Skip to main content
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น แต่เป็นอันเข้าใจ แววตาหลายคู่ที่อยู่ข้างๆ มองอย่างสนใจ แต่ไม่รู้สึกแปลก ชายชราผู้แก่กว่าอีกคน กระดกเหล้าแบบเดียวกัน แล้วถามไถ่“ไอ่น้องมาจั๊กข้าวเหรอ” เขาหมายถึงการ “ดื่ม” สักจอกสองจอก ก่อนจะถึงมื้อกินข้าวจริงๆ“อืออ้าย หมู่นี้กินข้าวไม่อร่อย ไม่รู้ทำไม ถ้าไม่ดื่มสักก๊งสองก๊ง กินไรไม่ลง” เขาว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม“ก็จริงอย่างว่า อ้ายก็เหมือนกัน ค่ำมาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ถ้าไม่ดื่มซะหน่อย นอนไม่ค่อยสบาย”สองคนปรับทุกข์  อีกคนมาใหม่ เพิ่งนั่งยังไม่ทันกระดกแก้ว ก็ตัดพ้อตามไป“ยังดี พี่สองคนแค่ดื่มก่อนมื้อ  แล้วกลับไปกินกับเมีย อย่างผมไม่มีแม่บ้าน กินให้ตายตรงนี้ก็ไม่มีใครมาตาม”ป้าแดงเจ้าของร้านรีบจ้องตาวาว ยืนจังก้าโวยวาย“อย่าๆ อ้ายหมาย อย่ามากินตายแถวนี้นะ ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านนา อย่ามานอนเมาแถวนี้”เสียงหัวเราะลั่นร้าน ตาแก่ยกมือตบเข่าฉาด“อะไร  ป้าแดงนิ พูดเล่นหรอก ทำมาจริงจัง เดี๋ยวก็ไปแล้ว”“ไม่ได้ๆ วันก่อนมีคนมากินเหล้าเกือบหมดร้าน”“เอ๊า ไม่ดีเหรอ ป้าจะได้ขายดีไง”ป้าแดงเงียบ คงนึกคำตอบโต้อยู่  แต่ถูกชายวัยกลางคนสะกิดเสียก่อน“นั่นๆ เขามาซื้อผักน่ะ  ไปดูก่อน”ป้าแดงค่อยๆ หันมาทางฉัน ผู้ซึ่งยืนพลิกผักไปมา เมนูวันนี้จะทำเมี่ยงปลาทู ประกอบด้วยผักสลัด ใบชะพลู  โหระพา และผักไผ่สะระแหน่ พลิกหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยต้องรอให้ป้าแดงมาช่วยดู“ใบสลัดไม่มีแล้วหนู โหระพาก็หมด เหลือแต่กะหล่ำ”“เอ่อ ผักกาดแก้วล่ะป้า วันก่อนหนูเห็นป้ามีขาย”“มันแพง โลละตั้ง 30 บาท ป้าไม่เอามาแล้ว ไม่ไปดูอีกซอยล่ะ”“ไปมาแล้วค่ะ เขาปิด”ฉันตอบน้ำเสียงละห้อยด้วยความผิดหวัง ก่อนจะคิดถึงทางเลือกอื่น“อืม เอาผักกาดขาวแทนก็ได้ แล้วสะระแหน่มีไหม”“เหมือนจะหมดแล้วนะ เหลือไม่กี่อย่าง วันนี้ป้าไม่ได้ไปตลาดหรอก ตื่นสายน่ะ”ป้าแดงพูดอย่างอายๆ  หันไปมองยังอีกมุมของร้าน แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียง“ก็พวกนี้มันกลับกันดึก ป้าแดงปิดร้านค่ำมาก เลยตื่นสายเลย”“อ้าว”เสียงตอบโต้ตามมาทั้งกลุ่ม ฉันพยายามเงียบเสียงและไม่กล้ามอง จึงยืนพลิกดูผักต่อไป พลางรำพึงเบาๆ“สงสัยต้องเปลี่ยนเมนูล่ะป้า มีอะไรเหลือบ้างเนี่ย”“ก็มีผักบุ้งนะ” ป้าแดงไล่ลำดับ“งั้นผัดผักบุ้งเลยหนู” เสียงชายเฒ่าสวนมาอย่างหวังดี“แล้วก็มีหน่อไม้ดองนะ” ป้าแดงหยิบถุงขึ้นมาโชว์ มันดูเก่าและนาน รสชาติคงเปรี้ยวน่าดู“แกงใส่ไก่ อร่อยมาก” เสียงจากเคาน์เตอร์บาร์ส่งมาด้วยหวังดีอีกฉันแอบอมยิ้ม สงสัยจะกินข้าวลงกันแล้ว จึงคิดเมนูได้หลากหลายแบบนี้ “งั้นเอาน้ำพริกตาแดงถุงหนึ่ง  ไข่  แล้วก็แหนมค่ะ” ฉันตัดสินใจ “เยี่ยมๆ น้ำพริกป้าแดงอร่อยมาก ไข่เจียวแหนมอร่อย” คำแนะนำจากกลุ่มชายชรายังปล่อยมาเป็นระยะ ฉันอยู่ในอาการทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดคุยกับคนเมา ได้แต่ยิ้มๆ ไปตามมารยาท ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง“อยากกินไข่เจียวแหนมทำไมไม่บอก ไป กลับไปกินแกงผัดกาดได้แล้ว”หันไปมองตาม ถึงได้รู้ว่าภรรยาของคุณลุงมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง ลุงวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก รีบซดเหล้าที่เหลือในแก้วกระดกพรวดทีเดียว แล้วรีบเดินตามเมียกลับบ้านแต่โดยดี ทิ้งเสียงหัวเราะคิกๆ ไว้เบื้องหลังของชายร่วมเคาน์เตอร์ ก่อนจะไป แกก็หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่ง“เดี๋ยวเฮาก็จะไปแล้วเหมือนกัน” ชายโสดไร้ภรรยาบอก ระหว่างฉันยืนรอเงินทอนจากป้าแดง“อ้าว ไปเหมือนกันเหรอ ไหนบอกว่าไม่มีใครรออยู่บ้านไง”“แมวมันจะหิวข้าวเอา ไม่ได้ทิ้งไรไว้ให้เลยเนี่ย”“โห ห่วงแมว” เสียงใครอีกคนแซวขึ้น ฉันรับเงินทอนมาแล้ว จากที่อยากรีบไปเสียให้พ้น กลับชะลอฝีเท้าลง หันไปมองหน้าเขาทีหนึ่งผู้ชายร่างผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าซีด พันเอวด้วยผ้าขาวม้าสีม่วงสลับแดง ใส่รองเท้าบู๊ตสีเขียวแก่  มีมีดดายหญ้าอันใหญ่เบ้อเริ่มเสียบไว้กับผ้าขาวม้าอยู่ด้านหลัง“อือ ตอนนี้เหลือตัวเดียว แต่ก่อนมี 4 ตัวนะ มันคลอดลูกแล้วตายเลย ก็เลี้ยงมาจนโต ชื่อ แดง ดำ ขาว และ แต้ม ตัวสุดท้ายนี่สีขาวลายดำ แต้มเต็มตัวไปหมด”พูดพลางลุกขึ้นยืน กระดกเหล้าแก้วสุดท้าย พร้อมคว้ามะขามกับเกลือ ซึ่งเป็นบริการฟรีจากป้าแดงเข้าปาก เคี้ยวดังกร๊อบ ทำเอาฉันน้ำลายพุ่งกระฉูดเต็มแก้ม“อ้อ ป้า เอาปลาทู 2 ตัว”วูบนั้น ฉันเห็นแววตาเขา จะว่าทึกทักไปเองก็ได้ แววตาไม่ต่างกันนัก กับคนมีลูกมีเมียที่รีบกลับบ้านเพราะกลัวจะรอด้วยความหิวฉันและเขาออกจากร้านป้าแดงพร้อมกัน ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สุดท้ายก็เหลือชายชราเพียงคนเดียว “เฮาะๆๆ ปิ๊กบ้านเพราะห่วงแมว ฮ่าๆๆ”เขาหัวเราะชอบใจ แล้วคว้าแกงอ่อมที่เหลือของลุงผู้ไปแล้วมาซดต่อ“ป้าแดงเอาเหล้ามาอีกก๊ง”แล้วเขาก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ชายคนเดิมที่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้ ไม่ว่าจะค่ำมืดอย่างไร ฉันผ่านมาทุกครั้งก็จะเห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เท้าแขนข้างหนึ่งกับเคาน์เตอร์ มองไปมาบนถนนสายเดิม จวบจนแทบไม่มีรถแล่นผ่าน พระเข้าวัดไปหมดแล้ว แม่ค้าเก็บของจนไม่เหลือแม้แต่เจ้าเดียวไม่เคยรู้ว่าแกกลับบ้านเวลาไหน ไปทางใด ไม่มีเมียคอยแกงผักกาดไว้ที่บ้าน ไม่มีแมวรอกินปลาทูรู้เพียงแต่ว่า ถ้าวันไหนไม่มีใครมากินเหล้าเลย ป้าแดงก็ยังเหลือชายชราผู้นี้เป็นลูกค้าประจำ หากวันไหนใครคิดเมนูอาหารไม่ออก เดินไป เขาจะช่วยคิดให้สารพัด แต่หากวันไหนเขาไม่มา เราถึงจะรู้ว่า ถนนสายนี้จะช่างแสนเหงา แผงป้าแดงจะเหลือแต่ผนัง กับเก้าอี้เปล่า โดยมีฉันอดคิดเงียบๆ ไม่ได้ว่า“พรุ่งนี้ จะยังมีคุณลุงคนนี้มานั่งกินอยู่อีกไหม”
โอ ไม้จัตวา
เริ่มต้นฤดูกาลใหม่รับลมหนาวด้วยความรู้สึกถึงวันอันล่วงเลยผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรกับร่างกาย  หนึ่งปีที่หมกมุ่นอยู่กับงาน ห่างหายกับการยืดเส้นยืดสายออกกำลังกาย  มีโยคะบ้างบางครั้งแล้วก็มาเจออุบัติเหตุทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่ ลากยาวมาจึงถึงวันนี้กับอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ โรคประจำตัวของคนนั่งหน้าคอม และขับรถจี๊บแคริบเบียนที่เกียร์แข็งจนเส้นเอ็นที่แขนเคล็ดไปหมดกลิ่นดอกปีบหอมอบอวลไปทั้งเมือง  ลมหนาวไม่มากเริ่มพัดมาเยือน ได้เวลาออกไปดูโลกยามเช้าเสียที  วันนี้ตื่นแต่ตีห้า เตรียมตัวออกจากบ้าน บอกเพื่อนร่วมบ้านว่าจะไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์  จุดมุ่งหมายคือห้วยตึงเฒ่า ที่เก่าเวลาเดิม นัดพี่ไว้ที่นั่น  ตีห้าครึ่งฟ้ายังมืด นึกถึงที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีแก๊งจี้มอเตอร์ไซด์ตอนตีห้ากลางเมือง โดยการประกบรถที่กำลังขี่ แล้วถีบจนรถล้มจากนั้นก็นำรถไป  ความมืดทำให้เรื่องน่ากลัวผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมืดทางโลกหรือทางใจฉันตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากบ้าน อากาศยามเช้าตรู่ของเมืองเชียงใหม่สดชื่นจริง ๆ ลมต้านรถนั้นหนาวมากขึ้นเมื่อใกล้ห้วยตึงเฒ่า เพราะต้องออกนอกเมืองไปอีกนิด ตลอดเส้นทางหอมกลิ่นดอกไม้หลายหลายชนิด จนอดไม่ได้ที่จะเหลียวหากลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นดอกปีบที่กำลังบานสะพรั่งทั่วเมือง เป็นกลิ่นหลักของเช้าวันนี้ถึงห้วยตึงเฒ่า เริ่มออกเดินกับพี่ซึ่งมาถึงนานแล้ว ทำให้ฉันอดยืดเส้นอุ่นร่างกายก่อน ขณะเดินจึงคันขาจนร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นต้นไม้ ใบไม้  ดอกไม้ สองข้างทางบานสะพรั่ง  ดอกไม้ไร้ชื่อ ใบไม้รูปหัวใจเลื้อยเดินอยู่ทั่วไป มะขามป้อมต้นเดิมออกลูกได้ที่ แก่กำลังดี พี่บอก หลังจากปีนขึ้นไปเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินกินขณะเดิน ทำเสียงซึ้ดราวขี้เมาได้เหล้าขาวกับมะขามเปียก วันนี้ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กลางป่า มีต้นหญ้าชูช่ออยู่สองข้างทางราวโค้งคำนับให้กับดวงตะวันอย่างนอบน้อม คนเดินทางบางครั้งไปเพื่อนค้นหาบางคนค้นพบบางคนไปเพื่อเดินทางกลับบางคนหนีสิ่งหนึ่งเพื่อจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วกำลังหนีตัวเองขณะขาก้าวไปข้างหน้าภายในกำลังก้าวไปข้างในลึกลงไป...ชีวิตต้องมีวันเริงระบำบ้างดอกไม้ข้างทางตะวันกำลังขึ้นชีวิตก็ต้องเจอหนามแหลมบ้างดอกไม้บานยามเช้าบางครั้งหนทางก็อีกยาวไกลจึงมีเวลาหยุดพักดูต้นไม้ใบหญ้ากาฝากชอบเกาะกินอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ พี่เปรยขึ้น ฉันมองตามแล้วบอกว่า แต่มันก็ให้ความงามนะใบไม้รักต้นไม้ดอกอะไรก็ไม่รู้ น่ารักมาก ดอกเล็ก ๆ ขึ้นเต็มไปหมดขาวพราวในเขียว
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก เท่าสายฝนผ่าน?สัญญาลอยลม ชมในอากาศลืมแล้วภาพวาด ในวิมานหวาน  ๔.ทุกอย่างต้องเปลี่ยน เธอเพียรวานบอกไม่ให้เย้าหยอก กับอดีตกาลฉันอดไม่ได้ หัวใจรู้สึกหวาดกลัวลึกลึก กับฤดูผ่านทุกอย่างช่างเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกเหมือนว่า จากมาไม่นานกับคราบน้ำตา และฟ้าเปลี่ยนสีผิดไหมใจที่ มีตะกอนถ่าน  ๕กับนาฬิกา และฟ้าเคลื่อนไหลช่างไม่ไว้ใจ ในฤดูกาลบนหนทางก้าว ที่ยาวออกไปบางอย่างไหวไหว อยู่ในโลกอุดมการณ์
โอ ไม้จัตวา
วันนี้พาไปเดินเล่นในดอยกับพญาช้างสารอันแสนน่ารัก ด้วยการทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปกับแพ็คเก็จทัวร์ของปางช้างแม่ตะมาน สนนราคา 1000 บาทสำหรับคนไทย และ 1500 บาทสำหรับชาวต่างชาติ ออกจากเมืองเชียงใหม่แปดโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นราวเก้าโมงกว่า ๆ ไปเล่นกับช้างน้อยใหญ่ พาช้างไปอาบน้ำ ช้างเป็นสัตว์ขี้ร้อน แต่ช้างที่นี่ดูมีความสุข เพราะมีลำน้ำแม่ตะมานที่กว้างพอสมควรให้ช้างอาบน้ำทุกวัน ดูเหล่าช้างเล่นน้ำกันสนุกสนาน มีพ่นน้ำใส่คนที่ยืนเชียร์อยู่บนฝั่งด้วย ก่อนจะพากันขึ้นจากน้ำมาตีระฆัง เชิญธงชาติ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเป่าเม้าท์ออแกน เตะฟุตบอล นวดให้ควาญ และเดินสวนสนามดูไปดูมาฉันเห็นช้างยิ้ม ดูช้างโชว์เสร็จก็ถึงเวลาอันน่าตื่นเต้นเล็กน้อยสำหรับฉัน ที่ทำใจมาแล้ว เคยมาแล้วก็อดกลัวไม่ได้ ช่วงเวลาบนหลังช้างค่ะ พยายามนึกว่าคนขี่หลังเสือลงยากกว่าหลังช้าง ซึ่งแม้จะตัวใหญ่แต่ก็เดินช้า ๆ ทว่ามั่นคง ช้างที่ฉันนั่งชื่อบุญมี อายุ 40 ปี เป็นช้างพัง ฉันทักทายบุญมีเพราะอายุใกล้เคียงกัน ขี่ช้างต้องทำตัวโยกเยกไปตามจังหวะการเคลื่อนของช้าง เวลาลงเนินก็หวาดเสียวนิด ๆ แต่ก็มั่นใจในตีนช้างช้างตัวใหญ่ แต่ใช้ทางเดินแคบ ๆ ไม่เหมือนคนตัวเล็กแต่สร้างถนนกินบ้านกินเมืองมากมายควาญเล่าว่า ช้างเป็นสัตว์ขี้เหงา ต้องอยู่กับคน ความคิดว่าจะสร้างสถานที่แล้วนำช้างเป็นร้อยเชือกมารวมกันไว้โดยไม่มีควาญ แล้วสร้างกำแพงล้อม เหนือกำแพงเป็นร้านอาหารให้คนนั่งดื่มกินดูช้าง เป็นความคิดที่ไม่รู้จักช้าง นั่งอยู่บนหลังช้างชมนกชมไม้อยู่ในป่า ขึ้นเขาลงห้วยด้วยทางของช้าง นึกถึงคนโบราณเวลาเขาเดินทางในป่าไปกันอย่างนี้นี่เอง จบจากทางช้างที่ห้างนาแห่งหนึ่ง ต่อด้วยเกวียนเทียมวัวอีกสักสิบนาที ผ่านกลางหมู่บ้าน กลับเข้าสู่ปางช้าง กินอาหารกลางวัน (อาหารธรรมดา ๆ แต่อร่อย) แวะชมแกลอรีภาพเขียนของช้างจากทั่วโลก จิบกาแฟยามบ่ายริมน้ำแม่ตะมาน ก่อนลงแพล่องไปตามลำน้ำแม่ตะมาน ไปขึ้นที่ท่าแพโดยมีรถมารอรับกลับเชียงใหม่ กลางสายน้ำยามบ่ายมีเพียงความเงียบสงบ เสียงลม เสียงน้ำไหล คลื่นน้ำ กิ่งไม้แห้ง ป่าเขียว นกสีฟ้าบินผ่านหน้า คนถ่อแพชี้ให้ดู บางครั้งการมาคนเดียวก็ทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยได้ยิน...เสียงของตัวเองศิลปินช้างตบหัวแปะ ๆอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนวดให้ควาญช้างเป่าเม้าท์ออแกนช้างยิ้มช่วงเวลาอันแสนสุขเส้นทางช้างควาญช้างที่นี่ส่วนใหญ่เป็นช่างภาพด้วย แต่ควาญคนนี้เด็ดมาก กลับหลังหันถ่ายรูป แจ๋วจริง ๆอยากมีเพื่อนแบบนี้บ้างอุเหม่ เจ้าไก่น้อย วิ่งไปวิ่งมากลางดงตีนช้าง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ง่ายๆ เราเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ ..อาสาสมัครสอนหนังสือเด็กในชุมชน กลางเมืองหลวง..กับครูปู่ กลุ่มซ.โซ่อาสา (รู้จักครูปู่และกลุ่มซ.โซ่อาสา www.volunteerspirit.org)ผมนัดกับนุ้งนิ้งเพื่อขอเข้าไปถ่ายรูป อาสาสมัครและเด็กๆ กลางเมืองหลวงในชุมชนตึกแดง ..ถามคนแถวนั้นว่าทำไมต้องตึกแดง ง่ายๆ อีกเหมือนกันครับว่า เมื่อก่อนตึกแถวนี้ทาสีแดง คนเลยเรียกติดปากว่าย่านตึกแดง ...แล้วทำไมต้องทาสีแดง อันนี้ไม่ได้ถามครับ ?จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ เรา อาสาสมัครต้องนั่งรถสามล้อเครื่องเข้าไปถึงหน้าชุมชนแล้วเดินต่อเข้าไปอีกหน่อย ..ทางเดินแคบๆ นำเราไปยังลานโพธิ์มีเด็กๆ มากกว่า 50 คน รอให้เราเข้าไปสอน...เล็กสุดชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6... นั่งทำแบบเรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์และระบายสีใครอยากลองสัมผัสนัดเจอกันทุกวันเสาร์อาทิตย์ คลิกเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ (http://www.volunteerspirit.org/readthis_info.asp?pid=67) นุ้งนิ้ง - จิระพงค์ รอดภาษา 081-515-8564ระหว่างทางเดิน คุณยายสองท่านกำลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ อีกหนึ่งอาชีพของคนในชุมชนตึกแดงจิตอาสาเพื่อในหลวง ลงมือปฏิบัติงาน คับพ๊ม บรรยากาศ ภาพเด็กและหนุ่มสาวผู้มีจิตใจอาสาสมัคร คุณครูอาสาสอนผมบวกลบเลขครับ โดเรมอน ภาพระบายสียอดฮิต เรียกสมาธิสาวน้อย ดูหน้าตาหนุ่มน้อยออกจะตั้งใจระบายสีมาก หนุ่มใส่แว่นเป็นพี่น้องกับหนุ่มเสื้อเขียว ส่วนหนูน้อยอีกคนกำลังเมามันกะคุ๊กกี้ ใครตั้งใจมากกว่ากันดูวุ่นวายสักหน่อยแต่สนุกดีครับ
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น การกลับบ้านในแต่ละเย็นจึงเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ และเวลาอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ อีกหลายคน จวบจนเมื่อเราเติบโตขึ้น ฉันเข้าเรียนต่อมัธยมต้นในโรงเรียนประจำอำเภอ ระยะทางในการกลับบ้านแต่ละวันก็ยาวมากขึ้น ระหว่างทางนั้น มีเพียงร้านหนังสือเช่าของคนจีนในตลาด ที่จะต้องแวะทุกวัน นอกนั้นเป็นบางโอกาส ที่จะไปเดินเล่นตลาดบ้าง เล่นกีฬา หรือไปเที่ยวบ้านเพื่อน การกลับบ้านเป็นกิจวัตรที่คงเดิม เวลาเดิม เส้นทางเดิม เพียงแต่เวลาเดินทางที่มากขึ้น ก็ทำให้ได้อยู่กับตัวเองและพิจารณาหลายๆ อย่างมากขึ้นไปด้วยจวบจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฉันไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ คำว่าบ้านนั้นห่างไปมากกว่าที่เคยห่าง เพิ่งรับรู้ว่าในวัยที่ต่างขึ้น ในเวลาที่เราโตพอจะกลับบ้านได้เองโดยไม่ต้องมีใครไปรับไปส่ง  เรากลับมีระยะทางกลับบ้านที่ไกลมากขึ้น คำว่า “กลับบ้าน” ในไดอารี่ของฉัน มีความห่างของระยะเวลาด้วยเช่นกัน จาก 6 เดือน เป็น 1 ปี จาก  1 ปี เป็น 3 ปี สิ่งพันธนาการมากมายในวัยที่เริ่มทำงาน ยิ่งทำให้คำว่า “กลับบ้านของฉัน” มีมูลค่าที่ดูจะยิ่งใหญ่ไปมากขึ้นทุกขณะ คืนหนึ่งในเดือนธันวาคม ของ 7 ปีก่อน ฉันนั่งพิงไหล่กับพี่สาว กอดแขนเขาเอาไว้แน่น อยู่บนรถไฟขบวนหนึ่งซึ่งมุ่งหน้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ ฉันใจเต้นตุบตับ เมื่อเสียงหวูดรถไฟดังขึ้นบริเวณชานชาลา  รถไฟจอดเทียบท่า อากาศยามเช้าหนาวเหน็บและสายลมพัดอ้อยอิ่ง หมอกปกคลุมเมืองจนแทบไม่เห็นภูเขา พี่สาวสะกิดให้ฉันเตรียมตัว เธอหันมาถามว่า “ตื่นเต้นไหม”“ใช่ ตื่นเต้น”ฉันตอบไปแบบนั้น ตามที่รู้สึก ทั้งที่เรายังไม่ถึงบ้านของเราหรอก เรายังจะต้องเดินทางต่อรถโดยสารอีกมากกว่าชั่วโมง และเรียกรถเข้าไปยังหมู่บ้านอีก ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสีแดง มีกลิ่นอับของเบาะที่ผ่านการใช้งานมานานนับสิบปี ฉันไม่มีความง่วง ไม่มีความเหนื่อยล้า มีเพียงความคาดเดามากมาย ว่าใครที่หมู่บ้านจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว พ่อจะแก่ลงไปมากไหม เขาจะเห็นฉันแปลกไปหรือเปล่า เราจะยังคงหยอกเล่นกันได้ไหม ครอบครัวใหม่ของเขา จะยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า คำถามมากมาย เกิดก่อเวียนว่ายตายดับอยู่ในรถคันนั้น บางคำถามก็โปรยเล่นออกไปนอกกระจกรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ฉันยื่นมือออกไปยังนอกหน้าต่าง มองไปยังภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ป่า และกลุ่มหมอกควันที่ดำรงอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยใจที่มีความสุข ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่รู้ อย่างไรเสีย ฉันก็กำลังจะกลับถึงบ้านไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว หลายครั้งในลำดับต่อมา สมุดไดอารี่ของฉันที่มีหัวข้อว่ากลับบ้าน นั้นมีทั้งคราบน้ำตาและรอยยิ้ม รายละเอียดในชีวิตของคนเราคงไม่เท่ากัน น่าแปลกที่บางครั้ง ฉันคิดถึงบ้านจนจับหัวใจ แต่กลับไม่ใช่เวลาที่ควรจะต้องกลับ บางครั้งก็จำเป็นต้องเดินทางเร่งด่วน ทั้งที่มีภาระมากมายรั้งท้ายไว้ บางเรื่องที่คิดว่าต้องใช้การอธิบายมากมายเพื่อให้คนที่บ้านเข้าใจ เราก็จึงนิ่งงันเสีย กาลเวลาทำให้การกลับบ้านเป็นเรื่องแปลกออกไป เราไม่ได้คิดแต่เพียงตัวเองเท่านั้น คนที่อยู่ในชีวิตเราและอยากพาเขาไปด้วย?  บางสิ่งในที่เราไม่พร้อมจะให้ใครรับรู้ ? หรือ ความฝันที่ลึกที่สุด สักวันหนึ่งฉันจะกลับมาอยู่ที่บ้าน?แล้วกาลเวลาก็พัดผ่านไป จนกระทั่งวันนี้ ฉันพาตัวเองกลับมาแล้ว แต่ก็พบว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี พ่อของฉันแก่ลงไปมากแล้ว เขายังมีฝัน ตัวตน และความนึกคิดในแบบของเขาเอง เราพบเจอกันบ่อยขึ้น ได้มีเวลาพูดคุย ถามไถ่ทุกข์สุขกันมากขึ้น ภายใต้ร่างกายแก่ชราของเขา ทุกครั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันจะมองให้นานที่สุดเท่าที่มีโอกาส มองเข้าไปยังหัวใจที่ไม่เคยทะลุปรุโปร่ง จิตใจของเขาซ่อนสิ่งใดเอาไว้ คำถามเร้นลับถามฉันว่า เราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเพราะระยะทางห่างไกล  หรือแท้จริงแล้ว มนุษย์เราล้วนมีชีวิตอิสระต่อกัน ไม่มีสายสัมพันธ์ที่แท้จริงจะทำให้เราเข้าใจกันได้ทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ฉันจึงเลือกที่จะหาบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งเอาไว้อาศัย เช่นเดียวกับพี่สาว เราต่างอยู่บ้านคนละหลัง มีระยะเวลากลับบ้านที่ไม่เท่ากัน มีไดอารี่คนละเล่ม เราเขียนอะไรไว้มากมาย ภายใต้การใช้ชีวิตของตัวเอง การกลับบ้านของฉันเป็นอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว ระยะทางสั้นลง ได้กลับบ่อยมากขึ้น แม้จะไม่เทียบเท่ากับตอนเป็นเด็กๆ แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ว่า บางที การกลับบ้านอาจจะมีระยะทางที่เท่าเดิมอยู่เสมอ“พ่อส่งข่าวมาว่าปลาในกระชังกำลังโต และหมู่บ้านจะมีงานบุญเดือนถัดไป”ใครคนหนึ่งมากระซิบบอกข่าว เขาเพิ่งกลับบ้านมา แถมมีน้ำใจหยิบหน่อไม้ อาหารหลายอย่างมาฝากด้วย ฉันอมยิ้ม ไม่ใช่ความหิวหรือดีใจ แต่เป็นความอบอุ่นข้างในลึกๆ เมื่อคิดถึงว่า “ระยะทาง” นั้นใกล้พอที่คนจะฝากอาหารแก่กันได้ พ่อก็คงยังเหมือนเดิม ไม่มีการบอกว่าอยากให้กลับบ้านเมื่อไหร่ บางครั้งเขาเองก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่า ว่าบ้านของเขาอยู่ไกลแสนไกล มาปักหลักยังหมู่บ้านปัจจุบันก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับบ้านจริงๆ “บ้านและครอบครัว อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดิมไปตลอด แต่อยู่ในความหมายของสิ่งเหล่านั้น”คำพูดใครบางคนลอยมา ขณะฉันหิ้วถุงหน่อไม้กลับเข้าไปในครัว ทำอาหารง่ายๆ ในบ้านเช่าที่ดูแลอย่างดี เพียงพอจะใช้คำว่า “กลับบ้าน” ได้เสมอเมื่อจากไปไหน ถึงแม้อีกสักวัน ก็อาจจะต้องไปจากที่นี่ แสวงหาคำว่า “บ้าน” หลังใหม่ ระยะทางไกลกว่าเดิม แต่ฉันก็คงไม่เคยลืมบ้านหลังนั้นบ้านที่มีพ่อ และแม่ในอดีต บ้านไม้สีน้ำตาลที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ต้นไม้ที่เคยวิ่งเล่นในตอนเด็กๆ ที่ถูกโค่นและถมที่ใหม่ สวนกุหลาบของแม่ที่กลายเป็นลานซักผ้า ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว คนในครอบครัวใหม่ของพ่อที่ไม่สนิทสนมกัน จะอย่างไรเสียฉันก็ยังคิดถึง และยังอยากกลับบ้านเสมอการกลับบ้านที่อาจไม่ใช่การไปยืนอยู่ ณ ที่นั้นเสมอไป แต่เป็นเคารพและคิดถึงความเป็นบ้านในวัยเยาว์ ที่หล่อหลอมให้เติบโตมาถึงวันนี้ การค้นพบว่าลึกๆ แล้ว ระยะทางก็ยังเท่าเดิมอยู่เสมอ  โดยเฉพาะระยะทางในหัวใจ ณ ที่ซึ่งเรายังเดินทางกลับไปได้เสมอ ทุกครั้ง ทุกเวลา ที่อยากกลับ.
โอ ไม้จัตวา
เริ่มคอลัมน์ใหม่หัวใจดวงเดิม ขอประเดิมด้วยการพาไปเดินเล่นตามประสาคนถ่ายภาพ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 ที่ผ่านมามีโอกาสนั่งเครื่องบินไปเกาะสมุย และช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนั้น เป็นเวลาที่ข่าวเครื่องบินวันทูโกตกกำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทย เครื่องลงปุ๊บเปิดโทรศัพท์ได้ก็มีสายเข้าและ miss call เต็มไปหมด กว่าจะไปถึงสมุยได้ในวันนั้นก็ทุลักทุเล เพราะน้องสาวเป็นคนจองตั๋วคืนก่อนที่จะมาหนึ่งวัน นัยว่าเป็นงานด่วนของเธอ ขอให้ฉันมาเป็นเพื่อน ตอนจองตั๋วฉันถามว่าขึ้นเครื่องที่ไหน ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เธอตอบว่ากำลังหาอยู่ น่าจะดอนเมือง พรุ่งนี้เธอจะโทรถามอีกครั้ง เราบินจากเชียงใหม่ไปลงดอนเมือง และน้องก็มั่นใจว่าต่อเครื่องที่ดอนเมือง อีกครึ่งชั่วโมงถึงเวลาขึ้นเครื่องไปสมุย เราพบว่าต้องไปสุวรรณภูมิ!!!นาทีนรกยิ่งกว่าเครื่องบินตกปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะเรามีญาติผู้ใหญ่ไปด้วย เธอไม่สามารถรอต่อเครื่องได้ และผิดหวังกับพวกเราสุด ๆ ที่ไม่รอบคอบ เราจับแท็กซี่มาสุวรรณภูมิก็ไม่ทันเที่ยวบินถัดไปที่เพิ่งปิดรับไปพอดี ต้องรออีกเที่ยวบินหนึ่งซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ ญาติของเราน็อคเรากลางสนามบินสุวรรณภูมิด้วยการประท้วงไม่ไปกับเรา เธอซื้อตั๋วเครื่องบินบินกลับเชียงใหม่ เพื่อให้เราจดจำไปจนตาย จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เธอบอกว่าอย่าหมิ่นใจเธอ อยู่ขั้วโลกเหนือหรือใต้ ถ้าเธอจะกลับบ้านเธอก็จะกลับ!!!ระหว่างรอเครื่อง น้องก็เล่าว่า เช้านี้เธอพยายามโทรถามที่สายการบินในเรื่องนี้ หมายเลขโทรศัพท์ที่มีอยู่นั้นก็เป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ และแจ้งให้เราโทรมาในเวลาทำการ เธอคิดว่ามีเพียงสายการบินสีแดงเท่านั้นที่ไม่ย้ายมาดอนเมือง และเรายังพบว่าสายการบินนี้ไม่รับโทรศัพท์ในวันอาทิตย์เลย เมื่อเราไปถึงสมุย เราพยายามโทรเข้าไปเปลี่ยนเที่ยวบินขากลับ เบอร์ที่สมุยสามเบอร์ โทรเข้ากรุงเทพ โทรเข้าเบอร์สายด่วน และพยายามเปลี่ยนเองทางอินเตอร์เน็ต แต่เมื่อเข้าไปถึงคำว่า Change flight ก็พบว่าปุ่มที่ควรกดได้ กลายเป็นปุ่มด้าน ๆ ที่ไร้ความหมายคืนนั้นฉันติดเกาะ เกาะที่เต็มไปด้วยข่าวเครื่องบินตก คนตาย คนบาดเจ็บ โรงแรมที่ไปพักมีคนพักอยู่สองคนคือฉันกับน้อง ฝนตกจนงานที่นัดไว้ต้องเลื่อนไป หิวจนไม่หิว เราเดินออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้โรงแรม อาหารเย็นของฉันในคืนนั้นคือ เบียร์และเลย์ โหดร้ายที่สุดสำหรับคนกลัวความสูงอย่างฉัน คือต้องบินกลับอีกสองต่อ และเมื่อเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อให้มีเวลาพอไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง จากเครื่องใหญ่ก็กลายเป็นเครื่องเล็ก ที่เหมือนรถเมล์บินได้ ตกหลุมอากาศที่หัวใจฉันหล่นวูบ และเริ่มจินตนาการถึงท่าลงว่าจะเหมือนในหนังเรื่องไหนที่เคยดู ไปครั้งนี้ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก ได้รูปสวย ๆ ที่ถูกใจมาก ๆ มาปลอบใจตัวเองว่า ชีวิตก็ไม่ว่างเปล่าจนเกินไปนักรอยเท้าบนผืนทราย ฝากไว้ให้ทะเลทางลงหาดเดินออกจากห้องพักมาหินตาคงหนักน่าดูต้นไม้รักกันชอบสมุยตรงที่ต้นมะพร้าวเยอะดีระหว่างนมัสการสุริยะ ก็มีเจ้าตัวนี้เดินมาด้อม ๆ มอง ๆฟ้ายามเช้าเสียงคลื่นซัดสาดภาพนี้ดูเป็นโปสการ์ดยังไงไม่รู้ท้องฟ้ายามตะวันตก ถ่ายบนเครื่องวันทูโกระหว่างกลับเชียงใหม่อยากไปเดินเล่นตรงแสงสีไกล ๆ ตรงโน้นได้ภาพชุดที่ชอบมากมาอวด ภาพนางแบบจริง ๆ ฟ้าชืด ทะเลชืด ไม่มีมิติ จับมาซ้อนกับท้องฟ้า ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศาสนา พอที่จะกล่าวหาว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธแบบไหนนักเดินทางหลายคนที่เคยไปเมืองสังขละบุรี ดินแดน 3 น้ำ ริมชายแดนไทย-พม่าด้านตะวันตก คงจะรู้ว่า หากเราข้ามสะพานไปอีกฝั่งน้ำ ชุมชนคนมอญเคลื่อนไหวในโอบอ้อมของขุนเขา ผืนป่าและผืนน้ำ ตรงจุดที่เรียกว่า สามประสบ แหล่งทำกินของชาวน้ำและแหล่งทำเงินของนักลงทุนเรือแพดารดาษราวเกาะแก่งน้อยใหญ่ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองสัมผัสกับบรรยากาศแปลกใหม่ คนมอญผู้หาปลาเป็นอาชีพ ไม่ได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่ตัวเองหามาได้แต่ถูกแลกเปลี่ยนเป็นเงินบนเรือแพหรือรีสอร์ทหรูริมน้ำแห่งนั้น เลยจากจุดที่ตั้งชุมชนออกไประยะชั่วหม้อข้าวเดือด คือ วัดวังวิเวการาม สถานที่แห่งแรงศรัทธาของชน 3 ชาติ ไทย มอญ พม่าชาวชนผู้เปี่ยมศรัทธาในพุทธศาสนา....ตะวันแผดจ้าทั้งที่เป็นปลายฤดูฝน ฝนที่นี่ตกๆ หยุดๆ ตกๆ หยุดๆ ตกและหยุด หยุดและตก จนเดาอารมณ์กันยากเย็น หากเป็นคนคงจะเป็นคนจ้าวอารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ เอาใจยากสักหน่อยลานจอดรถบริเวณวัดแทบร้าง ด้วยยังไม่ถึงหน้า ไฮ-ซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวจะมาพักผ่อนสงบอกสงบใจข้างหน้าเป็นตัวอาคารของอุโบสถ หลังคาสีแดงโดดเด่นเหมือนจะลอยอยู่กลางฟ้าเป๊ปซี่และเพื่อนกำลังทอยเส้นกันอยู่ข้างหน้าโถงทางเดิน ยังไม่ทันจะรู้ผลแพ้ชนะ เมื่อทั้งกลุ่มเห็นผมและยาดา นักท่องเที่ยวหลงฤดูเดินเข้ามาใกล้ เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงสะกิดส่งเป๊ปซี่ออกมา“ซาหวัดดี ครับ” เป๊ปซี่ดวงตาแวววาว ปรี่เข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยเป๊ปซี่เป็นเด็กมอญตัวกะหร่อง อายุไม่ควรจะเกิน 12 ยางเส้นสีเขียวบริเวณต้นแขนหนาและล้นไปถึงท้องแขน เด็กชายมีรอยแผลเป็นที่ริมฝีปากยาวมาถึงลำคอ“ชื่อเป๊ปซี่ ครับ” เด็กชายตอบเมื่อผมถามชื่อ เด็กชายเริ่มเดินนำวนรอบอุโบสถอันที่จริง เราไม่ได้ต้องการมักคุเทศน์แสงตะวันยามเที่ยงค่อยอ่อนละมุนเมื่อเรามาอยู่ในตัวอาคารที่สะท้อนประกายแวววาว จากสีสันของกระจกสีที่นำมาประดับประดาตามตัวองค์พระและบริเวณมณฑป“ศักดิ์สิทธิ์นะครับ คนชอบมาอธิษฐานแต่ต้องโยนเหรียญให้ค้าง” เด็กชายชี้ไปที่หลังคามณฑปหลังหนึ่งที่อยู่ทางประตูหน้าเข้าพระอุโบสถ“เป๊ปซี่ เคยอธิษฐานไม๊” ยาดาถาม“เคยครับ”“อธิษฐานว่าไง”“ขอให้เรียนเก่งครับ” เด็กชายตอบพร้อมทำท่าเหนียมอาย...หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจ เราจ่ายค่าบริการแก่มักคุเทศน์น้อยไป 20 บาทเป๊ปซี่ไม่ได้ร้องขอและผมไม่ได้ถามถึงที่มาของรอยแผลเป็นเรื่องและภาพจากคุณนิ่มฉันไปภูสอยดาวแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวรู้แต่ว่าอยากไปพักผ่อนเท่านั้น ระยะทางที่ต้องเดินขึ้นไปกว่า 1,633 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นไป 4 ชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ภูสอยดาวสวยสดงดงามที่สุดในช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ทางที่ต้องเดินขึ้นไปเป็นทางชันมากกว่าทางราบทำให้เหนื่อยและหอบบ้างเป็นระยะๆ แต่หมอกที่ปลิวมาตามสายลมก็ทำให้หายเหนื่อยได้ ยิ่งเมื่อถึงจุดหมายปลายทางความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ปลิวหายไปกับลมหมอก ทุ่งดอกหงอนนาคฉ่ำเม็ดฝนบานสะพรั่งเต็มทุ่ง บรรยากาศในยามเย็น ฟ้าเปิดอย่างนี้ บรรดาตากล้องทั้งหลายก็รัวชัตเตอร์ เก็บภาพบรรกาศกันยกใหญ่ บอกอีกครั้งว่า ภูสอยดาว เหมาะกับช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว ดอกหงอนนาคฉ่ำน้ำฝน คนนอนนับดาว เหมือนใกล้แค่เอื้อม 
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ เย็บปักถักร้อย ช่างฝีมือ จนได้งานทำเป็นพนักงานในโรงงานผลิตกระเป๋า แต่เดือนแรกที่ยังไม่ได้รับเงินเดือนก็ยังต้องอาศัยคนอื่นอยู่ไปก่อน จวบจนได้เงินเดือนก้อนแรก ถึงไปหาห้องเล็กๆ แถววัดเจ็ดยอดอาศัย ในราคาเดือนละ 500 บาท“เคยผ่านแถวคูเมืองด้านในไหม จะมีร้านขายของราคาถูก ทุกอย่าง 10 บาท”ฉันนึกทบทวนเส้นทาง แล้วก็ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงักๆ“อืม ที่นั่นจะมีก๋วยเตี๋ยวฟรี ถ้วยเล็กๆ กับน้ำฟรี เขาบริการลูกค้า ผมไปกินทุกวัน เป็นเวลา 2 เดือน” ฉันนึกภาพตาม ตลาดนัดราคาถูกขนาดกว้างใหญ่ ที่มีขายทุกสิ่งทุกอย่าง มีเสียงเพลงดังๆ มีดีเจเปิดเพลงเพื่อเร่งเร้าการซื้อของ เขามีน้ำดื่มไว้บริการด้วยแก้วกระดาษที่เขรอะไปด้วยฝุ่น ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีลูกชิ้น ในชามพลาสติกเพื่อจูงใจให้คนเข้าร้าน นั่นคือที่พักพิงของคนพเนจร รวมทั้งเพื่อนของฉันเวลานี้นั้น เขาผ่านการทำงานในเมืองมา 5 ปีแล้ว สามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวก ตั้งแต่เสื้อผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ และเครื่องเสียงขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังสอบเข้าเรียนต่อภาคค่ำในสถาบันราชภัฎจบจน จำได้ว่าฉันให้ของขวัญเขาเป็นรูปใส่กรอบใบเล็กๆ แล้วก็ดีใจไปกับความสำเร็จของเขาแต่จากนั้นไม่นานนัก เขาก็โทรมาบอกว่า กำลังจะย้ายกลับบ้านแล้ว“ไม่อยากอยู่ในเมืองแล้วเหรอ” ฉันถาม ก้มสำรวจข้าวของที่เขาขนออกมาจนหมดจากห้องเช่า เขาไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเอ่ยออกมาว่า“อยากอยู่บ้านของตัวเอง”“เหรอ ก็ดีนะ ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย”เขายิ้มขึ้นมา แววตาวาววับ“เราทำงานอยู่นี่ แต่ละเดือนไม่มีเงินเก็บ แต่เราสุขอยู่คนเดียว ถ้าไปอยู่บ้าน อย่างน้อย สิบบาท ยี่สิบบาท ก็ยังได้กินกับพ่อแม่และน้อง มันสุขใจกว่า”ฉันรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ไถ่ถามถึงอดีตก่อนจากมา รู้เพียงแต่ว่าวันนี้เขาคงจะพร้อมแล้ว ที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา หรือไม่ เมืองใหญ่อาจกลืนกินบางสิ่งไปจากเขา มากไปกว่าที่เขาจะได้รับ“เธอล่ะไม่อยากซื้อบ้านของตัวเองบ้างเหรอ”เขาถามสวนมา ฉันสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบสายตาออกไปมองภายนอก ซอยเล็กๆ นั้นมีแมวนั่งอยู่ตัวหนึ่ง “ก็เหมือนแมวไง ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ”ฉันตอบเล่นๆ ไปตามประสา แต่กลับพบว่า เขารีบจ้ำอ้าวไปยังแมวข้างกำแพงตัวนั้น หยิบจับขึ้นมาอุ้ม โอบแนบไว้กับไหล่เล็กๆ นั้น“ตัวนี้ชื่อเจ้าทอง สีมันทองๆ เห็นไหม”“อ้าว แมวเธอหรอกเหรอ” ฉันถาม“เปล่า มันเป็นแนวพเนจร ก็ให้อาหารกินบ้าง อยู่แถวนี้แหละ ไม่มีเจ้าของหรอก”“อืม เป็นแมวนี่ดีนะ ชีวิตอิสระดี บางทีก็มีคนเก็บไปเลี้ยง” ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสา เขากับแมวที่คุ้นเคยกัน หยอกล้ออย่างสนิทสนม ก่อนจะตอบว่า“ถ้าโชคดีมีคนเลี้ยง มันก็เหมือนได้มีบ้าน ไม่ต้องร่อนเร่อีก”“ฮื่อ แต่บางทีแมวก็เลือกเจ้าของนะ แม้อยากเลี้ยงแทบตาย มันก็ไม่อยู่กับเราหรอก ถ้าไม่อยากอยู่”ฉันสำทับ เขารีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ในครู่นั้น แววตาอาวรณ์ของเพื่อน กลับทิ้งคว้างด้วยความว่างเปล่า ที่ฉันเดาไม่ออก และไม่อาจจะเข้าไปยังจิตใจของเขาเขาก้มลงช้าๆ ปล่อยแมวให้ก้าวสู่พื้นดิน หันกลับไปเช็คข้าวของที่ช่วยกันขนขึ้นรถไว้หมดแล้ว“คงคิดถึงกันน่าดู” ฉันเอ่ยปาก เขาเหมือนจะพยักหน้า แต่แววตากลับมองจ้องไปยังที่แมว“เจ้าตัวนี้เคยปลอบใจเราบ่อย ยิ่งเวลาเมาๆ หรือเหงาๆ”เขาพูดกับฉันหรือแมวก็ไม่ทราบได้ มองไปยังแมวตัวนั้น มันยังยืนพิงผนัง ส่งแววตามาไม่ขาดระยะ เหมือนจะเข้าใจในภาษาที่เราพูด เพียงแต่มันคงไม่อาจจะรู้ได้ ว่าเพื่อนคนนี้กำลังจะเดินทางไปไกล แล้วไม่ได้อยู่ที่นี่อีก“เอาแมวไปด้วยสิเธอ”ฉันบอกเล่นๆ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ“ให้มันอยู่ของมันแบบนี้ดีแล้ว ถึงพเนจร แต่ก็คงคุ้นเคย และเอาตัวรอดได้”“เหมือนคนใช่ไหม”“ฮื่อ ใช่ เหมือนเราแต่ก่อนไง”เสียงรถสตาร์ทเครื่อง ข้าวของในกระบะหลังอัดแน่นอยู่ในกล่องลังสีน้ำตาล คนขับก็พร้อมแล้ว เพื่อนผู้จากลากระโดดขึ้นนั่งข้างๆ ฉันหมดหน้าที่ในการช่วยยกข้าวของแล้ว จึงโบกมือลาช้าๆ“ไว้เจอกันนะ”“ฮื่อ คงได้เจอกัน ไม่แน่หรอก อาจจะต้องพเนจรกลับมาอีกก็ได้ ใครจะรู้”เขาพูดเอาไว้อย่างนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งฉันไว้กับแมวตัวนั้น หันไปจ้องหน้า เหมือนมันอยากจะพูดอะไรฉันได้แต่พูดว่า“ขอโทษด้วยนะ ที่พาไปอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจนะ ยังไงเราก็ยังพเนจรเหมือนกันแหละ”ไม่รู้มันจะเข้าใจฉันบ้างไหม ได้ยินแต่เสียงร้องแอ๊วๆ แล้วพยายามจะเดินเข้ามาใกล้ ถูตัวกับขาอย่างออดอ้อนฉันก็ต้องรีบเดินจากมา ก่อนที่จะใจอ่อนทำอะไรมากไปกว่านั้น ในสมองหวนคิดถึงแมวตัวแล้วตัวเล่า ที่เคยพบหน้า ตัวที่อ้วนพีอาศัยอยู่ในวัด แมวกำพร้า ตัวผอมโซในซอกหนึ่งของร้านเหล้า แมวในถนนที่หมู่บ้านที่วิ่งหนีหมาหน้าตาตื่น ทุกๆ เช้า และแมวอีกหลายชีวิต ที่ผ่านและทักทายกัน โดยไม่อาจรู้ว่า บางตัวจะมีบ้านให้กลับบ้างไหม และมันฝันถึงสิ่งใดบ้างในชีวิต“เถอะนะ บางทีการพเนจรก็เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”