Skip to main content
บ้านนอก แม้จะไม่สะดวกแต่ก็สบาย ถึงจะร้อนแดดแต่พอเข้าร่มก็เย็น ผิดกับเมืองใหญ่ ที่ร้อนอบอ้าวตลอดปี ฝนจะตกแดดจะออก ความร้อนก็ยังคงสถิตย์อยู่เสมือนเป็นอุณหภูมิประจำเมือง


ใครเลยจะคิดว่า ความร้อนจากในเมืองจะแผ่ลามเข้ามาถึงหมู่บ้านที่ปราศจากกลิ่นฟาสต์ฟู้ด

 

ข้อมูลข่าวสารปรากฎทั้งรูปและเรื่องบนหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟ เสียงรายงานข่าวลอยมาจากวิทยุที่แขวนอยู่ข้างตัวเด็กเลี้ยงวัว ทั้งภาพเคลื่อนไหวทั้งเสียงส่งตรงมาเข้าจานดาวเทียมสีเหลืองสดใสเหนือหลังคาร้านค้าของป้านุ้ย ที่ๆ ใครต่อใครก็มาชุมนุมกันตั้งแต่เช้า บ้างซื้อยาสูบ ซื้อขนมเป็นเสบียงก่อนไปนาน บ้างตั้งวงกาแฟกระป๋อง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง บ้างก็ซดเอ็ม กระทิง หรือเป็นเป๊ก(สุราขาว) ก็แล้วแต่รสนิยม


เสียงคุยขโมงโฉงเฉงในแต่ละวัน หนีไม่พ้นเรื่องการบ้านการเมือง

หมู่บ้านเล็กแค่นี้ จึงรู้ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นพวกเสื้อเหลือง และใครเป็นพวกเสื้อแดง

พวกใครก็พวกมัน

ทีแรก ต่างคนต่างอยู่ ต่างพูดชื่นชมฝ่ายตัวเองในหมู่พวกตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์แรงขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ร่วมก็เลยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องมีการปะทะคารมกันพอหอมปากหอมคอ

"...ลูกสาวข้าเพิ่งโดนให้ซองขาว ต้องออกจากโรงงาน...ทำงานมาตั้งหลายปี จู่ๆ เจ้านายเขาก็บอกว่า ไม่มีออเดอร์แล้ว ต้องปิดโรงงาน...นี่ก็เห็นว่ารอเงินชดเชยอะไรอยู่..." ลุงไฉ นั่งรำพึงอย่างเศร้าๆ

"...แล้วโดนออกกันเยอะไหมเล่า?" น้าติ่ง ถาม

"...ก็เห็นว่า ร่วมพันคน ก็ทั้งโรงงานนั่นแหละ...เห็นมันว่า เขาทยอยปิดกันไปตั้งหลายโรงแล้ว ยังไม่เห็นรัฐบาลจะเข้ามาช่วยอะไรได้เลย..."


"...อย่าไปหวังเล้ย...รัฐบง รัฐบาล วันๆ คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ คิดแต่เรื่องจะกอดเก้าอี้ตัวเองไว้ ชาวบ้านเดือดร้อนจะตาย ไม่เห็นมาดูดำดูดี..." ตาใบ ส่ายหน้าเบะปาก แกเป็นพวกไม่เอาคนหน้าเหลี่ยม

"...น้ำเน่ากันมาตั้งนานนมเน ซื้อเสียงกันเข้าไปโกงกินบ้านเมือง ไอ้พวกนี้มันไม่เคยคิดแก้ปัญหาอะไรจริงๆ จัง หรอก..." ตาใบว่า อย่างใส่อารมณ์


พี่อุ้ย กับ ไอ้ปุ๋ย หัวคะแนนอดีตนักการเมืองซีกรัฐบาล(ปัจจุบันโดนดอง) กำลังซดกระทิงแดงยืนอยู่หน้าร้าน ยืนฟังมานาน อดรนทนไม่ได้ เลยต้องเดินเข้าไปร่วมวงบ้าง


"...ตาใบ ฉันว่าแกก็พูดเกินไป รัฐบาลเขามีงานเยอะแยะ ก็ต้องเห็นใจกันบ้าง จะให้แก้ปัญหาได้ภายในสามวันเจ็ดวันก็มีแต่เทวดาเท่านั้นแหละ..." พี่อุ้ย แก้ต่างแทนเจ้านาย


ตาใบหันขวับมอง เบะปากแล้วส่ายหน้า

"...ไม่ต้องเป็นเทวดา ไม่ต้องแก้ภายในสามวันเจ็ดวันก็ได้ แค่ขอให้แก้ ไม่ใช่เตะถ่วงไปเรื่อย...ข้ายังไม่เห็นมันจะแก้อะไรสำเร็จสักอย่าง..."

"...แหม...ลุงก็พูดเกินไป..." ไอ้ปุ๋ยผสมโรงช่วยลูกพี่ "...รัฐบาลเขาเพิ่งมาเป็นแค่ไม่กี่เดือน แถมยังไม่มีทำเนียบจะอยู่ ได้แค่นี้ก็ดีถมแล้ว ลุงจะเอายังไงอีก..."


คราวนี้ ตาใบ ชักจะฉุน น้ำเสียงเริ่มใส่อารมณ์

"...มาเป็นแค่ไม่กี่เดือนก็จริง แต่มันก็ไอ้พรรคเดิมที่เคยเป็นรัฐบาลไม่ใช่เรอะ?... จะมาอ้างนู่นอ้างนี่ได้ยังไง แล้วที่ไม่มีทำเนียบอยู่มันก็สมควรแล้ว มันจะได้เข้าใจชีวิต คนพเนจรไม่มีบ้านจะอยู่มั่ง ว่าเขารู้สึกยังไง...ที่จริง มันไม่น่าจะได้เงินเดือนกันเสียด้วยซ้ำ โกงกินกันทีเป็นสิบๆ ล้าน..."

"อ้าวๆ...ลุง พูดให้มันดีๆ นา เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน มาว่าคนนั้นคนนี้โกง ไม่มีหลักฐาน ระวังเขาจะฟ้องติดคุกหัวโตตอนแก่นะลุง..." ไอ้ปุ๋ย ชี้หน้า


ตาใบ ลุกพรวด เงื้อหมัดขยับจะเข้าหา ไอ้ปุ๋ยผงะถอยหนีด้วยไม่คิดว่าคนแก่จะเลือดร้อนขนาดนี้ คนอื่นๆ ในร้านเลยต้องเข้าห้ามกันวุ่นวาย

พี่อุ้ยรีบพาไอ้ปุ๋ยเผ่นออกจากร้าน ขณะที่ตาใบร้องท้า ตะโกนด่าไอ้ปุ๋ยถึงพ่อถึงแม่

งานนี้ คนที่ถูกมองว่าผิดเต็มๆ คือไอ้ปุ๋ย เพราะตาใบ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่มันเอง

 

เรื่องตาใบจะชกไอ้ปุ๋ย แค่ครึ่งวัน คนก็รู้กันไปทั่ว น้าแป้น กับยายจุก ยืนคุยกันอยู่ข้างถนน

"...ก็ไอ้อุ้ยไอ้ปุ๋ยมันพวกรัฐบาล ก็รู้ๆ กันอยู่...แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ พวกตาใบเขานั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว เข้ามาสอดทีหลังเขามันก็ไม่ถูก..." น้าแป้น วิเคราะห์สถานการณ์

"...อ๋อ...ตาใบแกไม่ชอบรัฐบาล เป็นพวกเสื้อเหลืองว่างั้นสิ..." ยายจุกว่า

"...งั้นสิ อาทิตย์ที่แล้ว แกไปร่วมชุมนุมตั้งหลายคืน ยังกลับมาเล่าให้ฉันฟังเลย..." น้าแป้นว่า น้ำเสียงแฝงความชื่นชมเล็กน้อย


แต่ยายจุก ส่ายหัว

"...พวกไร้สาระ...งานการไม่มีจะทำ ไปนั่งชุมนุมตะโกนโหวกเหวกกันอยู่ได้ บ้านเมืองถอยหลังก็เพราะไอ้พวกนี้แหละ..."


พอยายจุกแสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม น้าแป้นชักหน้าตึง เพราะแม้แกจะไม่เคยใส่เสื้อสีเหลือง แต่ก็แอบเชียร์อยู่ห่างๆ

"...แหม...ยาย พูดแบบนี้มันก็ไม่ถูกนา...พวกนี้เขาเสียสละเพื่อไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาติบ้านเมือง ไอ้คนอยู่ข้างบนหัวเรา ไอ้พวกรอมอตอ สอสอ สอวอ สอพลอ อะไรทั้งหลาย มันก็ไม่เคยมาเห็นหัวคนอย่างเราหรอก นี่ถ้าไม่มีการชุมนุมขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า ไอ้พวกนี้มันโกงมันกินกันมากมายขนาดไหน..."


"...ไม่จริงหรอก...ข้าว่า มันก็โกหกทั้งเพ ปั้นน้ำเป็นตัวกันไปวันๆ ใครมันจะมีเรื่องเลวๆ ของคนอื่นมาพูดอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนเป็นเดือนๆ แบบนี้...ถ้าไม่แต่งเรื่องขึ้นมา มันก็จะเก่งเกินไปละ..." ยายจุกทำท่าจะเดินหนี แต่น้าแป้นไม่ยอม

"...นี่ยาย ฉันว่ายายกับฉันนี่มันคนละพวกกันแล้วล่ะ ต่อไปยายไม่ต้องมาขอยืมอะไรบ้านฉันอีกนะ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า..."


ยายจุกหันขวับ

"...เออ...งั้นเอ็งก็ไม่ต้องมาเดินผ่านบ้านข้าอีก วันหลังจะออกถนนน่ะ เดินอ้อมไปทางนู้นก็แล้วกัน อย่าผ่านมาให้ข้าเห็นเชียว..."


น้าแป้นกับยายจุก เถียงกันอีกหลายประโยค แต่ละประโยคก็เริ่มออกห่างจากเรื่องที่เถียงกันตอนต้น กลายเป็นทวงบุญทวงคุณ กระทั่งกลายเป็นการแจกคำด่าแรงๆ โชคดี ที่เพื่อนบ้านมาช่วยแยก ก่อนที่จะมีใครทนไม่ได้ ลงมือตบตีฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ใครต่อใครก็เริ่มแสดงตัวชัดเจนว่า ถือหางข้างไหน โชคดีที่ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นอีก แต่บรรยากาศในหมู่บ้านก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น เวลาพวกใคร-พวกใคร ต้องมาเจอกัน ที่เคยทักทายกันก็ไม่ทัก ที่เคยคุยกันก็ไม่คุย ที่เคยไหว้วานกันได้ก็ไม่มีอีกแล้ว หากต่างพวกต่างสีก็ต้องจ้างอย่างเดียว


กระทั่งญาติพี่น้อง เคยไปมาหาสู่กันก็ไม่ไปอีกแล้ว บ้านไหนมีจานดาวเทียมสีเหลือง หรือบ้านไหนเปิดแต่ช่องที่เคยเป็นอดีตช่องสิบเอ็ด ก็เป็นที่รู้กัน


คนเดือดร้อน ก็น่าจะเป็นคนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน เวลาไปประชุมหมู่บ้าน หรือไปงานตามบ้าน จะรู้สึกถึงบรรยากาศ "มาคุ" มึนๆ ตึงๆ ชวนอึดอัดพิลึก ยิ่งถ้ามีวงสุราแล้วด้วย ต้องเลียบๆ เคียงๆ ดูดีๆ ว่าเป็นพวกไหน เดี๋ยวเข้าไปผิดวง จะลุกหนีไม่ทัน


"...เฮ้อ...พี่น้องกันแท้ๆ...ยังแทบจะตีกันตาย...เมื่อไรมันจะเลิกๆ กันเสียทีวะ... " ผู้ใหญ่บ้าน บ่นอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนซดเบียร์(คนเดียว)อึกใหญ่


รอยร้าวนี้ แผ่ลามไปทั่วหมู่บ้าน และคงไม่ใช่แค่หมู่บ้านเดียว หลายหมู่บ้าน หลายชุมชน ทุกหัวระแหง แม้แต่คนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ก็คงจะคิดไม่ออกว่า ทำอย่างไร จึงจะประสานรอยร้าวนี้ให้กลับมาดีดังเดิมได้อีกครั้งหนึ่ง


งานนี้ไม่ว่า ใครจะชนะ แต่ที่แพ้และพังยับเยินแน่ๆ คือ ประเทศชาติ

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…