Skip to main content

 

ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมา


แต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น


ฉันเงยหน้ามองผ่านดอกไม้ที่มีใบหรอมแรมและกลีบบางๆ ซึ่งบานไม่ตรงฤดูกาล บางต้นบานไปแล้วและร่วงไปแล้ว บางต้นยังไม่มีวี่แววจะอวดกลีบสวย เหนือขึ้นไปท้องฟ้ามีแต่ความหม่นมัว และนอกกระจกมีแต่อากาศสีเทาๆ และแดดที่ร้อนระอุ ภายในรถมีเครื่องปรับอากาศที่ทำงานหนัก และตัวเลขอัตราน้ำมันซึ่งบอกเราว่าแม้จะอยากประหยัดเพียงใด แต่การขี่มอเตอร์ไซต์ในระยะนี้ไม่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ


นั่นคือหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่หาทางเลือกได้น้อย และลงท้ายด้วยเสียงบ่นพึมพำของฉันสลับกับเสียงถามของเพื่อน ที่เธอพยายามจะแยกให้ออกระหว่าง ดอกตะแบก ชงโค เสลา และกัลปพฤกษ์ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กัน

....


เรากำลังมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดิน สถานที่ซึ่งฉันไม่ได้ไปมานานแล้ว ทั้งที่สมัยที่ฉันย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ มีแต่คนแซวว่าฉันไปทำอะไรได้ทุกอาทิตย์ที่ถนนคนเดิน ฉันบอกเพื่อนว่า ฉันชอบถนนเส้นนี้ มีอะไรมากมายอยู่ในนั้น ทั้งงานศิลปะ ของทำมือ ดนตรี การแสดง ชีวิตของผู้คน และความหวังมากมายบนนั้น ไปทีไรแล้วฉันได้ไอเดียดีๆ กลับมาบ้าน พร้อมความรู้สึกดีๆ อยู่เสมอ


แต่หลายเดือนที่เว้นว่างไป เพราะภาวะ "ความแออัดยัดเยียด" จากฝูงชนที่มากเกินไป ทำให้การเดินเล่นเพลินๆ นั้นไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เราต้องเตรียมสุขภาพให้ดี ห้ามเป็นหวัด ห้ามเป็นไข้ ถึงจะเหมาะกับการไปเดินเบียดเสียด พร้อมที่จะชน ปะทะ แทรกตัว หลบหลีก รอคอยและแก่งแย่งในการซื้อของ เดินตามกันดีๆ งั้นจะพลัดหลงกับเพื่อน และยังต้องดูแลกระเป๋าให้ดีๆ ไม่งั้นอาจจะโดนล้วงหรือทำหายได้ง่าย


เหตุผลเหล่านี้กระมังทำให้ฉันห่างจากถนนคนเดินไปช่วงใหญ่ๆ แต่วันนี้ ธุระจำเป็นทำให้ฉันต้องไปที่นั่นทั้งที่เป็นเวลาบ่ายและแดดกำลังร้อนจัด ผู้คนยังไม่หนาตามากนัก เพื่อนฉันแปลกใจที่เห็นความกระตือรือร้นของฉันกลับมาใหม่ ฉันเดินละลิ่ว มองสินค้ามากมาย มีงานศิลปะใหม่ๆ มีโปสการ์ดสวยๆ เสื้อยืดลายแปลกๆ ฉันเดินเหงื่อออกเต็มตัวแต่ใจยังสู้ เดินผ่านแม่ค้าที่กำลังวางข้าวของ รถเข็นคันเล็ก คันใหญ่ เสื่อที่เพิ่งปู และเจ้าของแผงที่กำลังเนรมิตพื้นที่ของใครของมันให้มีชีวีตชีวา


พวกเขาใช้ชีวิตในนั้น พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่จับจองไว้ทั้งโดยถูกต้อง หรือแบบชั่วคราวรอเจ้าของตัวจริงมาขาย


 

แล้วฉันก็สะดุดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งหน้าวัด ยืนนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านบรรเลงโดยชายชราสองคน ที่ใส่เสื้อม่อฮ่อม คนหนึ่งกำลังดีดนิ้วลงบนเส้นลวดของ "ซึง" เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ อีกคนแตะมือลงบนหนังสีน้ำตาลของ "กลอง" เป็นจังหวะที่อ่อนหวานและไพเราะ ที่คุณลุงสองคนประสานท่วงทำนองต่อกันได้อย่างลงตัว


เพลงนั้น เป็นเพลงที่ฉันได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นึกชื่อไม่ออกเมื่อไม่มีเสียงร้อง เพลงที่มีท่วงทำนองไม่เร็วไม่ช้าเกินไป หากแต่มีทำนองหม่นเศร้าบางอย่างปะปนในเมโลดี้ ฉันหยุดมองสักครู่จึงเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งที่คุณลุงตั้งเอาไว้เพื่อรับบริจาค กล่องกระดาษใบนั้นเขียนไว้ว่า วงดนตรีนั้นชื่อ "วงดาวที่ไร้แสง"


สมาชิกของวงพยายามอย่างสุดฝีมือที่จะเล่นดนตรีให้ดังและเป็นที่พอใจของผู้พบเห็น แกยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของเหรียญกระทบกันอยู่ในกล่อง และโน้มศีรษะคำนับขอบคุณแก่ผู้เอื้อเฟื้อทุกคนที่บังเอิญผ่านมา


ฉันอมยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ได้เกิดจากความขบขัน เป็นยิ้มที่ฉันให้เขาจากใจ และอยากบอกลุงว่าเขาเล่นดนตรีได้เพราะมาก แต่น่าเสียดายที่มันเป็นยิ้มที่ลุงไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะลุงทั้งสองคนตาบอด ดาวที่ไร้แสงของคุณลุง คงหมายถึงดาวดวงหนึ่งที่ไม่อาจมีแสงใดๆ มากระทบให้เกิดภาพ เป็นดาวที่มืดมิดอยู่นิรันดร์กาล บางครั้งมันอาจเป็นดาวที่ไม่มีใครจะเข้าได้ถึงจริงๆ ด้วยซ้ำ และเดาไม่ได้เลยว่าดนตรีจากดาวที่มืดมิดของคุณลุงนั้นสื่อสารอะไรออกมาจากใจได้บ้าง

 

ฉันมีเวลายืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานนัก แล้วเดินตามเพื่อนไปทำธุระต่อ ขณะที่ก้าวเท้าออกมา เสียงเพลงยังแว่วอยู่ในหู และกังวานอยู่ในใจ


ถัดจากคุณลุงมาไม่กี่ก้าว ฉันยังได้พบกับพี่สาวอีกคนที่นั่งขอทานอยู่กลางถนน และเด็กพิการอีกสองคนที่รอคอยการแบ่งปันจากผู้มาจับจ่ายใช้สอย เธออาจเล่นดนตรีไม่ได้ หรือไม่สามารถแม้แต่จะสื่อสารกับคนอื่น แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต อยู่ที่ตรงนั้น ตอนฉันย่อตัวแบ่งเงินให้เธอ ฉันยังรู้สึกได้ว่าเธอกำลังเงี่ยหูฟังดนตรีจากคุณลุงสองคนเช่นเดียวกัน


ฉันรู้ ภาพที่ชินตาแบบนี้ เราเห็นได้จากถนนหลายสาย แล้วฉันก็จมอยู่ในโลกส่วนตัว มองภาพโปสการ์ดที่แตะลงบนพื้น ผ้าทอที่ถูกคลี่มาแสดง ตุ๊กตาแขวนโตงเตงอยู่บนก้านลวดและเสาไม้ น้ำปั่นและผลไม้ดองบนรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมา ทุกอย่างกลายเป็นส่วนประกอบของจังหวะเชื่องช้าในโลกของฉัน


ฉันใช้เวลานั้น สังเกตดวงตาของผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่ทุกคนที่จะมองเห็นวงดนตรีดวงดาวที่ไร้แสง แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้ยิน บทเพลงซ้ำซากที่อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของท้องถนนกว้างใหญ่ แต่ใครจะคิดอย่างฉันไหมหนอ ว่าดวงดาวไร้แสงดวงนั้นกำลังส่องแสงที่มองไม่เห็นไปยังชีวิตอีกหลายชีวิตบนถนนสายเดียวกัน


ดวงดาวไร้แสงที่บอกกับเราว่า โลกที่มืดมิดอาจไม่ได้เป็นสีดำเสมอไป ดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง แต่บางครั้งเมื่อมีแสงอื่นมากระทบ กลับสะท้อนแสงที่สวยที่สุดออกไปให้คนอื่นพบเห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้หลายสิ่งหลายอย่างได้งอกงามขึ้นมา

 

ชั่วเวลานั้น ฉันรู้สึกได้ว่าแสงแดดที่ว่าร้อนที่สุดก็กลับเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย เมื่อลองจินตนาการว่า หากฉันอยู่ในโลกมิดมิดแบบนั้นบ้าง ฉันจะทำได้แบบเขาไหม อาจไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะดำรงชีวิตประจำวันให้อยู่รอดไปเท่านั้น แต่ยากกว่านั้น คือเรายังจะมองโลกได้สวยงามเหมือนเดิมไหม จะก่นด่าชะตากรรมไปเท่าไหร่ แล้วกลับมาถือซึงและกลองบรรเลงดนตรีให้ความสุขกับคนฟังแบบฟรีๆ อยู่ตรงนี้ทุกๆ อาทิตย์ ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน โดยไม่พร่ำบ่นได้หรือไม่


หรือยามที่หมอกและมลพิษคลุมเมืองมากมายก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหรือเดินหนี

...........



ฉันกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ระหว่างทางกลับบ้าน แสงตะวันสุดท้ายยังไม่ลับไปจากฟ้า ยังพอให้มองเห็นกลีบดอกไม้ที่บานหรอมแหรมอยู่บนต้นและร่วงอยู่บนพื้น ฉันหันไปอธิบายเพื่อนอีกครั้ง ว่าดอกไม้หลายชนิดที่สีเหมือนกันนั้นต่างกันอย่างไร และมีชื่ออะไรบ้าง และหากมันจะบานผิดฤดูไปบ้าง ก็อย่าได้ผิดหวัง


โลกเป็นแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ คงมีอีกหลายวิธีที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตราบที่ดวงตาและใจเราไม่ได้มืดบอด


ฉันอมยิ้ม เมื่อเพื่อนถามว่า ไปถนนคนเดินได้อะไรติดมือมาบ้าง แน่นอนฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ติดมือกลับมามีค่ามาก


มากกว่าที่ฉันเองจะคิดถึงด้วยซ้ำ.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"