Skip to main content
เจนจิรา สุ
12 กันยายน 2550 และแล้วก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย เมื่อวันที่ย้ายต้องเลื่อนออกมาจากกำหนดเดิมอีกสองวัน แสงแดดดูเหมือนจะเป็นใจสาดส่องให้ถนนเส้นทางสายห้วยเดื่อ- ห้วยปูแกงที่เคยชื้นแฉะและเป็นหลุมบ่อจากน้ำฝนแห้งสนิท
วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย ส่วนเขาซื้ออีกหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน“บ้านหลังนี้พี่อยู่กับแม่ จนพี่ตั้งท้อง ก็อาศัยอยู่มาตลอด ซอยนี้เงียบสงบ เหมาะที่จะทำงานส่วนตัว พี่รักบ้านหลังนี้มาก ไม่เคยคิดจะขาย เมื่อไม่มีใครอยู่ ก็คิดว่าให้คนเช่าดีกว่า”ฉันมองไปยังห้องน้ำ ห้องครัว มุมนั่งเล่น จินตนาการเจิดจ้าว่าจะตกแต่งส่วนไหนเป็นอย่างไร ประตูกระจกเลื่อนได้ มีฟิล์มกรองแสงแล้ว ห้องน้ำแม้จะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ห้องนอนก็ดูกว้างขวางดี “เอาเป็นว่าตกลงเช่าค่ะ” ฉันบอกเขาไปด้วยแววตาดีใจ ได้บ้านถูกใจเสียที ส่วนเขาเอื้อมมือมาแตะไหล่เบาๆ“พี่รู้แล้วว่าต้องตกลง พี่ถูกชะตาเรานะ เหมือนพระเจ้าส่งเรามาให้ เพราะท่าทางเป็นคนรักบ้านเหมือนพี่”คนพเนจรอย่างฉัน แม้จะยังไม่มีบ้านของตัวเอง แต่ก็ยังเป็นคนเลือกมาก ปีที่แล้วฉันตระเวนดูบ้านไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เพื่อหา “พื้นที่” ที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตและการทำงาน ใครๆ มักถามว่าทำไมยังไม่ซื้อบ้าน นั่นสินะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน การมีบ้านเป็นความฝันสูงสุด แต่การ “ยังไม่มี” ในเวลาหนึ่งก็ยังไม่ควรจะเป็นทุกข์ การซื้อบ้านสำหรับฉันเป็นเรื่องใหญ่ ที่บางครั้งมีเหตุผลอันน้อยนิดเพียงแค่ว่า ฉันยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือเปล่า และอีกหลายๆ เหตุผลตามมา การเป็นคนเช่าบ้าน จึงให้ประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตว่า แม้บ้านจะไม่ใช่ของเรา แต่เราอาศัยอยู่ทุกวัน เราจึงควรทำบ้านให้สะอาด น่ารัก น่าอยู่ และรักมันในฐานะที่พักพิงของเราฉันเชื่อแบบนั้น ไม่เคยคิดมากกับการปลูกต้นไม้ลงที่บ้านคนอื่น สักวันต้องไป ก็มอบของขวัญไว้แก่ผืนดิน ทาสีบ้านใหม่ให้สวย เราจะได้อยู่สบายใจ ตรงไหนชำรุดก็ต้องซ่อมแซม ฉันทำแบบนั้นตั้งแต่วันที่ย้ายเข้ามา และคิดเสียว่า ทำบ้านไปให้ดีจะได้อยู่นานๆ อาจนานจนกระทั่งจากจร หรือ นานจนกว่ามีบ้านของตัวเองสักหลังบังอาจฝันเอาไว้แบบนั้น  แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า ผ่านไปยังไม่ถึง 1 ปี ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ อย่างมีความสุข ฉันก็ต้องกลับไปเป็นคนพเนจรอีกครั้ง“คุณอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างไรเหรอ” คนแปลกหน้าในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ตะโกนเข้ามาจากหน้าบ้าน ฉันออกไปดู เจ้าหน้าที่สามคน ยืนถือเอกสารมากมาย กล้องถ่ายรูป พร้อมรถคันใหญ่ ยืนรอเจรจาอยู่ด้านนอกฉันงงกับคำถาม เปิดประตูให้เขา แล้วก็ยืนตอบออกไป “เอ่อ ก็เช่าอยู่อ่ะค่ะ”“แล้วเช่ากับใคร” เขาทำเสียงเข้ม สลับกับมองเอกสารในมือ“ก็เช่ากับเจ้าของค่ะ เขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” มือก็ชี้นิ้วออกไป เขาทำคิ้วย่น แล้วก็ขอเบอร์โทรศัพท์เจ้าของบ้าน อีกคนขอตัวไปคุย อีกคนก้าวเข้ามาสำรวจ อีกคนถ่ายรูปหน้าบ้านฉันเอาไว้ ก่อนจะหันมาอธิบาย“น้อง บ้านหลังนี้ไม่มีสิทธิจะมาเช่าหรืออยู่นะ ธนาคารยึดไว้ตั้งนานแล้ว เป็นทรัพย์สินของธนาคาร น้องคงต้องย้ายออกไป”“อ้าว ก็นี่เช่ากับเขา ทำสัญญาเรียบร้อยค่ะ”“นั่นสิ ถึงได้ถามว่าเข้ามาอยู่ได้ยังไง ตอนนี้ธนาคารจัดงานแกรนเซลล์ขายทอดตลาดนะ เดี๋ยวคงมีคนมาดูเรื่อยๆ พี่เคยติดป้ายไว้แล้ว แต่มีคนรื้อออก ตอนนี้จะมาติดใหม่”ฉันนิ่งอึ้งไป เขาขออนุญาตประทับป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ ที่มีตัวโตๆ เขียนไว้ว่า “ขาย” แปะที่รั้วสีขาวหน้าทางเข้า ต้นจำปีในกระถางถูกเขยิบออก สองสามแรงช่วยกัน โดยมีฉันยืนมองอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร“เรียบร้อยละ อย่าเอาป้ายออกนะ พี่คุยกับคนที่ให้น้องเช่าแล้ว เขาไม่มีสิทธิที่จะให้ใครเช่า เขาไม่ใช่เจ้าของบ้าน นี่จ่ายเงินไปบ้างหรือยัง”“จ่ายตลอดค่ะ ทุกเดือน ทำสัญญารายปี” ฉันตอบ“สัญญาพวกนี้ใช้อะไรไม่ได้นะในทางกฎหมาย ถือเป็นโมฆะ เพราะผู้ทำสัญญากับน้องเขาไม่มีกรรมสิทธิ์อยู่ จะว่าไปก็เป็นสัญญาปลอม และยังผิดกฎหมายอีกด้วยเพราะเอาทรัพย์สินผู้อื่นมาให้เช่า”เขาอธิบายได้ชัดเจนดี จากนั้นก็ขอตัวอำลาพร้อมให้นามบัตรเอาไว้ “เผื่ออยากซื้อติดต่อได้เลยนะครับ ราคาพิเศษ”เขาว่าแบบนั้น  ฉันรับเอาไว้พร้อมถอนหายใจ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่ จะมีใครอธิบายได้บ้าง ก็คงจะต้องเป็นเขา พี่เจ้าของบ้านคนนั้นทันที่ที่เราเจอกัน  เจ้าของบ้านถอนหายใจเล็กน้อย เหมือนพิจารณาวันคืนที่ผ่านมาของตัวเอง เขาไม่มีรอยยิ้มเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีคำขอโทษ และราวกับไม่มีความเสียใจ“อย่าไปตกใจนะน้อง อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกลัวหรอก พวกธนาคารน่ะ”“เอ่อ แต่มันเป็นทรัพย์ของเขานี่คะ คงจะขายวันไหนก็ได้ หากอยู่ต่อมันก็คงจะเสี่ยง”ฉันค่อยๆ เริ่มเล่าความคิดในมุมของฉัน เขาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย“โอ้ย อยู่ไปเหอะ ร้อยวันพันปีขายไม่ได้หรอก บ้านแถวนี้โทรมจะตาย ปลวกก็มีเยอะ ใครจะมาซื้อ อยู่ไปเรื่อยๆ ได้เลย อีก 10 ปี” ในมุมของเขาก็สวนกลับมา“ดูแล้วก็คงจะจริง น่าจะขายยาก แต่คิดว่าคงจะย้ายค่ะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง”ฉันพูดออกไป เขาชะงักไปเล็กน้อย แววตานั้นแสดงความเฉยเมยและแปลกหน้าต่อกันอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจอีก“พี่จะบอกอะไรให้นะ พูดอย่างน่าไม่อายเลย บ้านที่พี่อยู่อีกหลัง นั่นก็โดนยึดแล้วเหมือนกันแต่เราไม่ไปเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเราได้”“แล้วไม่มีปัญหากับธนาคารเหรอคะ” ฉันถามอย่างฉงน อดสงสัยไม่ได้ “ก็มีแหละ เขาก็ฟ้องนะ ส่งหมายศาลอะไรมา เราก็ไป อยากยึดไปก็ยึด ยึดไปจนไม่มีอะไรให้ยึดแล้ว เขาก็เลิกไปเอง บอกจะขายบ้านก็ไม่เห็นใครมาซื้อซะที เราก็อยู่ไปเรื่อยๆ”เขาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ฉันจ้องลึกไปในดวงตาเขา ชีวิตในอดีตเขาเป็นอย่างไรก็สุดคาดเดาได้ เราเพิ่งรู้จักกัน ดวงหน้าที่มีริ้วรอยความสวยงาม ภาษาที่ใช้ การแต่งตัวที่บอกให้เห็นว่าเขาน่าจะเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตคนเรามากมาย แต่ท้ายที่สุด เราก็รู้จักเพียงแค่ปัจจุบันของเขา“เขาไม่มาไล่เหรอคะ” ฉันถามออกไป“ไล่สิ ก็มาบอกแบบบอกน้องไง ว่าให้ย้ายออก เนี่ยหลังอื่นๆ ก็ชะตากรรมเดียวกัน บางคนทนไม่ไหวก็ย้ายออกไปเอง แต่พี่เป็นคนที่ยืนหยัด เราไม่กลัว เรายืนหยัดแล้วเราก็จะอยู่ได้”ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน 1 ปีที่ไปมาหาสู่ ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ ช่วยซ่อมแซมของเสียหาย อาหารที่แบ่งปันกันกิน เขามีความลับมากมายที่เก็บซ่อนเอาไว้ แม้กระทั่งคำว่า “พี่รักบ้านนี้มาก” ก็ยังไม่จางออกจากปาก ฉันยืนอยู่ตรงนั้น หน้าบ้านที่ไม่ใช่ของฉันและไม่ใช่ของเขา กลิ่นดินกระทบฝนบอกลาเอาไว้แล้วอย่างเงียบๆลาจากทั้งเขา และลาจากทั้งบ้านหลังนี้“พี่น่าจะบอกกันสักคำ คือจะได้รู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่นาน ไม่ได้เตรียมใจจะย้ายเลย เรื่องโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตที่จะต้องย้าย ข้าวของมากมาย คงใช้เวลาอยู่เหมือนกัน”ฉันรำพึงออกมาตามแบบของฉัน เสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นอีกเสียงในแบบของเขา“ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องย้าย อยู่ไปแหละนะ เดี๋ยวพี่จะเอาป้ายออก”และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาขยับป้ายออกไป ซุกซ่อนเอาไว้หลังต้นไม้ ให้ดูคลุมเครือและมองเห็นได้ยาก“ตกลงจะเอายังไง” เขาถามฉันอีกครั้ง ราวกับฉันเป็นคนเดียวที่ต้องตัดสินใจ “ก็คงจะย้ายค่ะ” ฉันตอบไปอย่างชัดเจน วูบนั้นฉันเห็นเขาส่ายหน้า ตามด้วยถอนหายใจ“ก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจ คนกลัวน่ะอยู่ไม่ได้หรอก พี่จะอยู่ต่อไป ให้เช่าต่อไป ใครจะมาฟ้องมาอะไรก็เชิญ พี่ไม่มีอะไรจะเสียหรอก”..........แดดยามบ่ายไม่มี ลมไม่พัด ใบไม้ไม่เคลื่อนไหว ฝนกำลังจะตก ยามบ่ายของทุกวันที่ฉันจะนั่งมองต้นไม้พร้อมจิบชา จากนี้ไปก็คงไม่ได้ทำแบบนั้นที่นี่ การมองหาบ้านใหม่อีกครั้ง การเตรียมตัวเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ อย่างที่ต้องทำ แต่ก็คงไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกก็แค่การย้ายบ้านสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉันวันนี้ ไม่ใช่เรื่องธุรกรรมเอกสาร ไม่ใช่การฉีกสัญญาหรือความรู้สึกที่โดนหลอก แต่แววตาคู่นั้น และสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด ทำให้ฉันนึกถึงความลับของจักรวาลที่ว่าด้วยความซับซ้อนของมนุษย์ “ยามสุขนั้นมองกันไม่เห็น ยามมนุษย์ตกต่ำนั้นต่างหาก ที่จะวัดคุณค่าของตัวเขาได้มากที่สุด”
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น การกลับบ้านในแต่ละเย็นจึงเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ และเวลาอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ อีกหลายคน จวบจนเมื่อเราเติบโตขึ้น ฉันเข้าเรียนต่อมัธยมต้นในโรงเรียนประจำอำเภอ ระยะทางในการกลับบ้านแต่ละวันก็ยาวมากขึ้น ระหว่างทางนั้น มีเพียงร้านหนังสือเช่าของคนจีนในตลาด ที่จะต้องแวะทุกวัน นอกนั้นเป็นบางโอกาส ที่จะไปเดินเล่นตลาดบ้าง เล่นกีฬา หรือไปเที่ยวบ้านเพื่อน การกลับบ้านเป็นกิจวัตรที่คงเดิม เวลาเดิม เส้นทางเดิม เพียงแต่เวลาเดินทางที่มากขึ้น ก็ทำให้ได้อยู่กับตัวเองและพิจารณาหลายๆ อย่างมากขึ้นไปด้วยจวบจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฉันไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ คำว่าบ้านนั้นห่างไปมากกว่าที่เคยห่าง เพิ่งรับรู้ว่าในวัยที่ต่างขึ้น ในเวลาที่เราโตพอจะกลับบ้านได้เองโดยไม่ต้องมีใครไปรับไปส่ง  เรากลับมีระยะทางกลับบ้านที่ไกลมากขึ้น คำว่า “กลับบ้าน” ในไดอารี่ของฉัน มีความห่างของระยะเวลาด้วยเช่นกัน จาก 6 เดือน เป็น 1 ปี จาก  1 ปี เป็น 3 ปี สิ่งพันธนาการมากมายในวัยที่เริ่มทำงาน ยิ่งทำให้คำว่า “กลับบ้านของฉัน” มีมูลค่าที่ดูจะยิ่งใหญ่ไปมากขึ้นทุกขณะ คืนหนึ่งในเดือนธันวาคม ของ 7 ปีก่อน ฉันนั่งพิงไหล่กับพี่สาว กอดแขนเขาเอาไว้แน่น อยู่บนรถไฟขบวนหนึ่งซึ่งมุ่งหน้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ ฉันใจเต้นตุบตับ เมื่อเสียงหวูดรถไฟดังขึ้นบริเวณชานชาลา  รถไฟจอดเทียบท่า อากาศยามเช้าหนาวเหน็บและสายลมพัดอ้อยอิ่ง หมอกปกคลุมเมืองจนแทบไม่เห็นภูเขา พี่สาวสะกิดให้ฉันเตรียมตัว เธอหันมาถามว่า “ตื่นเต้นไหม”“ใช่ ตื่นเต้น”ฉันตอบไปแบบนั้น ตามที่รู้สึก ทั้งที่เรายังไม่ถึงบ้านของเราหรอก เรายังจะต้องเดินทางต่อรถโดยสารอีกมากกว่าชั่วโมง และเรียกรถเข้าไปยังหมู่บ้านอีก ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสีแดง มีกลิ่นอับของเบาะที่ผ่านการใช้งานมานานนับสิบปี ฉันไม่มีความง่วง ไม่มีความเหนื่อยล้า มีเพียงความคาดเดามากมาย ว่าใครที่หมู่บ้านจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว พ่อจะแก่ลงไปมากไหม เขาจะเห็นฉันแปลกไปหรือเปล่า เราจะยังคงหยอกเล่นกันได้ไหม ครอบครัวใหม่ของเขา จะยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า คำถามมากมาย เกิดก่อเวียนว่ายตายดับอยู่ในรถคันนั้น บางคำถามก็โปรยเล่นออกไปนอกกระจกรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ฉันยื่นมือออกไปยังนอกหน้าต่าง มองไปยังภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ป่า และกลุ่มหมอกควันที่ดำรงอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยใจที่มีความสุข ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่รู้ อย่างไรเสีย ฉันก็กำลังจะกลับถึงบ้านไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว หลายครั้งในลำดับต่อมา สมุดไดอารี่ของฉันที่มีหัวข้อว่ากลับบ้าน นั้นมีทั้งคราบน้ำตาและรอยยิ้ม รายละเอียดในชีวิตของคนเราคงไม่เท่ากัน น่าแปลกที่บางครั้ง ฉันคิดถึงบ้านจนจับหัวใจ แต่กลับไม่ใช่เวลาที่ควรจะต้องกลับ บางครั้งก็จำเป็นต้องเดินทางเร่งด่วน ทั้งที่มีภาระมากมายรั้งท้ายไว้ บางเรื่องที่คิดว่าต้องใช้การอธิบายมากมายเพื่อให้คนที่บ้านเข้าใจ เราก็จึงนิ่งงันเสีย กาลเวลาทำให้การกลับบ้านเป็นเรื่องแปลกออกไป เราไม่ได้คิดแต่เพียงตัวเองเท่านั้น คนที่อยู่ในชีวิตเราและอยากพาเขาไปด้วย?  บางสิ่งในที่เราไม่พร้อมจะให้ใครรับรู้ ? หรือ ความฝันที่ลึกที่สุด สักวันหนึ่งฉันจะกลับมาอยู่ที่บ้าน?แล้วกาลเวลาก็พัดผ่านไป จนกระทั่งวันนี้ ฉันพาตัวเองกลับมาแล้ว แต่ก็พบว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี พ่อของฉันแก่ลงไปมากแล้ว เขายังมีฝัน ตัวตน และความนึกคิดในแบบของเขาเอง เราพบเจอกันบ่อยขึ้น ได้มีเวลาพูดคุย ถามไถ่ทุกข์สุขกันมากขึ้น ภายใต้ร่างกายแก่ชราของเขา ทุกครั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันจะมองให้นานที่สุดเท่าที่มีโอกาส มองเข้าไปยังหัวใจที่ไม่เคยทะลุปรุโปร่ง จิตใจของเขาซ่อนสิ่งใดเอาไว้ คำถามเร้นลับถามฉันว่า เราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเพราะระยะทางห่างไกล  หรือแท้จริงแล้ว มนุษย์เราล้วนมีชีวิตอิสระต่อกัน ไม่มีสายสัมพันธ์ที่แท้จริงจะทำให้เราเข้าใจกันได้ทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ฉันจึงเลือกที่จะหาบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งเอาไว้อาศัย เช่นเดียวกับพี่สาว เราต่างอยู่บ้านคนละหลัง มีระยะเวลากลับบ้านที่ไม่เท่ากัน มีไดอารี่คนละเล่ม เราเขียนอะไรไว้มากมาย ภายใต้การใช้ชีวิตของตัวเอง การกลับบ้านของฉันเป็นอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว ระยะทางสั้นลง ได้กลับบ่อยมากขึ้น แม้จะไม่เทียบเท่ากับตอนเป็นเด็กๆ แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ว่า บางที การกลับบ้านอาจจะมีระยะทางที่เท่าเดิมอยู่เสมอ“พ่อส่งข่าวมาว่าปลาในกระชังกำลังโต และหมู่บ้านจะมีงานบุญเดือนถัดไป”ใครคนหนึ่งมากระซิบบอกข่าว เขาเพิ่งกลับบ้านมา แถมมีน้ำใจหยิบหน่อไม้ อาหารหลายอย่างมาฝากด้วย ฉันอมยิ้ม ไม่ใช่ความหิวหรือดีใจ แต่เป็นความอบอุ่นข้างในลึกๆ เมื่อคิดถึงว่า “ระยะทาง” นั้นใกล้พอที่คนจะฝากอาหารแก่กันได้ พ่อก็คงยังเหมือนเดิม ไม่มีการบอกว่าอยากให้กลับบ้านเมื่อไหร่ บางครั้งเขาเองก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่า ว่าบ้านของเขาอยู่ไกลแสนไกล มาปักหลักยังหมู่บ้านปัจจุบันก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับบ้านจริงๆ “บ้านและครอบครัว อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดิมไปตลอด แต่อยู่ในความหมายของสิ่งเหล่านั้น”คำพูดใครบางคนลอยมา ขณะฉันหิ้วถุงหน่อไม้กลับเข้าไปในครัว ทำอาหารง่ายๆ ในบ้านเช่าที่ดูแลอย่างดี เพียงพอจะใช้คำว่า “กลับบ้าน” ได้เสมอเมื่อจากไปไหน ถึงแม้อีกสักวัน ก็อาจจะต้องไปจากที่นี่ แสวงหาคำว่า “บ้าน” หลังใหม่ ระยะทางไกลกว่าเดิม แต่ฉันก็คงไม่เคยลืมบ้านหลังนั้นบ้านที่มีพ่อ และแม่ในอดีต บ้านไม้สีน้ำตาลที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ต้นไม้ที่เคยวิ่งเล่นในตอนเด็กๆ ที่ถูกโค่นและถมที่ใหม่ สวนกุหลาบของแม่ที่กลายเป็นลานซักผ้า ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว คนในครอบครัวใหม่ของพ่อที่ไม่สนิทสนมกัน จะอย่างไรเสียฉันก็ยังคิดถึง และยังอยากกลับบ้านเสมอการกลับบ้านที่อาจไม่ใช่การไปยืนอยู่ ณ ที่นั้นเสมอไป แต่เป็นเคารพและคิดถึงความเป็นบ้านในวัยเยาว์ ที่หล่อหลอมให้เติบโตมาถึงวันนี้ การค้นพบว่าลึกๆ แล้ว ระยะทางก็ยังเท่าเดิมอยู่เสมอ  โดยเฉพาะระยะทางในหัวใจ ณ ที่ซึ่งเรายังเดินทางกลับไปได้เสมอ ทุกครั้ง ทุกเวลา ที่อยากกลับ.