Skip to main content

ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง

ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน

และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเอง

บ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น การกลับบ้านในแต่ละเย็นจึงเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ และเวลาอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ อีกหลายคน

จวบจนเมื่อเราเติบโตขึ้น ฉันเข้าเรียนต่อมัธยมต้นในโรงเรียนประจำอำเภอ ระยะทางในการกลับบ้านแต่ละวันก็ยาวมากขึ้น ระหว่างทางนั้น มีเพียงร้านหนังสือเช่าของคนจีนในตลาด ที่จะต้องแวะทุกวัน นอกนั้นเป็นบางโอกาส ที่จะไปเดินเล่นตลาดบ้าง เล่นกีฬา หรือไปเที่ยวบ้านเพื่อน การกลับบ้านเป็นกิจวัตรที่คงเดิม เวลาเดิม เส้นทางเดิม เพียงแต่เวลาเดินทางที่มากขึ้น ก็ทำให้ได้อยู่กับตัวเองและพิจารณาหลายๆ อย่างมากขึ้นไปด้วย

จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฉันไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ คำว่าบ้านนั้นห่างไปมากกว่าที่เคยห่าง เพิ่งรับรู้ว่าในวัยที่ต่างขึ้น ในเวลาที่เราโตพอจะกลับบ้านได้เองโดยไม่ต้องมีใครไปรับไปส่ง  เรากลับมีระยะทางกลับบ้านที่ไกลมากขึ้น

คำว่า “กลับบ้าน” ในไดอารี่ของฉัน มีความห่างของระยะเวลาด้วยเช่นกัน จาก 6 เดือน เป็น 1 ปี จาก  1 ปี เป็น 3 ปี สิ่งพันธนาการมากมายในวัยที่เริ่มทำงาน ยิ่งทำให้คำว่า “กลับบ้านของฉัน” มีมูลค่าที่ดูจะยิ่งใหญ่ไปมากขึ้นทุกขณะ

คืนหนึ่งในเดือนธันวาคม ของ 7 ปีก่อน ฉันนั่งพิงไหล่กับพี่สาว กอดแขนเขาเอาไว้แน่น อยู่บนรถไฟขบวนหนึ่งซึ่งมุ่งหน้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ ฉันใจเต้นตุบตับ เมื่อเสียงหวูดรถไฟดังขึ้นบริเวณชานชาลา  รถไฟจอดเทียบท่า อากาศยามเช้าหนาวเหน็บและสายลมพัดอ้อยอิ่ง หมอกปกคลุมเมืองจนแทบไม่เห็นภูเขา พี่สาวสะกิดให้ฉันเตรียมตัว เธอหันมาถามว่า “ตื่นเต้นไหม”

“ใช่ ตื่นเต้น”
ฉันตอบไปแบบนั้น ตามที่รู้สึก ทั้งที่เรายังไม่ถึงบ้านของเราหรอก เรายังจะต้องเดินทางต่อรถโดยสารอีกมากกว่าชั่วโมง และเรียกรถเข้าไปยังหมู่บ้านอีก

ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสีแดง มีกลิ่นอับของเบาะที่ผ่านการใช้งานมานานนับสิบปี ฉันไม่มีความง่วง ไม่มีความเหนื่อยล้า มีเพียงความคาดเดามากมาย ว่าใครที่หมู่บ้านจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว พ่อจะแก่ลงไปมากไหม เขาจะเห็นฉันแปลกไปหรือเปล่า เราจะยังคงหยอกเล่นกันได้ไหม ครอบครัวใหม่ของเขา จะยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า

คำถามมากมาย เกิดก่อเวียนว่ายตายดับอยู่ในรถคันนั้น บางคำถามก็โปรยเล่นออกไปนอกกระจกรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ฉันยื่นมือออกไปยังนอกหน้าต่าง มองไปยังภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ป่า และกลุ่มหมอกควันที่ดำรงอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยใจที่มีความสุข ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่รู้ อย่างไรเสีย ฉันก็กำลังจะกลับถึงบ้านไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว

หลายครั้งในลำดับต่อมา สมุดไดอารี่ของฉันที่มีหัวข้อว่ากลับบ้าน นั้นมีทั้งคราบน้ำตาและรอยยิ้ม รายละเอียดในชีวิตของคนเราคงไม่เท่ากัน น่าแปลกที่บางครั้ง ฉันคิดถึงบ้านจนจับหัวใจ แต่กลับไม่ใช่เวลาที่ควรจะต้องกลับ บางครั้งก็จำเป็นต้องเดินทางเร่งด่วน ทั้งที่มีภาระมากมายรั้งท้ายไว้ บางเรื่องที่คิดว่าต้องใช้การอธิบายมากมายเพื่อให้คนที่บ้านเข้าใจ เราก็จึงนิ่งงันเสีย กาลเวลาทำให้การกลับบ้านเป็นเรื่องแปลกออกไป เราไม่ได้คิดแต่เพียงตัวเองเท่านั้น คนที่อยู่ในชีวิตเราและอยากพาเขาไปด้วย?  บางสิ่งในที่เราไม่พร้อมจะให้ใครรับรู้ ? หรือ ความฝันที่ลึกที่สุด สักวันหนึ่งฉันจะกลับมาอยู่ที่บ้าน?

แล้วกาลเวลาก็พัดผ่านไป จนกระทั่งวันนี้ ฉันพาตัวเองกลับมาแล้ว แต่ก็พบว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี

พ่อของฉันแก่ลงไปมากแล้ว เขายังมีฝัน ตัวตน และความนึกคิดในแบบของเขาเอง เราพบเจอกันบ่อยขึ้น ได้มีเวลาพูดคุย ถามไถ่ทุกข์สุขกันมากขึ้น ภายใต้ร่างกายแก่ชราของเขา ทุกครั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันจะมองให้นานที่สุดเท่าที่มีโอกาส มองเข้าไปยังหัวใจที่ไม่เคยทะลุปรุโปร่ง จิตใจของเขาซ่อนสิ่งใดเอาไว้ คำถามเร้นลับถามฉันว่า เราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเพราะระยะทางห่างไกล  หรือแท้จริงแล้ว มนุษย์เราล้วนมีชีวิตอิสระต่อกัน ไม่มีสายสัมพันธ์ที่แท้จริงจะทำให้เราเข้าใจกันได้ทั้งหมด

บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ฉันจึงเลือกที่จะหาบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งเอาไว้อาศัย เช่นเดียวกับพี่สาว เราต่างอยู่บ้านคนละหลัง มีระยะเวลากลับบ้านที่ไม่เท่ากัน มีไดอารี่คนละเล่ม เราเขียนอะไรไว้มากมาย ภายใต้การใช้ชีวิตของตัวเอง การกลับบ้านของฉันเป็นอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว ระยะทางสั้นลง ได้กลับบ่อยมากขึ้น แม้จะไม่เทียบเท่ากับตอนเป็นเด็กๆ

แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ว่า บางที การกลับบ้านอาจจะมีระยะทางที่เท่าเดิมอยู่เสมอ

“พ่อส่งข่าวมาว่าปลาในกระชังกำลังโต และหมู่บ้านจะมีงานบุญเดือนถัดไป”
ใครคนหนึ่งมากระซิบบอกข่าว เขาเพิ่งกลับบ้านมา แถมมีน้ำใจหยิบหน่อไม้ อาหารหลายอย่างมาฝากด้วย ฉันอมยิ้ม ไม่ใช่ความหิวหรือดีใจ แต่เป็นความอบอุ่นข้างในลึกๆ เมื่อคิดถึงว่า “ระยะทาง” นั้นใกล้พอที่คนจะฝากอาหารแก่กันได้ พ่อก็คงยังเหมือนเดิม ไม่มีการบอกว่าอยากให้กลับบ้านเมื่อไหร่ บางครั้งเขาเองก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่า ว่าบ้านของเขาอยู่ไกลแสนไกล มาปักหลักยังหมู่บ้านปัจจุบันก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับบ้านจริงๆ

“บ้านและครอบครัว อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดิมไปตลอด แต่อยู่ในความหมายของสิ่งเหล่านั้น”
คำพูดใครบางคนลอยมา ขณะฉันหิ้วถุงหน่อไม้กลับเข้าไปในครัว ทำอาหารง่ายๆ ในบ้านเช่าที่ดูแลอย่างดี เพียงพอจะใช้คำว่า “กลับบ้าน” ได้เสมอเมื่อจากไปไหน ถึงแม้อีกสักวัน ก็อาจจะต้องไปจากที่นี่ แสวงหาคำว่า “บ้าน” หลังใหม่ ระยะทางไกลกว่าเดิม แต่ฉันก็คงไม่เคยลืมบ้านหลังนั้น

บ้านที่มีพ่อ และแม่ในอดีต บ้านไม้สีน้ำตาลที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ต้นไม้ที่เคยวิ่งเล่นในตอนเด็กๆ ที่ถูกโค่นและถมที่ใหม่ สวนกุหลาบของแม่ที่กลายเป็นลานซักผ้า ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว คนในครอบครัวใหม่ของพ่อที่ไม่สนิทสนมกัน จะอย่างไรเสียฉันก็ยังคิดถึง และยังอยากกลับบ้านเสมอ

การกลับบ้านที่อาจไม่ใช่การไปยืนอยู่ ณ ที่นั้นเสมอไป แต่เป็นเคารพและคิดถึงความเป็นบ้านในวัยเยาว์ ที่หล่อหลอมให้เติบโตมาถึงวันนี้ การค้นพบว่าลึกๆ แล้ว ระยะทางก็ยังเท่าเดิมอยู่เสมอ  โดยเฉพาะระยะทางในหัวใจ

ณ ที่ซึ่งเรายังเดินทางกลับไปได้เสมอ ทุกครั้ง ทุกเวลา ที่อยากกลับ.

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"