Skip to main content
Bralee
ตัวฉัน/สีสันแห่งชีวิตตัวฉัน...
โอ ไม้จัตวา
แสงพูไช อินทะวีคำ
ที่ ESCUDERO, ประเทศ Philippines“ไปทานข้าวกันเถอะ!”..............เธอเป็นคนค่อนข้างอ้วนท้วน  ยักไหล่เบาๆ...ปล่อยคำทักทายเหมือนกับเธอมีอำนาจสูงสุด ใช่จริงด้วยเพราะเวลานี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว หลายคนท้องร้อง คอยให้ผู้รับผิดชอบงานสัมมนาบอกให้หยุดพักได้“วันนี้ไปรับประทานอาหารในสถานที่แปลกๆ กันนะ”....เธอร้องบอก ขณะที่ทุกคนเร่งเดินออกจากห้องประชุมมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร......“เขาบอกว่าจะทานข้าวบนผิวน้ำ!”....หนุ่มฟิลิปปินส์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับผม“อ้าว! จะไปทานได้ไงล๋ะ?”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมองหน้าเขา แล้วหนุ่มคนนั้นก็มองหน้าผม ในที่สุดเราทั้งสองก็หัวเราะ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก เมื่อมันแปลกถึงขั้นนั้น. ผมและเขาเดินขนานกันไป แล้วผมก็เลี้ยวช้าย เขารีบมาดึงแขนผมไว้“ไม่ใช่ที่ร้านอาหาร...ไปทางนี้”แกบอกพร้อมดึงมือผมไปเบาๆ.......ที่นั้น....ต้องเดินลงตามบันไดคอนกรีต พอถึงริมน้ำ ผมทอดสายตามองรอบๆ นี่คือลานหินที่กว้างมาก โดยเจ้าของร้านใช้ไม้มาทำเป็นเสาค้ำ ด้านบนมีแผ่นสี่เหลี่ยมรองพื้นเพื่อใช้วางจานอาหาร ผู้คนที่มาทานอาหารจะต้องเดินค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังไปตามลานหินที่มีน้ำไหลลื่น...ผมถอดรองเท้าออก ค่อยๆ เดินลงสู่ผิวน้ำบนลานหิน ค่อยๆ ทอดน่องไปข้างหน้า จิกนิ้วเท้าลงกับลานหินเพื่อกันลื่น เมื่อได้อาหารแล้วก็ค่อยๆ เดินไปหาที่นั่ง ทานอาหารไป สายตาก็มองไปรอบๆ  หลายคนหัวเราะเบาๆ....บางคนหัวเราะชอบใจเมื่อมองเห็นคนลื่นลงไปที่พื้นลานหินใต้ผิวน้ำผมทานข้าวไป นึกถึงภาพของหลายๆ คนที่ลื่น หลายคนล้มลง แขนกระแทกกับหินทำให้แขนหัก หลายคนล้มหัวกระทบกับหินจนหัวแตก มองดูสายน้ำที่มีหยดเลือดสีแดงเข้มปะปน เพื่อนบางคนต้องช่วยเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ช่วยอยู่นั้นตัวเองก็ล้มลง เข่ากระแทกกับหินจนเข่าแตกไปอีก...“นี่...คุณคิดอะไรถึงดูเศร้าสร้อยขนาดนั้น?”“ไม่มีอะไรหรอก......” ผมเงยหน้ามองเพื่อนแล้วตอบเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ“มองดูหน้าคุณ มันฟ้องให้เห็นว่า คุณกำลังมีปัญหา...”“โอ...งั้นหรือ?”...ผมเดินออกจากร้านอาหารบนผิวน้ำ โดยไม่รอใครเลย แม้กระทั้งเพื่อนชาวอินโดนีเซียที่สนิทที่สุด เดินไปก็คิดไปด้วย“เอ่อ....กูบ้าหรือเนี่ย.....ทำไมต้องคิดอย่างนั้นด้วย”“ไม่....กูไม่ได้บ้า....”  คิดตอบเอง“ถ้างั้น....ผมบ้าหรือเปล่า?.......”
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
กัลกัตตาเป็นเมืองหลวงสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (มันยิ้มเห็นลิ้น “คิดว่านะ”)อาคารร้านตลาดหรือ Shopping Center ยังคงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมยุโรป ประเมินได้ว่า นับตั้งแต่คานธีปลดปล่อยอินเดีย “มันก็ยังอยู่อย่างนั้น ทรุดโทรมไปตามเวลาอย่างขาดการดูแล”ยามเช้า “ชั้นตั้งนาฬิกาปลุกออกไปเดินถนนตั้งแต่ 7 โมงเช้า” บนถนนย่านตลาดสด เวลาเหมือนหยุดนิ่ง เงียบสงบ ยามเช้าที่ไหนก็สวยใสอย่างนี้เสมอ ถนนลาดหินเหมือนจัตุรัสกลางในหนังสือวรรณกรรมอังกฤษ“ถนนลาดหินเหมือนฉากหนังหยองขวัญเรื่อง Jack the Ripper มากกว่าว่ะ”อืม .. หน้าโรงแรม ริมถนนตรงข้ามข้างคันโยกน้ำสาธารณะ เด็กน้อยคนนึงกำลังอาบน้ำ สีฟัน “ชั้นพยายามโฟกัส” ขณะวัดแสง เด็กน้อยรีบหลบหลังคันโยก (ทั้งที่ไม่มิด) หุบยิ้ม จ้องเขม็ง เดินหนีใกล้ๆ กัน มีผู้หญิงในชุดส่าหรีมอมอคนหนึ่งคุ้ยกองขยะ ...ร้านน้ำชาเป็นสภาของผู้ชายที่จะมานั่งเต๊ะจุ๊ยพูดคุยและอ่านหนังสือพิมพ์ จิบชานมสีน้ำตาลอ่อนๆ ในถ้วยดินเผา ดื่มหมดโยนถ้วยดินเผาลงพื้น กินแล้วโยนลงพื้น กินแล้วก็โยน จนมันบอกว่า เศษถ้วยดินเผาเกลื่อนถนนอีกฟากหนุ่มรถเข็นขายน้ำมะนาวกำลังผสมน้ำสีตุ่นๆ กับมะนาวสด จนไม่รู้ว่า กินไปแล้วท้องเสียเพราะมะนาวสดหรือน้ำสีตุ่น ลานกว้างหน้า Shopping Center กลายเป็นที่นอนของคนเร่ร่อน ไร้บ้านจำนวนมาก บางคนหรูหรามีเตียงเหล็กสานนอนเบียดกันและกัน ฝ่าเท้าดำปี๋ ขาก่ายเกยกันสองสามคน บางคนคุดคู้ใต้ผ้าห่มบางๆ เกลื่อนกลาดอยู่กลางลานเวลาดูเหมือนหยุดนิ่ง ยามเช้าที่ไหนในโลกมักสวยงามอย่างนี้เสมอ “ภาพอย่างนี้มีให้เห็นได้ทั่วไป เหมือนภาพ abstract ที่ไม่อาจบรรยาย” มันว่าห่างออกไปอีกบล็อกจะเป็นย่านตลาดสดเพิ่มดีกรีความจอแจที่คุ้นเคย คนขนไก่มัดขาไก่เอาไว้กับแฮนด์รถจักรยานเข็นไปส่งที่ตลาดสด ไก่นับร้อยชีวิตถูกแบ่งเป็น 4 พวง บนแฮนด์สองข้างและท้ายที่นั่งอีกสองข้างห้อยปุเลงๆ ไปบนถนนหินเหมือนกับฉากหนังสยองขวัญ Jack the Ripperผู้ชายเดินทูนของบนหัว บิดก้นไปมาขยับขาไวๆ เหมือนกับนักกีฬาเดินทน เดินกันให้ควั่ก เข็มนาฬิกาแห่งวันเริ่มทำงานอีกครั้งเมืองแห่งอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ ขณะที่ทัชมาฮาล คือ สถาปัตยกรรม อันน่าอัศจรรย์ใจหรือความเป็นเมืองแห่ง IT อย่างบังกาลอว์ อินเดียไม่ใช่ประเทศยากจนหรือประเทศโลกที่สาม เป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามประชาชนอินเดีย ยากจนคนกว่าครึ่งของมหานครกัลกัตตา ไม่เร่ร่อนไร้บ้านก็อยู่ในชุมชนที่เรียกได้ว่า สลัม“นั่นแหละ คือ อินเดีย”“เพื่อน (อินเดีย) ชั้นบอกมาว่ะ ส่วนอีกคนถามว่า ท้องเสียหรือของหายหรือเปล่า” เพื่อนผมหัวเราะขื่นๆหรือว่า นี่มันเป็นเรื่องปกติในทุกมหานครของโลก (การค้าเสรี) ...กิจกรรมยามเช้าเวลาที่หยุดนิ่งของคุณลุงเหมือนกับฉากหลัง คือ อาคารทรงยุโรปจากยุคอาณานิคมคุณลุงบนรถลาก กำลังรอผู้โดยสารร้านน้ำชาก่อนจะกลายสภาพเป็นสภากาแฟสำหรับผู้ชายไก่!ลานข้างตลาดขายปลา สีแดงธงรูปค้อนเคียวเธอกำลังเก็บกระดาษกิจวัตรประจำวันริมฟุตบาธ ก่อนจะออกไปทำงานคฤหาสน์บนลานหน้า Shopping Center
โอ ไม้จัตวา
ฉันเป็นคนขี้ขลาด ขี้กลัว จึงสร้างเกราะกำบังด้วยภาพของผู้หญิงปากไวใจหมาไว้ป้องกันตัวเอง เพราะรู้ว่าลึกลงไปที่กลางใจนั้น ฉันกลัวเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติฉันค้นพบเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อคราวที่คนกลุ่มหนึ่งนำพี่ของฉันไปกักตัวไว้ และฉันบังเอิญต้องติดตามไปด้วย  เพื่อความปลอดภัย เขาว่างั้น ขณะอยู่ในรถรักษาความปลอดภัยนั้น เสียงโทรศัพท์ประสานงานไปมา สติเริ่มมาแทนที่ความกลัว ปัญญาเริ่มวิ่งพล่าน กำโทรศัพท์แน่น ในความมืดฉันแอบโทรออกจากในรถหาเพื่อนร่วมบ้านซึ่งกำลังรอฉันอยู่ ฉันป้องปากกระซิบเบาที่สุดขณะเสียงที่ดังขึ้นข้างหน้า บอกเพื่อนว่า “ฟัง” แล้วซ่อนโทรศัพท์ลงต่ำ ไม่ให้แสงไฟหน้าจอลอดออกมาได้อย่างน้อย ณ เวลานั้นก็มีคนรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ฉันกลัวความปลอดภัยแบบนี้ หนาวเยือกเข้าไปในจิตใจเมื่อคิดว่าเสร็จศึกแล้วเขาจะเป็นฝ่ายแพ้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ชนะค้นพบว่าเราอยู่ในสถานที่ของผู้แพ้ฉันกลัวเมื่อรถถูกทุบกระจก คนทุบรถถืออิฐจังก้าเขวี้ยงเข้าไปที่หน้ารถ ชี้หน้าด่าว่าฉันจอดรถกีดขวางหน้าบ้านเขา ทำให้เขาเลี้ยวเข้าบ้านไม่ได้ เขาเมา ทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวมากขึ้น จำได้ว่าเดินไปบอกพี่ว่า รถโดนทุบ พี่หันมามองเฉยแล้วบอกว่า ก็แจ้งความสิ เรียกตำรวจมา แล้วหันไปคุยกับลูกค้าต่อ ฉันอึ้ง งง แล้วทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เป็นเรื่องของกฎหมาย  สถานีตำรวจยามดึก การเจรจาต่อรองของคนที่ก้าวร้าวรุนแรงต่อฉันสักครู่  เขายืนกุมเป้าอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจอย่างหวาดกลัว แล้วปล่อยให้ภรรยาตัวเองมาต่อรองค่าเสียหายกับฉันฉันกลัวการทำร้ายร่างกาย กลัวเจ็บ กลัวการบังคับ ข่มขู่ ทำให้เจ็บ ทำให้อาย ที่สำคัญคือกลัวการสูญสิ้นอิสรภาพ  นั่นนำพาให้ต้องหลีกเลี่ยงการทำสิ่งผิดกฎหมายทั้งปวง เริ่มตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อคความกลัวหลายอย่างเกิดขึ้นก่อนอารมณ์อื่น ๆ ที่ตามมาเมื่อตั้งสติได้แล้ว สมาธิ และปัญญากลับมาแล้ว ฉันเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางของเหตุผล กฎเกณฑ์  และกฎหมาย ในหนังสือสนทนากับพระเจ้า แปลโดย รวิวาร มีตอนหนึ่งถามฉันว่า เธอจะอยู่ด้วยความรักหรือความกลัว คำเดียวแต่ชี้นำความคิด และวิถีชีวิตอีกยาวไกล มันบอกหนทางภายภาคหน้า เส้นทางของหัวใจ แน่นอนฉันย่อมเลือกการอยู่ด้วยความรัก ฉันรักการถ่ายภาพ รักโลก ทำให้สายตาของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันอยากเห็น  ผู้ปกครองบ้านเมืองบอกว่าบริหารบ้านเมืองด้วยความรัก  รักชาติ รักประชาชน รักพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่การกระทำหลายอย่างบ่งบอกว่าออกมาจากความกลัว  เช่น กลัวความยากจน จึงต้องสร้างความร่ำรวย แล้วบอกว่าจะแก้ปัญหาความยากจนซึ่งไม่แน่นักว่าแก้ให้ใครข้าราชการหลายคนจำนองบ้านและที่ดินนำเงินไปซุกไว้ใต้โต๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งระดับขั้นและตำแหน่งที่สูงขึ้น  ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นระบบถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ทำ ลูกน้องก็ทำ และสักวันหนึ่งลูกน้องก็จะแซงหน้าตนขึ้นไป เงินหนึ่งล้านบาทสำหรับผู้นำในระดับเล็ก ๆ ของสังคม เงินหลักแสนในระดับเล็กลงมา “ปีเดียวก็คืนทุน”  หรือ “น้ำท่วมครั้งเดียวก็คืนทุน”  น้องคนหนึ่งถูกคุกคามจากคนที่เคยร่วมงานด้วย  ประสบการณ์และวัยทำให้เธอหวั่นไหว แม้หัวใจเธอบอกว่าไม่กลัว แต่เมื่อพบข้อความที่เต็มไปด้วยเหี้ยห่าและสารพัดสัตว์ที่เขาส่งก็อดเครียดไม่ได้  ความกลัวเหมือนยาลดกำลังใจ ขณะความรักเหมือนยาให้กำลังใจ ในเวลาวิกฤติของเพื่อนมิตร ฉันไม่รีรอที่จะเอ่ยคำว่า ฉันเป็นห่วง และให้กำลังใจ เพราะไม่มีสิ่งใดจริงแท้และทรงพลังมากเท่ากับกำลังจากหัวใจของตัวเอง แต่การให้กำลังใจจากคนรอบข้าง บางเวลาก็เหมือนจุดประกายถ่านที่กำลังจะมอดดับให้ลุกโพลงขึ้นมาสู้กับปัญหาได้เช่นกัน ฉันบอกน้องไปว่าอย่ากลัว ถ้าเรากลัว สิ่งแรกที่จะทำร้ายเราคือความกลัว  ถ้าเธอกลัวคนรอบข้าง พ่อ แม่ พี่ ก็จะกลัวกับเธอ โชคดีที่พ่อและแม่ของเธอมีวุฒิภาวะและมีหัวใจที่เข้มแข็งอยู่ข้างกายลูกตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาวิกฤติอย่างน้อยหัวใจที่อบอุ่นก็นำพาเส้นทางที่อบอุ่นมาให้ ฉันให้น้องดูตัวแม่ของเธอซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก  เธอรักโลก รักผู้คน รักธรรมชาติ  ทำให้การกระทำที่ออกมานั้นออกมาด้วยความรัก แม้แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ยังออกมาจากความรักบ้านเมือง ไม่ใช่ความกลัวว่าผู้ปกครองจะโกงกิน เมื่อรักโลก โลกก็รักเรา สิ่งที่แม่ของเธอกลัวคืออะไรรู้ไหม ฉันถามน้อง เธอไม่รู้สิ่งที่แม่กลัวที่สุดก็คือความกลัวของเธอ นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันกลั่นออกมาจากหัวใจ และทำให้เธอ “พลันคิดได้” ก้าวเดินออกจากเส้นทางเดิมด้วยหัวใจที่แข็งแรงมากขึ้น 
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว ไม่กี่คนที่เหลืออยู่กำลังรอรถอุบล-กรุงเทพฯ เที่ยวสุดท้าย เห็นแสงไฟสว่างอยู่ห่างออกไปตรงป้ายที่เขียนว่า ห้องน้ำ 3 บาท “เดี๋ยวมานะ” ฉันบอกเธอแล้วลุกเดินไปดู หวังว่าจะมีขนมปังหรืออะไรที่เธอพอจะกินได้บ้างหน้าห้องน้ำเป็นแผงขายหนังสือพิมพ์ มีหนังสือนิยายเล่มละสิบบาทกองอยู่บนชั้น กับหนังสือเรื่องย่อละครโทรทัศน์ที่กำลังฉายอยู่ 4-5 เรื่อง มีตู้แช่ใส่น้ำอัดลมกับเครื่องดื่มชูกำลัง และมะม่วงดองอีก 2-3 ถุง ใกล้กันมีแผงเล็กๆ ที่เดาว่ากลางวันอาจจะขายขนมอื่นๆ แต่ตอนนี้ว่างเปล่าหันกลับไปมอง เธอยังยืนอยู่ที่เดิมและมองตรงมาที่ฉันอย่างไม่วางตาเดินกลับมาค้นเป้ใบมอมๆ ที่แบกมาตั้งแต่สุพรรณฯ ยันอำนาจเจริญ พอถึงอุบลราชธานีมันก็ยับเยินใกล้หมดสภาพ นอกจากสมุด หนังสือ เทปบันทึกเสียง กับเสื้อผ้าเลอะๆ ที่ยังไม่ได้ซักแล้ว ก็มีแต่ยากับผ้าพันแผล และขวดที่มีน้ำเหลืออยู่ไม่กี่อึก“ทำไงดีล่ะ” ฉันบ่นกับตัวเอง เห็นเธอขยับตัวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย คงหวังว่าฉันจะยื่นอะไรให้ แต่พอฉันส่ายหน้า บอกว่า “ไม่มีอะไรเลยจ้ะ” เธอก็หน้าสลดหลังจากยืนอยู่จนแน่ใจว่าไม่ได้อะไรแล้ว เธอจึงค่อยๆ เดินเกร่ไปแถวๆ ถังขยะใบใหญ่ที่สูงกว่าตัวเธอมาก มีถุงขนมปลิวอยู่ที่พื้นใบหนึ่ง เธอใช้เท้าเขี่ยๆ ดู พอเห็นเป็นถุงเปล่าก็เดินข้ามไป ฉันภาวนาขออย่าให้เธอคุ้ยขยะ เพราะกลัวว่าเธอจะถูกใครๆ รังเกียจ แต่อีกใจกลับหวังแทนเธอว่า จะมีใครทิ้งถุงไก่ย่างหรือข้าวผัดที่กินไม่หมดไว้บ้างไม่รู้ว่าคำภาวนาของใครได้ผล รถซาเล้งคันหนึ่งเข้ามาจอดใกล้ๆ ห้องน้ำ เป็นรถขายลูกชิ้นปิ้ง มีหลอดไฟเล็กๆ ติดไว้ดวงหนึ่งพอให้มองเห็นลูกชิ้นในถาด คนขายเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ มีผ้าขาวม้าพาดคอ เขากวาดตามองปริมาณคนที่รอรถอยู่ด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยฉันรีบลุกไปสั่งลูกชิ้นสี่ไม้ ตาโรยๆ ของเขาดูมีประกายขึ้นนิดหน่อย  “ไม่ต้องอุ่นนะ” ฉันบอกเมื่อเห็นเขาเขี่ยถ่านใกล้มอดในเตาแล้ววางลูกชิ้นลงบนตะแกรงปิ้ง“ไม่ต้องรีบหรอกคุณ รถเที่ยวท้ายยังไม่มาง่ายหรอก” เขาพูดเนือยๆ“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวร้อนเกินไป อ๊ะ ไม่ต้องจิ้มค่ะ” ฉันรีบบอกก่อนที่เขาจะจุ่มลูกชิ้นลงในโถน้ำจิ้มถือถุงลูกชิ้นไปหาเธอที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ ถังขยะ ยังไม่ทันเรียก เธอก็หันขวับมาหาราวกับจะรู้ ฉันพาเธอไปนั่งหลังเสาต้นใหญ่ ไม่อยากให้คนขายลูกชิ้นเห็น เธอจ้องมือของฉันที่รูดลูกชิ้นออกจากไม้ ตัวสั่นด้วยความหิวและตื่นเต้น ลูกชิ้นสี่ไม้หมดในพริบตา แต่เธอคงยังไม่อิ่ม หรือไม่ก็หิวมากยิ่งขึ้น เพราะเธอเอาแต่จ้องมองถุงเปล่าในมือของฉันและเลียริมฝีปากไม่หยุด ฉันจึงลุกไปหาคนขายลูกชิ้นอีกครั้ง“ลูกชิ้นอีกสี่ไม้ค่ะ ไม่ต้องอุ่น แล้วก็ไม่ใส่น้ำจิ้ม”คนขายมองถุงเปล่าที่ฉันถือติดมือไปด้วย หน้าคล้ำเฉยของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หยิบลูกชิ้นใส่ถุงตามสั่ง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดมือ แล้วถามขึ้นว่า “เอาไปให้หมาใช่มั้ย” ฉันสะดุ้ง อ้าว เห็นด้วยแฮะ ไม่พอใจหรือเปล่าเนี่ย“ใช่แล้ว ก็มันหิวนี่นา สงสารมันน่ะ คงจะไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อกี้มันกินเร็วจนดูไม่ทัน สงสัยมันไม่อิ่ม เลยต้องมาซื้ออีก” ฉันรีบอธิบายยืดยาว ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าลูกชิ้นคุณภาพแย่จนฉันต้องเอาไปให้หมาแต่ทันใดนั้น เขาก็ยิ้ม เป็นยิ้มใสๆ ที่ทำให้หน้าดำคล้ำนั้นสว่างขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ“รู้มั้ย มันเป็นหมาแม่ลูกอ่อนนะ” เขาบอก “มันหิวบ่อยเพราะลูกมันดูดนม” ท่าทางเขาเหมือนผู้ใหญ่ที่ตั้งใจจะอธิบายอะไรสักอย่างกับเด็ก ทั้งที่เขาคงอายุน้อยกว่าฉันหลายปี“ใครเอามันมาทิ้งท่ารถก็ไม่รู้ มันออกลูกอยู่ตรงโน้นแน่ะ” เขาชี้ไปแถวๆ ริมกำแพงอีกฟากหนึ่งของสถานีขนส่ง ฉันมองตามมือเขา เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของพุ่มไม้ “ลูกมันมีสามตัว ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น วันไหนผมมาขายแถวนี้ ผมให้มันกินลูกชิ้นทุกทีแหละ ทีละไม้สองไม้ เห็นมันแล้วคิดถึงหมาที่บ้าน”“แล้วบ้านพ่อค้าอยู่ไหนล่ะคะ” ฉันถาม“บ้านผมไม่อยู่นี่ ผมคนบ้านโป่ง ราชบุรี ผมมาหางานทำ” เขายื่นถุงให้ฉัน ในนั้นมีลูกชิ้นห้าไม้ ฉันกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็บอกว่า“ผมแถมไม้นึง เอาให้หมา”..........แม่ลูกอ่อนกินลูกชิ้นหมดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอยืนกระดิกหางให้ฉันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเต้านมแกว่ง ข้ามพื้นที่จอดรถของสถานีขนส่งหายไปในเงามืดของกำแพงฟากโน้น คงรีบกลับไปหาลูก พรุ่งนี้เธอจะได้กินอะไร จะอิ่มบ้างไหม หรือจะวิ่งหิวโหยต่อไป ไม่มีใครบอกได้ คนขายลูกชิ้นถีบซาเล้งจากไป พรุ่งนี้เขาจะยังขายลูกชิ้น หรือจะได้งานใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนใจกลับไปบ้านเกิดที่มีครอบครัวและหมาๆ รออยู่ เขาเองก็อาจจะยังตอบไม่ได้เช่นกันลมต้นฤดูหนาวพัดมาแผ่วๆ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงคนรัก มีกล่องกระดาษใบใหญ่ข้างตัว ม้านั่งปลายสถานีมีผู้ชายคนหนึ่งนอนคู้ตัวหลับอยู่ ทุกคนกำลังรอรถที่จะพาไปสู่จุดหมาย อาจเป็นปลายทางของบางคน และเป็นจุดเริ่มต้นของอีกบางคนฉันกลับมานั่งกอดเป้ใบเก่า ใจนึกถึงแม่และสมาชิกบ้านสี่ขา คิดถึงช่วงเวลาอบอุ่นของการกลับบ้าน แล้วก็คิดถึงการทำงานกับการเดินทางที่ไม่รู้จบ วันพรุ่งนี้ของแต่ละคนอาจมีความหมายไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคงเป็น “ความหวัง” ที่ทำให้เรามีกำลังใจยิ้มรับวันใหม่ที่จะมาถึง รวมทั้งเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เรื่องของเรื่อง คือว่า เพื่อนผมไปอินเดีย ดินแดนแห่งโลกอารยธรรมตะวันออก ..มันว่าของมันว่า ภาพสวยมากนะแก ..ผมตาโต ..เท่าไข่นกกระจอกเทศผมเลยถือโอกาสให้มันเล่าเรื่องที่อินเดียให้ฟัง ..“แก ชั้นไปอินเดียมา” มันว่า แถมต่อท้ายอย่างน่าฟัง “นั่นหน่ะ เป็นประเทศที่ชั้นอยากไปเป็นอันดับหนึ่งเชียวนะ”เมืองระดับอารยธรรมเก่าแก่ของโลก เต็มไปด้วยนักพรตในกลิ่นอายของศาสนาฮินดูอย่างในหนังสารคดี โยคีริมฝั่งแม่น้ำคงคา วัดฮินดู อย่างภาพของเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกหรือทัชมาฮาล อย่างในภาพทัวร์ท่องเที่ยว (อันหลังนี่ผมนึกภาพเอาเอง อิอิ)หลังจากที่เครื่องลงจอดเมืองกัลกัตตา สนามบินแห่งนั้นดูทรุดโทรม ที่น่าสังเกต “ชั้นมองไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน” มันขึ้นเสียงสูง พนักงานจะเป็นผู้ชายในชุดแต่งกายลำลอง ไม่อยู่ในยูนิฟอร์มใดใดที่ให้เชื่อได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสนามบิน นอกจาก ชายในเครื่องแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่อจับแท็กซี่ออกจากสนามบินมุ่งเข้ามหานครกัลกัตตาได้ “รถติ๊ดติดว่ะแก ไม่ได้ติดแหง็กแบบบ้านเรานะแต่ดูวุ่นว๊ายวุ่นวายมากกว่า” ที่สำคัญ มันออกปากว่า ถนนอินเดียเหมือนไม่มีเลน บีบแตรอย่างเมามัน (บ่อยครั้งนานกว่า 10 วินาที) และดูเหมือนว่าทุกคนร่วมใจกันทำกิจกรรมทุกอย่างบนถนนราวกับว่าคนเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน .. คนเดินทาง ,ฝูงแพะ ,ไม้ไผ่ในเกวียนสำหรับสร้างปราสาทจำลองในเทศกาลทางศาสนา ,คนขี่จักรยาน ,คนทูนของบนหัว ,รถหกล้อก่อสร้าง ,รถแท็กซี่ราวกับว่าคนในเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน มันย้ำหญิงสาวแปะบินดี (เครื่องประดับชนิดหนึ่งที่หญิงชาวฮินดูใช้แปะระหว่างคิ้วเพื่อความสวยงาม) ในชุดสาหรี่สีฉูดฉาด (ฟ้าเหลืองชมพู บานเย็น แดงม่วงเขียว) กะเตงลูก ยืนโปรยรอยยิ้มอิดโรยอยู่บนฟุตบาธ เมื่อรถวิ่งเข้าในเขตกลางเมืองทุกอย่างจะจอแจยิ่งขึ้น ยิ่งรถติดไฟแดงจะมีเด็กๆ มาเคาะกระจกขอเงิน         “แกลองคิดดู กลางสี่แยกแท้ๆ มีคนมายืนสีฟัน อาบน้ำ กันจะจะ”โรงแรม Lytton กลางเมืองกัลกัตตา ตกแต่งสไตล์อังกฤษจ้าวอาณานิคม กลายเป็นที่พักชั่วคราวของมัน ทั้งอึม ครึมและสมถะในขณะเดียวกัน ทั้งในแง่ของสีพื้นหรือการใช้เฟอร์นิเจอร์หนุ่มวัยกลางคนขับเมอร์ซีเดส เบ๊นส์ SLK แบบสปอร์ต เปิดประทุน เข้ามาที่ลานหน้าโรงแรม “จอดปุ๊ปนะแก พนักงานแทบกระโดดเข้าต้อนรับ” ชายหนุ่มลงจากรถโยนกุญแจให้พนักงานอีกคนเอารถไปจอดไม่ไกลนัก เพิงเล็กๆ หลายหลัง ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา“เหลือเชื่อว่ะ” มันครางออกมาสองบล็อกถัดจากโรงแรม หนุ่มใหญ่นายนี้ เข็นจักรยานขนผักซะจนมองเห็นเส้นเอ็นปูดโปนชุมทางรถ คุณแม่วัยแรกรุ่นอุ้มลูกรอรถหนุ่มขายมะนาวและมันฝรั่งพร้อมตาชั่งแบบโบราณ เสนอขายสินค้าของเขาอยู่ริมฟุตบาธไม่ไกลจากชุมทางรถแท็กซี่กัลกัตตา ระหว่างรอผู้โดยสาร อ้อยอิ่งไปกับความเคลื่อนไหวที่เห็นตรงหน้ากราฟฟิตี้แบบอินเดียกลัวหาย!
ภู เชียงดาว
สิ่งดี ๆ ในชีวิต พ่อค้าแวะมาหาคนสวนที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ตรงหน้ากระท่อม “สวัสดีครับคนสวน” พ่อค้าทักทาย “ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้ คุณคงสนใจเป็นแน่” และเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของคนสวน พ่อค้าก็เริ่มพูดธุระที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนสวนจะต้องขยายพื้นที่ปลูกกุหลาบเพิ่มขึ้นและพ่อค้าจะเป็นคนเอาไปขายในเมือง “คนสวน ด้วยความชำนาญของคุณ กุหลาบของเราจะสวยงามที่สุดในเมือง” พ่อค้าสรุปด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “ขอบคุณแต่เราไม่สนใจ” คนสวนตอบพร้อมยิ้มอย่างเคย “แต่คุณจะได้เงินเยอะ...” พ่อค้าว่า ท่าทางแปลกใจ “ผมไม่สนใจเงินทองหรอก” “ใครๆ ก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น...” “แต่ไม่ใช่ผม” “คุณพูดเช่นนั้นได้ยังไง เงินเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต...” “ไม่รู้สิ! ผมกินอิ่มนอนหลับทุกวัน ผมมีเสื้อผ้าใส่ มีกระท่อมไว้พักพิง ยามค่ำคืนอันหนาวเย็น”  คนสวนตอบอย่างสงบ พ่อค้าไม่อยากจะเชื่อว่าคนสวนปฏิเสธข้อเสนอของเขา “และอีกอย่าง...” เขาไม่ยอมแพ้ “คุณจะได้ทำงานที่คุณชอบนะ คนสวน” “ผมทำงานที่ผมชอบอยู่แล้ว” คนสวนลุกหนีไป ทิ้งให้พ่อค้าอ้าปากค้าง เขาหุบปาก ลุกขึ้นแล้วออกไปจากสวน พลางบ่นพึมพำว่า “ฉันไม่เข้าใจคนดื้อรั้นพวกนี้เลย ยอมอยู่อย่างยากจน แต่ไม่สนใจสิ่งดีๆ ในชีวิต” คนสวนใช้เวลาช่วงบ่ายนั้น สดับเสียงเพลงของนกและเฝ้ามองความงามของอาทิตย์อัสดงที่ธรรมชาติดลบันดาล. จากหนังสือ “สวนแห่งชีวิต”Grain เขียน, ภารณี วนะภูติ แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง   ผมอ่านงานชิ้นนี้แล้ว ทำให้ครุ่นนึกไปถึงชาวบ้านในหลายๆ พื้นที่ ที่ผมเคยเดินทางไปเยือน ไปนั่งพูดคุย เฝ้าถาม เรียนรู้ ถึงวิถีความเป็นอยู่ของชีวิตของคนทำนา ทำสวน ทำไร่ กลางทุ่งนาป่าเขานึกไปถึงความเรียบง่ายของพ่อเฒ่าชาวปวาเก่อญอบ้านแม่คองซ้าย ซึ่งตั้งอยู่ฉากหลังของดอยหลวงเชียงดาว จำได้วันนั้น “พะตีศรี” พาพวกเราลัดเลาะทุ่งนา ลำห้วย ไปตึดแค เอาเศษไม้ใบหญ้า ดินเหนียวโปะกั้นทางน้ำอีกสายให้แห้ง ก่อนลุยโคลน ก้มงมจับปลา ปู กุ้ง ส่วนหมู่แม่หญิงปวาเก่อญอช่วยกันก้มเก็บเด็ดยอดผักกูด ผักไม้ไซร้เครือริมห้วย อีกกลุ่มหนึ่งช่วยกันก่อไฟ หลามปลาด้วยกระบอกไม้ไผ่ ใส่ยอดผักกูด เติมพริก ใส่เกลือ เพียงเท่านั้น ก็ได้อาหารมื้อเที่ยงที่แสนเอร็ดอร่อยนึกไปถึงใบหน้าของ “พ่อปรีชา ศิริ” ปราชญ์ปกาเกอะญอ ผู้นำธรรมชาติแห่งบ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข อารมณ์ดี“ทุกวันนี้ เฮาถือว่าหมู่บ้านของเฮานั้นร่ำรวยแล้ว แต่ไม่ใช่ร่ำรวยเงินทอง แต่ร่ำรวยธรรมชาติ เฮามีทุกอย่าง มีดิน น้ำ ป่า มีอากาศให้หายใจ มีอาหาร ยาสมุนไพร เฮาอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ที่ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนคนข้างนอก...” ใช่, ในหลายๆ พื้นที่ หลายหุบเขา หลายดงดอย ที่พี่น้องชนเผ่าอาศัยอยู่กัน ต่างมีวิถีที่คล้ายคลึงกัน ในทุ่งนา ทุ่งไร่ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ปลูกข้าวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้พื้นที่นาปลูกพืชผัก เก็บกินได้ตลอดปี ไม่ว่า แตงกวา หัวเผือก หัวมัน ผักกาด งา ฟักทอง ถั่วฝักยาว พริก มะเขือ ฯลฯ จนพูดได้เต็มปากเลยว่า ชาวบ้านไม่ต้องพึ่งพาตลาดข้างนอก เพราะเอาทุ่งนาเอาไร่หมุนเวียนเป็นตลาดสด คนที่นี่จึงไม่เคยอดตายและทำให้นึกไปถึงคำพูดของ “ป๊ะป่า” ชาวบ้านลาหู่บ้านก็อตป่าบง ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว ที่บอกย้ำกับผมในวันที่พาผมเข้าไปดูแปลงเพาะกล้ากาแฟ กลางไร่ข้าวโพด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา“ผมว่าอยู่แบบพออยู่กิน ไม่ต้องรวยก็ดีเหมือนกัน รวยแล้วเป็นทุกข์ เห็นทักษิณมั้ย รวยแต่ไม่ได้อยู่บ้าน...”จริงสิ, บางที... “สิ่งดี ๆ ในชีวิต” คงไม่ใช่วัดกันที่ความร่ำรวยหรือคนรวย แต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต อาจเป็นเพียงการใช้ชีวิตอยู่กับความเรียบง่ายธรรมดา อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้และรักษา เฝ้าดูทะนุถนอม ด้วยความรักและความเข้าใจ.
สุมาตร ภูลายยาว
ภาพของชายชราวัย ๗๕ ปี กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บริเวณระเบียงกระท่อมแจ่มชัดขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ กุ้งสีชมพูขนาดนิ้วก้อยหลายสิบตัวนอนนิ่งอยู่ในจานเบื้องหน้าของชายชรา ถัดจากจานกุ้งไปเป็นถ้วยน้ำพริกปลาร้าที่กินเหลือจากเมื่อวานรายการอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดคืออาหารมื้อเย็นสำหรับชายชรา     ลูกแมวสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล ตัวหนึ่งสีขาว หมอบคลอเคลียอยู่ด้านข้าง นานครั้งมันจะเดินมาหยอกล้อเล่นกัน พอหยอกล้อกันจนหนำใจมันก็กลับไปนอนนิ่งอยู่ที่เดิม บนท้องฟ้าอาทิตย์อัสดงลงไปไม่นานนัก ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างเป็นสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำหลังจากอิ่มหนำสำราญ ชายชราก็จัดแจงเก็บกระติ๊บข้าวไว้บนกล่องโฟมที่ห้อยแขวนลงมาจากด้านบนของกระท่อม ในกล่องโฟมมีทั้งพริก เกลือ หัวหอม กระเทียม เมื่อจัดแจงเก็บของทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็ลุกไปดื่มน้ำ และกลับมานั่งที่เดิม จากนั้นก็ควักยาเส้นจากกระป๋องมาม้วนดูด เนิ่นนานที่ควันบุหรี่ลอยหายไปในความมืด หลังแสงไฟวูบสุดท้ายจากปลายบุหรี่แดงขึ้น ชายชราก็ดีดบุหรี่มวนนั้นทิ้งออกไปในความมืดพูดเรื่องบุหรี่แล้ว ชายชราคิดมาหลายครั้งว่าจะเลิก และก็ลองทำดูแล้ว แต่เอาเข้าจริงแกก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หาปลาว่ายากแล้ว แต่การเลิกบุหรี่ยังยากกว่าเป็นหลายเท่านอกกระท่อมตอนนี้ความมืดโอบคลุมทุกทิศทุกทางไว้ด้วยอ้อมแขนอันมหึมาแห่งรัตติกาล... หลังดาวประจำเมืองปรากฏ แสงไฟจากไส้ตะเกียงก็สว่างวูบขึ้น ความมืดที่รัศมีของแสงไฟส่องถึงจางหายไป แต่ความสว่างของมันก็กินบริเวณไม่กว้างมากนัก หากมีคนหรือวัตถุสิ่งใดผ่านมาคงไม่อาจรับรู้ได้ หากเจ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นไม่เข้ามาในรัศมีของแสงไฟลูกแมวทั้งสองตัวเดินวนรอบตะเกียง ๒-๓ รอบ และเดินกลับไปนอนนิ่งอยู่ริมระเบียงกระท่อมด้านนอก สายลมหนาววูบใหญ่พัดมาเย็นเยือก ชายชรานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อมอย่างไร้จุดหมายปลายทาง...พระจันทร์เสี้ยวข้างแรมห้อยแขวนอยู่มุมหนึ่งของท้องฟ้า ดาวดวงน้อยกระพริบพร่างพรายระยิบระยับ หลังดีดก้นบุหรี่ก้นที่สองทิ้งไป เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้น ในห้วงอารมณ์นั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจลูกแมวทั้งสองตัวที่นอนนิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อชายชราขยับที่นอน เสื่อผืน หมอนใบ และมุ้งสีขาวเก่าซีดจนความขาวของมันมลายหายไป เครื่องนอนทุกอย่างถูกจัดวางในตำแหน่งเดิมเช่นทุกวันที่ผ่านมา หลังผูกหูมุ้งเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็ดับวูบลง อาณาบริเวณรอบกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืดแม้ว่าชายชราจะไม่ใช่ผู้ทรงศีล และวิถีทางที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่วิถีทางของผู้ทรงศีล แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอน ชายชราก็ไม่ลืมสวดมนต์ไหว้พระ ในความดึกสงัดของค่ำคืนมีเพียงแมลงกลางคืนระงมร้องขับกล่อมรัตติกาล... เนิ่นนานที่ชายชราเดินทางไปสู่การหลับ หลังจากพระจันทร์ข้างแรมเดินทางมาถึงครึ่งขอบฟ้า แกก็ขยับตัวลุกขึ้น และเดินออกมานอกกระท่อม แสงไฟจากไฟฉายสาดส่องไปตามทางเดินเล็กๆ ลงไปสู่ท่าน้ำ  ตรงท่าน้ำมีเรือลำหนึ่งจอดสงบนิ่งอยู่ หลังปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้แล้ว ชายชราก็แก้เชือกที่ผูกเรือไว้กับเสาไม้ไผ่ริมฝั่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเรือ และค่อยๆ พายออกไปจากท่าเสียงไม้พายกระทบกับสายน้ำดังฝ่าความมืดมา หากไม่เพ่งมองให้แจ่มชัดก็ยากจะรู้ได้ว่าในความมืดนั้นมีคนกับเรือ ชายชราบังคับเรือไม่ให้ไกลจากริมฝั่ง โดยเรือมุ่งหน้าล่องตามน้ำลงไป ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย ห่างออกไปจากริมฝั่งประมาณ ๑ เมตร ตรงนั้นมีเสาไม้ไผ่ขนาดย่อมปักอยู่ในน้ำ บริเวณโคนเสามีเชือกผูกกับกิ่งไม้ติดอยู่ เมื่อไปถึงชายชราก็ยกกิ่งไม้ขึ้น จากนั้นก็ใช้สวิงช้อนเข้าด้านใต้ของกิ่งไม้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งเขย่ากิ่งไม้อย่างแรง เพื่อให้กุ้งที่เข้าไปอาศัยในกิ่งไม้หล่นลงในสวิง เมื่อแน่ใจว่ากุ้งในกิ่งไม้หล่นลงในสวิงหมดแล้ว แกก็พายเรือไปสู่เป้าหมายใหม่ต่อไปเวลาในการทำงานของชายชราผ่านไปเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง เมื่อไปถึงเป้าหมายสุดท้าย เสียงไก่ขันครั้งแรกของค่ำคืนก็ดังข้ามมาจากอีกฟากฝั่งน้ำ...ชายชราเบนหัวเรือให้กลับมาทางเดิมอีกครั้ง เมื่อมาถึงเสาต้นเดิมก็จัดแจงผูกเรือเข้ากับเสาไม้ไผ่ หลังจากผูกเรือเสร็จก็เอากุ้งใส่ลงในกระชังแช่ไว้ในน้ำ หลังภารกิจเสร็จสิ้น ชายชราก็เดินกลับขึ้นมาตามทางเดิม แสงไฟจากไฟฉายส่องสว่างน้อยลงกว่าเดิม เพราะแบ็ตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที แม้ว่าแสงสว่างจะมีน้อย แต่หาได้เป็นอุปสรรคไม่ เพราะทุกตารางเมตรบนพื้นที่แห่งนี้ ชายชราย่ำเหยียบมาหลายร้อยหลายพันครั้ง หากเปรียบเทียบระยะทางเดินขึ้น-ลงจากกระท่อมไปท่าน้ำในแต่ละวัน ชายชราคงเดินทางไกลไม่ต่ำกว่า ๗-๘ กิโลเมตรต่อวันเมื่อมาถึงกระท่อม แมวสองตัวก็ส่งเสียงร้องทักออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาหา หลังจากนั่งลงบนพื้นกระท่อมเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็สว่างวูบขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับแสงไฟจากปลายบุหรี่ที่วูบแดงขึ้นเป็นครั้งคราว เมื่อชายชราสูดควันเข้าปอดหลังจากแสงไฟจากตะเกียงดับลง เสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืนก็ดังฝ่าความมืดข้ามฝั่งน้ำมา สิ้นเสียงไก่ขัน ชายชราก็ล้มตัวลงนอน และเดินทางไปสู่การหลับ ในห้วงแห่งการหลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า ชายชราฝันถึงเรื่องราวใด แต่หากลองสันนิษฐานดูแล้ว สำหรับคนหาปลา ในห้วงเวลาแห่งการหลับไหล คนหาปลาจะฝันถึงสิ่งใด นอกจากปลาตัวโตติดเบ็ด เพราะปลาที่ได้จะเดินทางออกจากแม่น้ำ เพื่อไปแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของเบ็ดมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนแก่นอนน้อยและตื่นเช้า คำกล่าวนี้คงเป็นจริง เพราะก่อนฟ้าสาง แม้ว่าจะหนาวเหน็บ ชายชราก็ลุกขึ้นมาก่อไฟนึ่งข้าว หลังจากคดข้าวใส่กระติ๊บเรียบร้อย แสงแรกของวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ เพื่อเอาเรือออกเก็บกู้เบ็ด กู้มอง-ตาข่ายที่ใส่ไว้ตั้งแต่ตอนเย็นเมื่อวานเมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือเรียบร้อย ชายชราก็ติดเครื่องยนต์เรือ หลังเครื่องยนต์ติดเรียบร้อย ชายชราก็บังคับเรือทวนน้ำขึ้นเหนือ สายน้ำแตกกระเซ็นเป็นสายเข้ามาในเรือทุกครั้ง เมื่อชายชราเร่งเครื่องยนต์เรือ การขับเรือในช่วงหน้าแล้งขับยากกว่าในช่วงหน้าน้ำหลาก เพราะช่วงหน้าแล้งแก่งที่จมอยู่ใต้น้ำจะโผล่พ้นน้ำ คนขับเรือต้องคอยหลบแก่งให้ดี ที่สำคัญน้ำตรงใกล้แก่งจะไหลแรง บางแห่งก็ไหลวน ถ้าบังคับเรือไม่ดีแล้วก็มีสิทธิพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา หาการทำสมาธิหมายถึงการนิ่งและตั้งใจแน่วแน่ คงไม่แปลกนักถ้าจะกล่าวว่าการขับเรือก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่งสำหรับชายชราการขับเรือก็ไม่ต่างอะไรจากการขับรถ เพราะเรือต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามร่องน้ำที่เคยวิ่ง เช่นกันรถก็ต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามเลนของถนนที่กำหนดไว้ แต่หากว่าออกนอกเส้นทางเมื่อไหร่ก็ยากจะเป็นการคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ว่ากันว่าคนที่ขับเรือเก่งๆ ในสายน้ำสายนี้ กลางคืนไร้แสงไฟ พวกเขาสามารถพาเรือกลับถึงหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย การขับเรือในเวลากลางคืน คนขับเรือจะอาศัยจดจำทิวทัศน์สองฟากริมฝั่งน้ำเป็นเครื่องหมายในการเดินเรือ ช่วงวัยหนุ่ม ชายชราเป็นคนหนึ่งที่ขับเรือในเวลากลางคืนได้ดี แต่เมื่อสังขารเดินทางมาถึงช่วงปลายของการดำรงอยู่ในสภาพความเป็นมนุษย์ การขับเรือในเวลากลางคืนจึงเป็นสิ่งถูกยกเว้นสำหรับชายชราหากย้อนกลับไปเมื่อวานตอนเย็น หลังจากเรือลำสุดท้ายบนสายน้ำเงียบเสียงลงในตอนค่ำ แม่น้ำก็เหมือนจมอยู่กับความเงียบ เช้านี้แม่น้ำจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความเงียบงันอีกครั้ง...หลังบังคับเรือฝ่าลมหนาวมาประมาณ ๑๐ นาที ชายชราก็ข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำ ตรงที่ชายชราจอดเรือคือพื้นที่วางเบ็ดที่แกเคยวางเป็นประจำ จากจุดนี้มองกลับไปข้างหลังสามารถมองเห็นกระท่อมที่เพิ่งจากมาได้ พระอาทิตย์ยามเช้าค่อยสูงขึ้นเป็นลำดับ โมงยามของวันเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของโลก หากลองเปรียบเทียบระหว่างชายชรากับพระอาทิตย์ ในตอนนี้ชายชราไม่ใช่พระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่กลับกัน ชายชราคือ พระอาทิตย์ที่กำลังคืบคลานสู่ห้วงยามอัสดงแม้ว่าพระอาทิตย์ยามเช้าของฤดูหนาวจะงดงามเพียงใด ชายชราในวัย ๗๕ คงไม่มีเวลามานั่งชื่นชมความงามของยามเช้ามากนัก คงเพราะชายชราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาหลายปีแล้ว และยามเช้ามีความสำคัญสำหรับชายชรามากกว่าการมานั่งดูความงาม เพราะการขึ้นมาของพระอาทิตย์ เป็นเครื่องมือเร่งรัดในการทำงานสำหรับชายชราให้เร็วขึ้นกว่าเดิม...หลังพระอาทิตย์พ้นยอดเขาทางทิศตะวันออก นกฝูงหนึ่งก็โผบินจากเหนือลงใต้ เช่นกันเมื่อฟ้าเป็นของนก น้ำก็ย่อมเป็นของปลา นกอพยพมักเดินทางกันเป็นฝูง ปลาก็เช่นเดียวกัน การอพยพขึ้น-ลงของปลาก็ไปเป็นฝูง จะมีปลาบางชนิดเท่านั้นที่อพยพเคลื่อนย้ายเพียงลำพัง การอพยพของปลาไม่ได้อพยพเพียงชนิดเดียว แต่มีปลาหลายชนิดอพยพขึ้นเหนือพร้อมๆ กัน นอกจากปลาจะอพยพขึ้นมาพร้อมกันหลายชนิดแล้ว ปลายังอพยพขึ้นมาพร้อมกับสัตว์ชนิดอื่นด้วย มีเรื่องเล่าจากคนหาปลาว่า ปลากับนกบางชนิดเป็นสิ่งคู่กัน โดยเฉพาะปลาบึกกับนกนางนวล ทุกครั้งเมื่อคนหาปลาจะลงมือจับปลาบึก พวกเขาต้องสังเกตว่านกนางนวลบินขึ้นมาหรือยัง หากนกนางนวลบินขึ้นมาจากทางใต้แล้ว วันต่อมาปลาบึกก็จะขึ้นตามมาหรือบางทีนกนางนวลก็บินมาพร้อมกับปลาบึก หากเห็นนกนางนวล คนหาปลาก็จะลงไหลมองจับปลาบึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับการอพยพของปลากับนกหาได้มีในเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศลาวตรงสีพันดอนยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาและนกอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องเล่าที่ว่านี้เป็นเรื่องเล่าของนกสีดาและปลาข่า หากวันใดปลาข่าจะขึ้นมา นกสีดาก็จะขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่บอกว่า ในภพชาติที่แล้วปลาข่ากับนกสีดาเป็นคู่รักกัน เมื่อสิ้นภพสิ้นชาติด้วยความมั่นคงในความรัก ในภพชาติปัจจุบันพวกมันจึงเป็นสิ่งเกื้อหนุนกัน เพราะเมื่อปลาข่าขึ้นมา ปลาอีกหลายชนิดก็จะว่ายตามมาด้วย เมื่อปลาข่าว่ายขึ้นมาปลาเล็กๆ ชนิดอื่นก็จะว่ายตามขึ้นมาด้วย พอนกนางสีดามองเห็น มันก็จะคอยไปจับกินปลาอยู่ใกล้ๆ ปลาข่า ธรรมชาติต่างเกิดมาเพื่อเกื้อหนุนสรรพสิ่งไม่เลือกว่าจะเป็นสนิดใด แม่แต่กับมนุษย์เอง ธรรมชาติก็ได้เกื้อหนุนมนุษย์เช่นกันแสงแดดของวันเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ หลังจมอยู่กับการเก็บกู้เบ็ดเนิ่นนาน ชายชราก็หันหัวเรือมุ่งหน้ากลับมาตามทางเดิม ตอนไปกลับตอนกลับมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนไปเรือวิ่งได้ช้า เพราะวิ่งทวนน้ำ แต่ตอนกลับเรือวิ่งได้เร็วขึ้น เพราะล่องลงมาตามน้ำเมื่อกลับมาถึงท่าน้ำ ชายชราก็จัดแจงผูกเรือกับเสาไม้ไผ่เสาเดิม เมื่อผูกเรือเสร็จ แมวสองตัวก็กระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ จากนั้นมันก็ค่อยๆ เดินไปหาชายชรา เมื่อไปถึงชายชราก็หยิบกุ้งจากกระป๋องเอาวางให้มันกิน หลังกินหมด แมวทั้งสองตัวก็เดินกลับมาทางหัวเรืออีกครั้งหลังแมวทั้งสองตัวกระโดดลงจากเรือ ชายชราก็เดินมาทางหัวเรือแล้วนั่งลงใช้มือดึงเชือกผูกกระชังให้เข้ามาใกล้เรือ เมื่อกระชังมาถึงเรือ แกก็หยิบเอาปลาจากท้องเรือใส่ลงในกระชังแล้วปล่อยให้กระชังไหลกลับไปที่เดิมในการเอาเรือออกสู่แม่น้ำแต่ละครั้ง ชายชรามีเป้าหมายอะไรมากไปกว่าการหาปลาหรือไม่ คงไม่มีใครล่วงรู้ได้ บางทีในการออกหาปลาแต่ละครั้ง ชายชราอาจต้องการเพิ่มเติมจำนวนปลาให้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน หรือบางทีชายชราอาจต้องการสร้างหลักไมล์ในการเดินทางไปบนแม่น้ำให้กับตัวเอง หรือบางทีชายชราอาจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ นี่อาจเป็นการทำงานอย่างหนึ่งที่เคยทำอยู่ทุกวันก็เป็นได้ คำถามนี้ ชายชราคงจะเป็นคนคลี่คลายความสงสัยด้วยตัวแกเอง...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ท้องฟ้าและท้องน้ำดูจะละลายตัวเข้าหากัน หากไม่มีอ่าวริมน้ำแห่งนั้นขวางกั้นเอาไว้ ...ปลายสุดของสะพานฝั่งมอญ หมู่บ้านคนมอญสงบงัน ไร้เสียง เหมือนชีวิตของพวกเค้า ...\พี่เย็นเกิดที่เมืองไทย พ่อแม่มาจากฝั่งโน้น(ฝั่งพม่า) ถือบัตรสีชมพู (ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า) ก่อนจะแปลงสัญชาติเพิ่งได้สัญชาติไทยมาหนึ่งปี ส่วนสามีไม่มีบัตรอะไรทางอำเภอได้เข้ามาสำรวจแล้วแต่ยังไม่ได้ถ่ายบัตร ตอนนี้ถือหางบัตรพี่เย็นมีลูก 2 คน ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน เรียนที่โรงเรียนบ้านเด็กป่าลูกชายมีสูจิบัตรและได้รับสัญชาติไทยพร้อมแม่ ส่วนลูกสาวแจ้งเกินกำหนดไป 2 วันและจะต้องไปหาพยานมายืนยันว่าเกิดที่ดินแดนไทยและต้องจ่ายค่าพยานเป็นเงินจำนวนหนึ่งจนแล้วจนรอดไม่มีใครเป็นพยานให้วันนี้ ลูกสาวของเธอยังเป็นเด็กไม่มีสัญชาติ...เด็กๆ กำลังสนุกสนานกับการกระโดดน้ำบนสะพานมอญผืนน้ำสีเขียวจะแตกกระจายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าใต้สะพาน ชีวิตพี่เย็นว่างเปล่าลูกชายของเธอสภาพความเป็นอยู่ของพี่เย็น
เจนจิรา สุ
20 กันยายน 2550 เจ้าเขียวสะอื้น (มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ) ส่งเสียงครางกระหึ่มอุ่นเครื่องอยู่ใต้ถุนบ้าน ก่อนที่มันจะต้องเดินทางไกลในเส้นทางที่ฟ้าสวยแต่พื้นดินแสนขรุขระตรงกันข้าม สามีฉันจึงจัดแจงเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็คเครื่อง และเพิ่มตะกร้าหลังให้มันเพื่อบรรทุกสัมภาระที่ขนย้ายไปไม่หมด  ชาวบ้านหลายครอบครัวได้ย้ายไปดำเนินชีวิตที่หมู่บ้านใหม่ก่อนหน้าฉันหลายวันแล้ว แต่ฉันติดตรงที่ต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่หมอนัด จึงยังอาศัยอยู่ที่บ้านแม่สามีไปพลางก่อนเช้านี้เราจึงตัดสินใจจะเดินทางไปหมูบ้านใหม่กัน สำหรับฉันค่อนข้างจะตื่นเต้นเพราะยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของตัวเองสักที  เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของสามีและคนอื่นๆ ที่เดินเท้าลัดผ่านป่าไปมาระหว่างหมู่บ้านเดิมกับหมู่บ้านใหม่อยู่เสมอ  ความจริงระหว่างบ้านเดิมกับบ้านใหม่อยู่ห่างกันเพียงเดินเท้าทางท้ายหมู่บ้าน ขึ้นลงยอดเขายาวๆหนึ่งยอดสักสามสิบกว่านาทีก็ถึง แต่พอเดินทางด้วยถนนที่ตัดจากเมืองเข้าทางหมู่บ้านห้วยเดื่อ ผ่านหมู่บ้านห้วยปูแกงเป้าหมายการเดินทาง ก่อนจะมุ่งสู่ชายแดนทางทิศตะวันตก ต้องใช้เวลาเกือบสอชั่วโมง หากเป็นช่วงหลังฝนตกติดต่อกันทางจะยิ่งลำบากอาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิมเจ้าเขียวสะอื้นที่ต้องแบกบรรทุกสิ่งของสัมภาระ ทั้งตะกร้าหน้าตะกร้าหลังและผู้โดยสารอีกสามคนดูจะน่าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าสามีที่ต้องคอยควบคุมรถไม่ให้ลื่นไหลลงข้างทาง เพราะทางเป็นหลุมเป็นโคลน บางครั้งต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นนักกายกรรมไต่ล้อไปบนเส้นถนนที่เหลือไว้เพียงหน้ายางรถยนต์ ลูกน้อยยังนอนอยู่ในอ้อมแขน แนบใบหน้ากับอกมีผ้าห่มคลุมพันมิดทั้งหัวทั้งหาง (ขา) ส่วนสายตาของผู้ซ้อนท้ายเช่นฉัน เหม่อไปยังท้องฟ้าสีครามระบายเมฆใสที่ยังดีไม่มีวี่แววของฝน ป่าข้างทางเขียวชอุ่มตัดสีสันกับสายน้ำที่ข้นคลักดังสีน้ำชาใส่นมไหลบ่ามาอย่างรุนแรง น้ำปายยามนี้เหมือนสาวเจ้าอารมณ์ฉุนเฉียวเชี่ยวกราก ต่างจากเมื่อปลายหนาวสองปีก่อนเมื่อครั้งที่ฉันและเพื่อนๆ มาลอยตัวเล่นจับปูจับปลา น้ำปายสายเดียวกันกลับใสเย็นมองเห็นตัวปลา ทว่าใต้สายน้ำก็ไม่วายไหลรี่แรงดุจจิตใจสตรีที่ยากแท้หยั่งถึง แล้วอารมณ์กวีที่เพ้อไปไกลก็ต้องหวนกลับคืนสู่ปัจจุบันเมื่อปลายทางใกล้เข้ามาถึง สามีกระซิบบอกว่าพอถึงถนนราดยางที่ขาดห้วงจนเราลืมไปแล้วอีกครั้งก็จะถึงทางแยกเล็กๆ ข้างหน้า ที่เป็นทางเท้าพอให้มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเข้าไปได้ เราจะต้องจอดรถไว้ริมฝั่งตลิ่งด้านนี้เพื่อรอให้เรืออีกฝั่งหนึ่งมารับเราข้ามฟาก แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววว่า เรือที่บรรทุกนักท่องเที่ยวลำไหนจะเสียเวลาแวะจอดรับฉันกับสามีจึงตัดสินใจอุ้มลูกเดินลัดเลาะพงหญ้าที่มีรอยทางเดินเท้าเข้าใกล้หมู่บ้านไปอีกนิดเพื่อจะให้คนฝั่งตรงกันข้ามเห็นตัวเราและแล่นเรือมารับ  ทางเดินที่ว่านี้ต้องใช้เวลาอีกสิบกว่านาทีเล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆกันเมื่อลงเรือเป็นที่เรียบร้อย เราก็คิดว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วจู่ๆเรือที่กำลังกลับลำอยู่กลางน้ำเชี่ยวก็เกิดอาการเครื่องดับกระทันหัน แม้ว่าฉันจะทำใจเชื่อมั่นคนขับเรือแต่ดูอาการของคนขับเรือที่พยายามสตาร์ทเครื่องด้วยอาการขวัญเสียไม่น้อยไปกว่าสามี ทำให้รู้ว่าการข้ามเรือแต่ละครั้งก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะในฤดูกาลน้ำหลากเช่นนี้ “ไม่ค่อยอยากรับก็แบบนี้แหละครับมันอันตราย น้ำมันเชี่ยว” เมื่อถึงที่หมายคนขับเรือก็ชี้แจงถึงเหตุผลว่าทำไมต้องคอยอยู่ริมฝั่งนานๆ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเราค่อยๆ ปลอบขวัญกันไปโดยเฉพาะลูกน้อยที่กอดแม่เอาไว้แน่นในยามที่อยู่กลางสายน้ำเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเมื่อถึงบ้านห้วยปูแกงแล้วเราต้องเดินไปตามตรอกเล็กอีกประมาณสิบกว่านาที ทางที่แฉะไปด้วยโคลนตมและขี้วัว ทำให้ฉันเกือบเสียหลักลื่นล้มอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเรามองเห็นควันไฟหลายสายลอยคว้างเหนือหมู่บ้านที่เรียงซ้อนเป็นสองแถว ซึ่งแต่ละหลังรูปทรงและขนาดกระทัดรัดคล้ายๆ กันลานหน้าบ้านของแต่ละคนโล่งเตียนไม่มีใบไม้ใบหญ้ารกรุงรังเว้นเสียแต่บางหลังที่ยังไม่มีใครเข้าอยู่ก็จะเห็นหญ้าสาบเสือขึ้นอยู่รำไร หมู่บ้านกลางหุบเขาสวยกว่าที่จินจตนาการเอาไว้ สายน้ำห้วยสายเล็กไหลเอื่อยอยู่ริมด้านขวาก่อนจะเลี้ยวตัดขวางเป็นเสมือนด่านแรกเข้าหมู่บ้าน เราเดินบนหินก้อนเล็กเรียงกันเป็นสะพานเข้าหมู้บ้าน เมื่อสบสายตาเข้ากับผู้คนก็พบเห็นแววตาและสีหน้าที่ชื่นมื่นมีความสุขแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการทำงานปรับปรุงบ้านช่องห้องหอของตนเอง“เจ้าตัวเล็กกินข้าวอร่อยขึ้นนะ” เป็นคำบอกเล่าของพี่สะใภ้เมื่อฉันถามถึงความเป็นอยู่หลับนอนในที่แปลกใหม่“เหนื่อยนะทำบ้านทุกวันแต่ก็สนุกดีได้ทำนุ่นทำนี่ ไม่ได้อยู่เฉยเหมือนเมื่อก่อน”พี่ชายคนที่สองของสามีที่ย้ายมาอยู่คนเดียวในบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองบอกเล่า ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า  คนหนุ่มคนสาวที่นี่ก็มีไม่น้อยที่ยังไม่ได้แต่งงาน การทำงานร่วมกันด้วยวิถีชีวิตวัฒนธรรมดั้งเดิม ทำให้ฉันสังเกตเห็นสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้นกว่าเดิมของเขา เพราะหญิงชายต่างมีหน้าที่ของตนเองซึ่งต้องพึ่งพากัน ผิดกับเมื่อก่อนที่หญิงจะเป็นหลักของครอบครัวเพราะมีรายได้จากการขายของและโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเพื่อจะรับเงินเดือนที่นายทุนจ่ายเป็นค่าตอบแทน เมื่อเท้าเหยียบย่างขึ้นบนเรือนไม้ไผ่บ้านของตัวเอง ฉันก็พบกับความชื่นเย็นจากสายลมที่พัดเอากลิ่นต้นหญ้าแห้งโชยอ่อนแตะจมูก ควันไฟจางๆ ลู่เอนอยู่เกือบทุกมุมที่มองออกไปทางนอกเรือน เสียงกระดึงวัวขานรับเสียงร้องมอๆ อยู่แนวชายเขาเราสามคนจึงเผลองีบหลับยามบ่ายไปด้วยกายที่เหนื่อยล้าแต่ด้วยใจที่เป็นสุข.
ชิ สุวิชาน
เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มที่สั้นที่สุด เลื่อนไปยังหมายเลขเก้า ทุกคนจึงขึ้นรถตู้ เคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแสงอรุณ  เมื่อถึงมีทีมงานเตรียมข้าวกล่องไว้รอให้ทาน พอทานข้าวเสร็จพี่อ้อย ชุมชนคนรักป่า ก็มาบอกผมว่า  งานจะเริ่มบ่ายโมง  พร้อมกับยื่นใบกำหนดการให้ผมดู  ผมตื่นเต้นนิดหน่อยพอบ่ายโมง งานก็เริ่มขึ้น โดยการฉายสไลด์เกี่ยวกับป่าชุมชนที่หมู่บ้านสบลาน อำเภอสะเมิงเชียงใหม่   "ถ้าถึงคิวแล้วจะมาเรียกนะ” ทีมงานบอกกับผมในระหว่างที่ผมรออยู่หน้างานนั้น ผมก็ได้เจอกับนักเขียน นักดนตรี นักกวี ที่ทยอยมา ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ผมรู้จัก และกำลังรู้จัก และที่ไม่รู้จักด้วย  ส่วนมากจะไต่ถามเรื่องของเตหน่ากู วิธีเล่น วิธีจับต่าง ๆ   ผมก็แนะนำตามที่ผมรู้  นับว่าเตหน่ากูเป็นเครื่องดนตรี แปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯและคนอื่นๆที่พบเห็น แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า  ที่เตหน่ากู กลายเป็นเครื่องดนตรีแปลกใหม่สำหรับลูกหลานปวาเก่อญอแท้ๆ  ทั้งที่เป็นต้นตำรับของเครื่องดนตรีชนิดนี้  มันเป็นไปได้อย่างเหลือเชื่อ การรอคอยผ่านไปเรื่อย ๆ  ตอนนี้ผมเห็นอ้ายไพฑูรย์  พรหมวิจิตร เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ผมก็เลยไปหยิบกางเกงสะดอของผมมาใส่พร้อมกับเสื้อปวาเก่อญอ แล้วเอาผ้าโพกหัวคล้องคอตามฉบับของผม  ผมสังเกตเห็นศิลปินรับเชิญหลายท่าน เริ่มเรียกอารมณ์กันแล้ว ผมนึกในใจว่า “พวกนี้กินน้ำชา หรือว่ากินเหล้ากันแน่?? กินได้ไม่หยุดหย่อน ไม่เมา ยากที่ผมจะลอกเลียนแบบ”สักครู่ผู้จัดก็มาเชิญพี่อัคนี  มูลเมฆ  อ้ายไพฑูรย์ กับอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ขึ้นเวที พี่ภูเชียงดาว มาเรียกผมกับพี่นก โถ่เรบอ บอกว่า "เตียมตั่วเน้อ เฮาจะขึ้นเวทีต่อจากอ้ายแสงดาว”“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึ่งนะครับ” ผมบอกพี่ภู เชียงดาว“โวยๆๆ หน้อยเน้อ” พี่ภู บอกผม ผมจึงรีบไปด้วยความเร่งรีบเมื่อเจอห้องน้ำผมรีบเข้าไปทันที จนผมทำธุระส่วนตัวเกือบเสร็จแล้วนั้น มีผู้หญิงกลุ่มใหญ่มาเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งคุยกันเสียงดัง โดยไม่เกรงใจคนอยู่ในห้องน้ำอย่างผม จนผมชักไม่แน่ใจว่า “นี่ เราเข้าห้องน้ำผู้หญิงหรือเปล่าวะ?”   ผมพยายามสำรวจห้องน้ำ เพื่อให้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของห้องน้ำหญิงหรือชาย ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำ มีป้ายเขียนว่า "ห้ามทิ้งผ้าอนามัยลงในโถส้วม" ซวยละกู ! ผมต้องรอจนกว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นออกจากห้องน้ำจนหมด แล้วค่อยย่องออกไป โดยก่อนออกไปพ้นปากประตูห้องน้ำ  ผมดูป้ายห้องน้ำอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่ใจ  คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเข้าห้องน้ำผิดจริง ๆ  เพราะป้ายห้องน้ำเขียนคำสั้น ๆ เอาไว้ว่า "หญิง” ผมจึงรีบเผ่นทันทีเลย พอไปถึงหน้างาน พี่นกกับพี่ภูตามหาผมกันใหญ่เลย พี่นกชวนเข้าไปรอด้านในงาน  เมื่อเข้าไปในงานก็เห็น อ้ายไพฑูรย์ กำลังอยู่บนเวที  พร้อมกับเสียงปะทัด  ต่อจากอ้ายไพฑูรย์ก็เป็นอ้ายแสงดาว กับบทกวี  “ห่อโข่เลอเหย่อโอะแผล่" ต่อด้วย "The World is My Country" ก็เริ่มขึ้น และสุดท้ายก็จบลงด้วย "เราจะอยู่ที่นี่เพราะ ห่อโข่เหม่เป่อต่าลอ" พอพิธีกรประกาศให้พี่ภู เชียงดาวขึ้นไป พี่ภูก็ชวนพี่นก โถ่เรบอ พร้อมผมขึ้นไปด้วย โดยพี่ภู เป็นคนอ่านบทกวี พี่นก โถ่เรบอเป็นคนเป่าปี่เขาควาย ผมเป็นคนคลอเสียงเตหน่ากู ไปตามบทกวี เมื่อขึ้นไปถึงบนเวที มีการทักทายผู้ชมนิดหน่อย ตามสไตล์ พี่ภู ผมเริ่มคลอเสียงเตหน่ากู เสียงปี่เขาควายของพี่นก โถ่เรบอก็ดังขึ้น พร้อมกับบทกวีของพี่ภู  เชียงดาวเริ่มขับขานช่วงขณะจิตนั้น ทำให้ผมย้อนกลับมานึกทบทวนวัตถุประสงค์ของการมากรุงเทพฯ อีกครั้ง  คำบอกเล่า ของผู้เฒ่าได้แล่นเข้ามาในสมองของผม ทำให้คิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับฟังบทกวีของพี่ภูไป เมื่อบทกวีจบลง เสียงปี่เขาควาย และเตหน่ากู ก็สงบลงเช่นกัน พี่นก โถ่เรบอและพี่ภูลงเวทีไป  พี่นก โถ่เรบอหันมาบอกผมว่า  "มา เก แน เต่อ กา อ่อ"   พร้อมส่งยิ้มมา ซึ่งแปลว่า คุณต้องลุยเดี่ยวแล้วนะผมจับไมค์ขึ้นมา คำบอกเล่าของผู้เฒ่ายังไม่ได้แล่นออกจากสมองของผม ทำให้ผมเห็นภาพของพี่น้องชนเผ่า ผู้หญิงแก่ เด็กๆ ผู้เฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ที่รอฟังข่าว อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอย พร้อมลุ้นทุกเวลาว่า หน่วยงานรัฐจะมีมติออกมายังไงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน นั่นหมายถึงการชี้อนาคตของพวกเขารวมถึงผม ว่าจะอยู่หรือจะไป หรือหากอยู่ก็มีสิทธิ์แค่อยู่โดยไม่มีสิทธ์ในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่หรือ?                                                                    เพลงแรก ที่ผมจะขับร้องและบรรเลงคือเพลงหน่อฉ่าตู  เพลงนิทานปวาเก่อญอ ที่เคยขับร้องกันมาเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ที่บอกว่า "งูใหญ่จะกลืนเอาลูกหลานปวาเก่อญอลงไปในท้องงู”ซึ่งในท้องงูนั้น น่ากลัว เหมือนหุบเหว หน้าผาสูงชัน  มีแต่เสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไปหมด จนทำให้ลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอลืมความเป็นคนปวาเก่อญอ  ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  ผู้เฒ่าเล่าขันเอาไว้เป็นตำนาน แต่มาวันนี้มันกลายเป็นความจริงหรือ?ผมเห็นกับตา! มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าปวาเก่อญอ โดยที่คนปวาเก่อญอไม่ทันตั้งตัว โดยที่คนปวาเก่อญอไม่อาจต้านทานไหว  มันเป็นความจริงที่ผมเห็นมากับตา งูใหญ่ตัวนี้มันใหญ่มันยาว จากเหนือจดใต้  ลำตัวมันคดเคี้ยวลดเลี้ยวจนเวียนหัว มันกลืนแล้ว มันกลืนลูกหลานคนปวาเก่อญอลงสู่ท้องของมันแล้ว ท้องของมันที่เป็นหน้าผาสูงสามสิบสี่สิบชั้น มีเสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไม่เพียงเท่านั้นยังมีควันดำควันขาวตามเสียงนั้นด้วย งูใหญ่ไม่เพียงแต่กลืนลูกหลานของคนปวาเก่อญอเท่านั้น แต่มันจะกลืนทั้งหมู่บ้าน ทั้งผืนป่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเราไปหมดเลย  มันเป็นไปแล้ว ไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน แผ่นดินจะไม่เหมือนเดิม  ยิ่งไก่ป่ารุกรานไก่บ้าน แผ่นดินยิ่งไม่เหมือนเดิม ผมพยายามจะสื่อสารไปยังผู้ฟังในวันนั้น  แต่ผมมิอาจห้ามความรู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าของผมได้  เราต่อสู้มาเป็นเวลาเกือบสิบปี แทบทุกวิถีทาง เพื่อป่าซึ่งเป็นเหมือนชีวิต ทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเรา แล้วเราจะทำร้ายชีวิตของเราเองได้อย่างไร  เราได้พิสูจน์มาแล้วพอสมควร ต้นไม้ ป่าไม้ก็เป็นพยานเป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ไว้ใจเราอยู่ดี  เหมือนเราเกิดมาภายใต้คำแช่งสาปบางอย่างที่ไม่มีวันแก้มันได้  เราเกิดมาผิดที่หรือผิดที่เราเกิดมา   ช่วงที่ผมกำลังพูดอยู่บนเวทีนั้นความคิดเหล่านี้ได้มาโจมตีสมาธิของผม จนเสียงพูดของผมเริ่มสั่นกลายเป็นคลอนสะอื้ ผมพยายามหยุดพูดเพื่อให้สถานการณ์ บรรยากาศและอารมณ์ของผมจะได้กลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมควบคุมมันไม่ได้จริงๆ จนหยดน้ำจากมุมตาเอ่อล้น เต็มเป้าตา แล้วค่อยๆ ร่วงไหลเป็นน้ำตาออกมา โดยไม่ได้เจตนา ผมต้องฝืนร้องเพลงหน่อฉ่าตู ทั้งที่อารมณ์และความรู้สึกไม่อยู่ในภาวะปกติ เพลงจบไปอย่างสะอึกสะอื้น ผมไม่ทราบว่าคนที่ได้ฟังในวันนั้นจะรู้สึกอย่างไร เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน ว่ามันเกิดขึ้นบนเวทีอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนผมต้องกราบขอโทษคนที่มาฟังในวันนั้น  ที่ผมได้ทำให้เสียบรรยากาศ และเสียอารมณ์ในการฟังเพลง แต่ผมอยากบอกว่า นั่นแหละคือความรู้สึกที่แท้จริงที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอ ที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมตลอดมา แต่เมื่อชะตาลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ เราก็จะต้องเคลื่อนไหวกันต่อไป ต้องเป่าร้องกันต่อไป ต้องขับขานบรรเลงกันต่อไป ต้องขีดเขียนกันต่อไป ต้องพูดคุยสื่อสารกันต่อไป โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ  จะได้รับรู้และเข้าใจพวกเรา    แล้วอะไรต่าง ๆ ก็คงจะดีขึ้นบ้าง  โดยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???แม้จะเกิดในที่ที่ต่างกัน  ระบบการปกครองที่ดูเหมือนจะต่างกัน แต่เราคนรากหญ้า คนด้อยโอกาส คนจน และประชาชนไม่เคยห่างเหินและปราศจากจากน้ำตาแห่งความทุกข์ยากจากผลแห่งนโยบายการบริหารปกครองบ้านเมืองได้เลย  “มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???”