Skip to main content

การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วย

แต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว

ความคิดนี้คงพอทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง นั่นสินะ เราเป็นมนุษย์ แค่เดินเหยียบมันสักครั้ง มันก็แบนแต๊ดแต๋ แค่เอานิ้วบี้ๆ ตัวก็แบนติดผนัง ไม่ใช่เราสินะที่จะต้องกลัวมด มดต่างหากที่ต้องกลัวเรา

คิดได้แบบนี้ฉันก็เลยหยุดพฤติกรรมทำร้ายมด หลังจากที่เคยบี้มันทีเดียว 20 ตัวรวด โทษฐานที่ย่องเข้ามาแล้วกดตรงง่ามเท้า คันไปเป็นอาทิตย์ แถมเกาลำบากเสียด้วย ท้ายที่สุด ฉันคิดว่า มดนั้นมีโลกส่วนตัวของมัน มีสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและอิ่มใจในดงแดนแวดล้อมด้วยเพื่อน หากชีวิตไม่ลำบากมากนัก มีหรือมันจะเดินเข้ามาในบ้าน ลงทุนเสี่ยงอ้อมภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ มายังพื้นที่รโหฐานเพื่อถูกย่ำยี

เป็นไปได้ว่ามันกำลังต้องการอาหารอย่างหนักในฤดูหนาว และอาหารจากป่านั้นมีไม่เพียงพอสำหรับพวกมันเสียแล้ว

ฉันย่องตามมดไป มีที่อยู่สำหรับมดอยู่หลายแบบ มดสีดำตัวใหญ่ๆ อาศัยอยู่ในรูบนดิน มันผุดเข้าผุดออก ช่วยกันลากเศษอาหารจากหลังครัว ซึ่งไกลพอควร นับว่าใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึงรังเพื่อแบ่งให้เพื่อนฝูงกิน

ถัดมาเป็นมดสีดำตัวเล็กลงมาหน่อย ฉันพบว่ามันชอบกินเมล็ดตำลึงสุกสีแดง เดาเอานะ ว่ามันชอบกิน พลางคิดว่าถ้าไม่กินเมล็ดตำลึงแล้วมันจะกินอะไรอีก อาจจะเป็นพวกหนอน แมลง หรือซากผีเสื้อ มองไปรอบตัวไม่มีเศษซากสัตว์ให้พวกมันได้ลากไปกินได้เลย

มองไปมองมา ฉันเห็นซากอึ่งอ่างตัวหนึ่ง เหยียดกายไร้วิญญาณติดอยู่บนพื้นโรงรถ ที่ลำตัวมีรอยขาดวิ่น ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน ฝีมือของน้องแมวที่ออกมาล่าเหยื่อแน่ๆ ฉันค่อยๆ หยิบมันขึ้นมา คิดจะโยนทิ้งไปให้ไกลๆ แต่เวลานี้ฉันเฝ้าพิจารณามดอยู่ว่าในเมื่อมันขาดอาหาร และมีกำลังไม่พอที่จะลากซากสัตว์ตัวนี้ไปได้ไกลมากนัก ฉันจึงเริ่มสร้างพื้นที่อาหารให้มันเสียเอง

นอกเหนือจากซากอึ่งอ่างตัวนั้นแล้ว มะละกอสุก เปลือกฟักทอง ใบตองห่อแหนม อะไรที่เหลือๆ ที่มี ฉันก็เอาไปกองรวมกันไว้หลังบ้าน เผลอไปมองอีกทีแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นที่กองขยะสุมรวมกันอยู่หลังบ้านของฉันเอง หลังจากหวาดกลัวว่ามันจะส่งกลิ่นเหม็นไหม แล้วเจ้ามดพวกนั้นจะย่อยสลายมันได้ทันหรือเปล่า

คิดในใจว่า มากันเร็วๆ อาหารมากมายก่ายกองขนาดนี้

แล้วก็ได้ผล  ขบวนมดพากันเดินมาอย่างขวักไขว่ บ้างป่ายปีนรั้วลวดหนาม บ้างเดินมาตามกิ่งไม้ บางก็อยู่บนดิน เดินตามกันเป็นทอดๆ

มีบางตัวเดินทางไปก่อนแล้ว ยังมีเดินหันหลังกลับมารอเพื่อนอีกด้วย

แล้วในที่สุด เจ้ามดก็กินกันอิ่มหนำสำราญ เพียงแต่ที่สังเกตเห็นนั้น มีแต่มดตัวสีดำที่พากันไปทีเดียวเป็นฝูงๆ ส่วนเจ้ามดสีแดง หรือ มดส้ม กลับทำท่าเมินแล้วไปหลบอยู่เงียบๆ บนใบไม้ เลียกินหยดน้ำค้างอย่างไม่สนใจ หรือว่าบางทีมดส้มอาจจะไม่กินอาหารเหล่านี้ มันอาจจะเป็นมดชีวจิตที่กินแต่พืชก็เป็นได้

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ แล้วนั่งมองกองขยะเหล่านั้นด้วยอารมณ์ขำๆ ผ่านพ้นไปจนถึงบ่าย ฉันกลับมาแวะเวียนคลังอาหารมดอีกรอบ พบว่าเจ้ามดสีดำหายไปหมดแล้ว ไม่นานนักจากนั้น ก็มองเห็นเจ้ามดส้มสองสามตัว ค่อยๆ ไต่ย่องมาอย่างเงียบๆ

พอเจอกับเศษมะละกอสุกแล้ว มันก็นิ่ง มองซ้ายมองขวา แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตากินมะละกออย่างเงียบๆ ฉันคงบ้าไปแล้ว เพราะยิ้มให้กับมด แล้วก็นั่งมองมันกินอย่างมีความสุข

หลังจากวันนั้นมาอีกหลายวัน ฉันจึงรู้สึกได้ว่ามดในบ้านเหลือน้อยเต็มที โดยไม่ต้องบี้หรือจัดการทำร้ายมันเหมือนแต่ก่อน แต่ใช่ว่ามันจะไม่เดินทางมาอีก การเดินทางตามมดไปจึงได้เข้าใจว่า บางทีมดก็เหมือนมนุษย์เรา ต่างแสวงหาแหล่งอาหารใหม่ที่จะได้ลิ้มรสของอร่อย หรือผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งมดก็ทำรังในสิ่งที่เรานึกไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นในกล่องซีดี ชั้นหนังสือ ในขวดน้ำ ที่เหล่านี้ซึ่งไม่มีอาหารให้กินได้ง่ายๆ จะมีก็แค่รอคอยให้ซากสัตว์สักตัวตกลงมาตายและพวกมันก็พากันรุมไปลากมาเก็บไว้เป็นเสบียง

ย่องตามมดอยู่หลายวัน รู้สึกเพลิดเพลินและชอบดูมดมากขึ้น แม้จะยอมรับอย่างลึกซึ้งว่า มดกับเรานั้นไม่อาจเป็นเพื่อนสนิทกันได้ เผลอๆ มันก็กัดเรา แล้วคงคิดในใจว่า ก็ทีฉันเผลอเธอยังเหยียบฉันได้เลยเป็นแน่

แต่เพื่อนที่ไม่สนิทเหล่านี้ ก็เป็นเพื่อนร่วมโลก เหมือนคนหลายคนในชีวิตเราที่ไม่อาจเปิดระยะให้รู้จักรู้ใจหรือใกล้ชิดกันมากกว่านั้น หรือคนรู้จักบางคนที่เฝ้ามองกันอยู่ห่างๆ แล้วหลีกเลี่ยงให้ต่างใช้ชีวิตของตัวเอง  โดยที่ไม่ลืมหรอกนะว่า

ก็เรามีโลกใบเดียวกัน แค่ไม่ทำร้ายกันก็น่าจะพอแล้ว ใช่ไหม
?

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…