้อดีอยู่เหมือนกัน ในแง่ที่ว่า ทำให้คนที่ทำได้รู้ว่าตัวเองเกลียดระบบนี้มากแค่ไหน
คนทำงานโรงงานแค่สามวัน อาจจะรู้จักตัวเองมากกว่าคนที่ทำมาสามปีก็ได้
ผู้จัดรายการข่าวสารบ้านเราทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครหลายคนได้งานทำเพราะรายการนี้
แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น
อย่าทำให้คนที่ออกจากงาน ด้วยปัจจัยบีบคั้นที่เขาไม่อาจควบคุมได้
ต้องถูกค่อนแคะว่าเป็น “คนไม่อดทน” เลย