Skip to main content

ภาพของชายชราวัย ๗๕ ปี กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บริเวณระเบียงกระท่อมแจ่มชัดขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ กุ้งสีชมพูขนาดนิ้วก้อยหลายสิบตัวนอนนิ่งอยู่ในจานเบื้องหน้าของชายชรา ถัดจากจานกุ้งไปเป็นถ้วยน้ำพริกปลาร้าที่กินเหลือจากเมื่อวาน

รายการอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดคืออาหารมื้อเย็นสำหรับชายชรา     ลูกแมวสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล ตัวหนึ่งสีขาว หมอบคลอเคลียอยู่ด้านข้าง นานครั้งมันจะเดินมาหยอกล้อเล่นกัน พอหยอกล้อกันจนหนำใจมันก็กลับไปนอนนิ่งอยู่ที่เดิม บนท้องฟ้าอาทิตย์อัสดงลงไปไม่นานนัก ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างเป็นสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำ

หลังจากอิ่มหนำสำราญ ชายชราก็จัดแจงเก็บกระติ๊บข้าวไว้บนกล่องโฟมที่ห้อยแขวนลงมาจากด้านบนของกระท่อม ในกล่องโฟมมีทั้งพริก เกลือ หัวหอม กระเทียม เมื่อจัดแจงเก็บของทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็ลุกไปดื่มน้ำ และกลับมานั่งที่เดิม จากนั้นก็ควักยาเส้นจากกระป๋องมาม้วนดูด เนิ่นนานที่ควันบุหรี่ลอยหายไปในความมืด หลังแสงไฟวูบสุดท้ายจากปลายบุหรี่แดงขึ้น ชายชราก็ดีดบุหรี่มวนนั้นทิ้งออกไปในความมืด

พูดเรื่องบุหรี่แล้ว ชายชราคิดมาหลายครั้งว่าจะเลิก และก็ลองทำดูแล้ว แต่เอาเข้าจริงแกก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หาปลาว่ายากแล้ว แต่การเลิกบุหรี่ยังยากกว่าเป็นหลายเท่า

นอกกระท่อมตอนนี้ความมืดโอบคลุมทุกทิศทุกทางไว้ด้วยอ้อมแขนอันมหึมาแห่งรัตติกาล...

หลังดาวประจำเมืองปรากฏ แสงไฟจากไส้ตะเกียงก็สว่างวูบขึ้น ความมืดที่รัศมีของแสงไฟส่องถึงจางหายไป แต่ความสว่างของมันก็กินบริเวณไม่กว้างมากนัก หากมีคนหรือวัตถุสิ่งใดผ่านมาคงไม่อาจรับรู้ได้ หากเจ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นไม่เข้ามาในรัศมีของแสงไฟ

ลูกแมวทั้งสองตัวเดินวนรอบตะเกียง ๒-๓ รอบ และเดินกลับไปนอนนิ่งอยู่ริมระเบียงกระท่อมด้านนอก สายลมหนาววูบใหญ่พัดมาเย็นเยือก ชายชรานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อมอย่างไร้จุดหมายปลายทาง...

พระจันทร์เสี้ยวข้างแรมห้อยแขวนอยู่มุมหนึ่งของท้องฟ้า ดาวดวงน้อยกระพริบพร่างพรายระยิบระยับ หลังดีดก้นบุหรี่ก้นที่สองทิ้งไป เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้น ในห้วงอารมณ์นั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจ

ลูกแมวทั้งสองตัวที่นอนนิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อชายชราขยับที่นอน เสื่อผืน หมอนใบ และมุ้งสีขาวเก่าซีดจนความขาวของมันมลายหายไป เครื่องนอนทุกอย่างถูกจัดวางในตำแหน่งเดิมเช่นทุกวันที่ผ่านมา หลังผูกหูมุ้งเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็ดับวูบลง อาณาบริเวณรอบกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืด

แม้ว่าชายชราจะไม่ใช่ผู้ทรงศีล และวิถีทางที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่วิถีทางของผู้ทรงศีล แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอน ชายชราก็ไม่ลืมสวดมนต์ไหว้พระ

ในความดึกสงัดของค่ำคืนมีเพียงแมลงกลางคืนระงมร้องขับกล่อมรัตติกาล...

เนิ่นนานที่ชายชราเดินทางไปสู่การหลับ หลังจากพระจันทร์ข้างแรมเดินทางมาถึงครึ่งขอบฟ้า แกก็ขยับตัวลุกขึ้น และเดินออกมานอกกระท่อม แสงไฟจากไฟฉายสาดส่องไปตามทางเดินเล็กๆ ลงไปสู่ท่าน้ำ  ตรงท่าน้ำมีเรือลำหนึ่งจอดสงบนิ่งอยู่ หลังปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้แล้ว ชายชราก็แก้เชือกที่ผูกเรือไว้กับเสาไม้ไผ่ริมฝั่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเรือ และค่อยๆ พายออกไปจากท่า

เสียงไม้พายกระทบกับสายน้ำดังฝ่าความมืดมา หากไม่เพ่งมองให้แจ่มชัดก็ยากจะรู้ได้ว่าในความมืดนั้นมีคนกับเรือ ชายชราบังคับเรือไม่ให้ไกลจากริมฝั่ง โดยเรือมุ่งหน้าล่องตามน้ำลงไป ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย ห่างออกไปจากริมฝั่งประมาณ ๑ เมตร ตรงนั้นมีเสาไม้ไผ่ขนาดย่อมปักอยู่ในน้ำ บริเวณโคนเสามีเชือกผูกกับกิ่งไม้ติดอยู่ เมื่อไปถึงชายชราก็ยกกิ่งไม้ขึ้น จากนั้นก็ใช้สวิงช้อนเข้าด้านใต้ของกิ่งไม้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งเขย่ากิ่งไม้อย่างแรง เพื่อให้กุ้งที่เข้าไปอาศัยในกิ่งไม้หล่นลงในสวิง เมื่อแน่ใจว่ากุ้งในกิ่งไม้หล่นลงในสวิงหมดแล้ว แกก็พายเรือไปสู่เป้าหมายใหม่ต่อไป
เวลาในการทำงานของชายชราผ่านไปเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง เมื่อไปถึงเป้าหมายสุดท้าย เสียงไก่ขันครั้งแรกของค่ำคืนก็ดังข้ามมาจากอีกฟากฝั่งน้ำ...

ชายชราเบนหัวเรือให้กลับมาทางเดิมอีกครั้ง เมื่อมาถึงเสาต้นเดิมก็จัดแจงผูกเรือเข้ากับเสาไม้ไผ่ หลังจากผูกเรือเสร็จก็เอากุ้งใส่ลงในกระชังแช่ไว้ในน้ำ หลังภารกิจเสร็จสิ้น ชายชราก็เดินกลับขึ้นมาตามทางเดิม แสงไฟจากไฟฉายส่องสว่างน้อยลงกว่าเดิม เพราะแบ็ตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที แม้ว่าแสงสว่างจะมีน้อย แต่หาได้เป็นอุปสรรคไม่ เพราะทุกตารางเมตรบนพื้นที่แห่งนี้ ชายชราย่ำเหยียบมาหลายร้อยหลายพันครั้ง หากเปรียบเทียบระยะทางเดินขึ้น-ลงจากกระท่อมไปท่าน้ำในแต่ละวัน ชายชราคงเดินทางไกลไม่ต่ำกว่า ๗-๘ กิโลเมตรต่อวัน

เมื่อมาถึงกระท่อม แมวสองตัวก็ส่งเสียงร้องทักออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาหา หลังจากนั่งลงบนพื้นกระท่อมเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็สว่างวูบขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับแสงไฟจากปลายบุหรี่ที่วูบแดงขึ้นเป็นครั้งคราว เมื่อชายชราสูดควันเข้าปอด

หลังจากแสงไฟจากตะเกียงดับลง เสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืนก็ดังฝ่าความมืดข้ามฝั่งน้ำมา สิ้นเสียงไก่ขัน ชายชราก็ล้มตัวลงนอน และเดินทางไปสู่การหลับ ในห้วงแห่งการหลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า ชายชราฝันถึงเรื่องราวใด แต่หากลองสันนิษฐานดูแล้ว สำหรับคนหาปลา ในห้วงเวลาแห่งการหลับไหล คนหาปลาจะฝันถึงสิ่งใด นอกจากปลาตัวโตติดเบ็ด เพราะปลาที่ได้จะเดินทางออกจากแม่น้ำ เพื่อไปแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของเบ็ด

มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนแก่นอนน้อยและตื่นเช้า คำกล่าวนี้คงเป็นจริง เพราะก่อนฟ้าสาง แม้ว่าจะหนาวเหน็บ ชายชราก็ลุกขึ้นมาก่อไฟนึ่งข้าว หลังจากคดข้าวใส่กระติ๊บเรียบร้อย แสงแรกของวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ เพื่อเอาเรือออกเก็บกู้เบ็ด กู้มอง-ตาข่ายที่ใส่ไว้ตั้งแต่ตอนเย็นเมื่อวาน

เมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือเรียบร้อย ชายชราก็ติดเครื่องยนต์เรือ หลังเครื่องยนต์ติดเรียบร้อย ชายชราก็บังคับเรือทวนน้ำขึ้นเหนือ สายน้ำแตกกระเซ็นเป็นสายเข้ามาในเรือทุกครั้ง เมื่อชายชราเร่งเครื่องยนต์เรือ การขับเรือในช่วงหน้าแล้งขับยากกว่าในช่วงหน้าน้ำหลาก เพราะช่วงหน้าแล้งแก่งที่จมอยู่ใต้น้ำจะโผล่พ้นน้ำ คนขับเรือต้องคอยหลบแก่งให้ดี ที่สำคัญน้ำตรงใกล้แก่งจะไหลแรง บางแห่งก็ไหลวน ถ้าบังคับเรือไม่ดีแล้วก็มีสิทธิพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา หาการทำสมาธิหมายถึงการนิ่งและตั้งใจแน่วแน่ คงไม่แปลกนักถ้าจะกล่าวว่า

การขับเรือก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่งสำหรับชายชรา
การขับเรือก็ไม่ต่างอะไรจากการขับรถ เพราะเรือต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามร่องน้ำที่เคยวิ่ง เช่นกันรถก็ต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามเลนของถนนที่กำหนดไว้ แต่หากว่าออกนอกเส้นทางเมื่อไหร่ก็ยากจะเป็นการคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ว่ากันว่าคนที่ขับเรือเก่งๆ ในสายน้ำสายนี้ กลางคืนไร้แสงไฟ พวกเขาสามารถพาเรือกลับถึงหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย การขับเรือในเวลากลางคืน คนขับเรือจะอาศัยจดจำทิวทัศน์สองฟากริมฝั่งน้ำเป็นเครื่องหมายในการเดินเรือ ช่วงวัยหนุ่ม ชายชราเป็นคนหนึ่งที่ขับเรือในเวลากลางคืนได้ดี แต่เมื่อสังขารเดินทางมาถึงช่วงปลายของการดำรงอยู่ในสภาพความเป็นมนุษย์ การขับเรือในเวลากลางคืนจึงเป็นสิ่งถูกยกเว้นสำหรับชายชรา

หากย้อนกลับไปเมื่อวานตอนเย็น หลังจากเรือลำสุดท้ายบนสายน้ำเงียบเสียงลงในตอนค่ำ แม่น้ำก็เหมือนจมอยู่กับความเงียบ เช้านี้แม่น้ำจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความเงียบงันอีกครั้ง...

หลังบังคับเรือฝ่าลมหนาวมาประมาณ ๑๐ นาที ชายชราก็ข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำ ตรงที่ชายชราจอดเรือคือพื้นที่วางเบ็ดที่แกเคยวางเป็นประจำ จากจุดนี้มองกลับไปข้างหลังสามารถมองเห็นกระท่อมที่เพิ่งจากมาได้

พระอาทิตย์ยามเช้าค่อยสูงขึ้นเป็นลำดับ โมงยามของวันเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของโลก หากลองเปรียบเทียบระหว่างชายชรากับพระอาทิตย์ ในตอนนี้ชายชราไม่ใช่พระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่กลับกัน ชายชราคือ พระอาทิตย์ที่กำลังคืบคลานสู่ห้วงยามอัสดง

แม้ว่าพระอาทิตย์ยามเช้าของฤดูหนาวจะงดงามเพียงใด ชายชราในวัย ๗๕ คงไม่มีเวลามานั่งชื่นชมความงามของยามเช้ามากนัก คงเพราะชายชราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาหลายปีแล้ว และยามเช้ามีความสำคัญสำหรับชายชรามากกว่าการมานั่งดูความงาม เพราะการขึ้นมาของพระอาทิตย์ เป็นเครื่องมือเร่งรัดในการทำงานสำหรับชายชราให้เร็วขึ้นกว่าเดิม...

หลังพระอาทิตย์พ้นยอดเขาทางทิศตะวันออก นกฝูงหนึ่งก็โผบินจากเหนือลงใต้ เช่นกันเมื่อฟ้าเป็นของนก น้ำก็ย่อมเป็นของปลา นกอพยพมักเดินทางกันเป็นฝูง ปลาก็เช่นเดียวกัน การอพยพขึ้น-ลงของปลาก็ไปเป็นฝูง จะมีปลาบางชนิดเท่านั้นที่อพยพเคลื่อนย้ายเพียงลำพัง การอพยพของปลาไม่ได้อพยพเพียงชนิดเดียว แต่มีปลาหลายชนิดอพยพขึ้นเหนือพร้อมๆ กัน นอกจากปลาจะอพยพขึ้นมาพร้อมกันหลายชนิดแล้ว ปลายังอพยพขึ้นมาพร้อมกับสัตว์ชนิดอื่นด้วย มีเรื่องเล่าจากคนหาปลาว่า ปลากับนกบางชนิดเป็นสิ่งคู่กัน โดยเฉพาะปลาบึกกับนกนางนวล ทุกครั้งเมื่อคนหาปลาจะลงมือจับปลาบึก พวกเขาต้องสังเกตว่านกนางนวลบินขึ้นมาหรือยัง หากนกนางนวลบินขึ้นมาจากทางใต้แล้ว วันต่อมาปลาบึกก็จะขึ้นตามมาหรือบางทีนกนางนวลก็บินมาพร้อมกับปลาบึก หากเห็นนกนางนวล คนหาปลาก็จะลงไหลมองจับปลาบึก

เรื่องเล่าเกี่ยวกับการอพยพของปลากับนกหาได้มีในเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศลาวตรงสีพันดอนยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาและนกอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องเล่าที่ว่านี้เป็นเรื่องเล่าของนกสีดาและปลาข่า หากวันใดปลาข่าจะขึ้นมา นกสีดาก็จะขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่บอกว่า ในภพชาติที่แล้วปลาข่ากับนกสีดาเป็นคู่รักกัน เมื่อสิ้นภพสิ้นชาติด้วยความมั่นคงในความรัก ในภพชาติปัจจุบันพวกมันจึงเป็นสิ่งเกื้อหนุนกัน เพราะเมื่อปลาข่าขึ้นมา ปลาอีกหลายชนิดก็จะว่ายตามมาด้วย เมื่อปลาข่าว่ายขึ้นมาปลาเล็กๆ ชนิดอื่นก็จะว่ายตามขึ้นมาด้วย พอนกนางสีดามองเห็น มันก็จะคอยไปจับกินปลาอยู่ใกล้ๆ ปลาข่า ธรรมชาติต่างเกิดมาเพื่อเกื้อหนุนสรรพสิ่งไม่เลือกว่าจะเป็นสนิดใด แม่แต่กับมนุษย์เอง ธรรมชาติก็ได้เกื้อหนุนมนุษย์เช่นกัน

แสงแดดของวันเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ หลังจมอยู่กับการเก็บกู้เบ็ดเนิ่นนาน ชายชราก็หันหัวเรือมุ่งหน้ากลับมาตามทางเดิม ตอนไปกลับตอนกลับมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนไปเรือวิ่งได้ช้า เพราะวิ่งทวนน้ำ แต่ตอนกลับเรือวิ่งได้เร็วขึ้น เพราะล่องลงมาตามน้ำ

เมื่อกลับมาถึงท่าน้ำ ชายชราก็จัดแจงผูกเรือกับเสาไม้ไผ่เสาเดิม เมื่อผูกเรือเสร็จ แมวสองตัวก็กระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ จากนั้นมันก็ค่อยๆ เดินไปหาชายชรา เมื่อไปถึงชายชราก็หยิบกุ้งจากกระป๋องเอาวางให้มันกิน หลังกินหมด แมวทั้งสองตัวก็เดินกลับมาทางหัวเรืออีกครั้ง

หลังแมวทั้งสองตัวกระโดดลงจากเรือ ชายชราก็เดินมาทางหัวเรือแล้วนั่งลงใช้มือดึงเชือกผูกกระชังให้เข้ามาใกล้เรือ เมื่อกระชังมาถึงเรือ แกก็หยิบเอาปลาจากท้องเรือใส่ลงในกระชังแล้วปล่อยให้กระชังไหลกลับไปที่เดิม

ในการเอาเรือออกสู่แม่น้ำแต่ละครั้ง ชายชรามีเป้าหมายอะไรมากไปกว่าการหาปลาหรือไม่ คงไม่มีใครล่วงรู้ได้ บางทีในการออกหาปลาแต่ละครั้ง ชายชราอาจต้องการเพิ่มเติมจำนวนปลาให้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน หรือบางทีชายชราอาจต้องการสร้างหลักไมล์ในการเดินทางไปบนแม่น้ำให้กับตัวเอง หรือบางทีชายชราอาจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ นี่อาจเป็นการทำงานอย่างหนึ่งที่เคยทำอยู่ทุกวันก็เป็นได้ คำถามนี้ ชายชราคงจะเป็นคนคลี่คลายความสงสัยด้วยตัวแกเอง...

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
    ...เสียงปืนดังลั่นเปรี้ยง-คล้ายเสียงชะนีหวน
สุมาตร ภูลายยาว
สายลมเริ่มพัดเปลี่ยนทิศจากเหนือลงใต้ ฤดูฝนใกล้พ้นผ่านแล้ว ฤดูหนาวกำลังเดินทางมาแทน ขณะอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าถัดจากกระท่อมหลังสุดท้ายตรงหาดทรายไปไม่ไกล คนจำนวนมากกำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บเครื่องมือทำงาน หากนับตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ก็ล่วงเข้าไป ๔ วันแล้วที่ช่างในหมู่บ้านถูกไหว้วานให้มาช่วยกันทำเรือไฟ เพื่อให้ทันใช้ในวันออกพรรษา หลังจมอยู่กับงานมาทั้งวัน เมื่อโรงงานต่อเรือไฟปิดประตูลงในตอนเย็น โรงมหรสพริมฝั่งน้ำก็เข้ามาแทน
สุมาตร ภูลายยาว
แม่น้ำนิ่งงันลงชั่วการกระพริบตาของพญามังกร ชาวบ้านริมฝั่งน้ำไม่มีใครรู้ว่า พญามังกรกระพริบตากี่ครั้ง หรือด้วยอำนาจใดของพญามังกร แม่น้ำจึงหยุดไหล ทั้งที่แม่น้ำเคยไหลมาชั่วนาตาปี วันที่แม่น้ำหยุดไหล คนหาปลาร้องไห้ปานจะขาดใจ เพราะปลาจำนวนมากได้หนีหายไปจากแม่น้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
แดดร้อนของเดือนมีนาคมแผดเผาหญ้าแห้งกรัง หน้าร้อนปีนี้ร้อนกว่าทุกปี เพราะฝนไม่ตก ยอดมะม่วงอ่อนจึงไม่ยอมแตกช่อ มะม่วงป่าเริ่มออกดอกรอฝนพรำ เพื่อให้ผลได้เติบโต ความร้อนมาพร้อมกับความแห้งแล้ง ในความแห้งแล้ง ดอกไม้ป่าหลากสีกำลังผลิบาน มีทั้งดอกสีส้ม แดง ม่วง ความแห้งแล้งดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
สุมาตร ภูลายยาว
‘ย่างเข้าเดือนห้า น้ำท่าก็เริ่มขอดแล้ง’ คนแก่บางคนว่าอย่างนั้น (ถ้าผมจำไม่ผิด) คำพูดนี้ได้สะท้อนบางอย่างออกมาด้วย นั่นคือสิ่งที่ผู้คนในยุคสมัยก่อนเห็น พอถึงเดือนห้า น้ำที่เคยมีอยู่ก็แห้งขอดลงเป็นลำดับ ผู้คนในสมัยก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สังคมเกษตรอุตสาหกรรมเช่นทุกวันนี้ทำอะไรบ้าง ในสังคมภาคกลางยุคที่ทำการเกษตรไม่ใช่อุตสาหกรรม หน้าแล้งไม่มีใครทำนา เพราะทุกคนต่างรู้ว่า หน้าแล้งแล้วนะ น้ำท่าจะมาจากไหน แต่พอยุคอุตสาหกรรมเกษตรเรืองอำนาจ หน้าแล้งผู้คนก็ยังคงทำนา เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการเกษตรกันอยู่
สุมาตร ภูลายยาว
ผู้ดีตีนแดง-ขอ โทษ เท้าแดง ตะแคงเท้าเดิน เวลาเหยียบปุ่มปมของพรมผืนนุ่มนิ่มราวกับปุยเมฆ นั่นแหละเท้าของผู้ดี และโลกของผู้ดีมีแต่น้ำครำ –น้ำคำ แห่งการหลอกลวง ทั้งผู้ดีจริง และผู้ดีกลวง ขณะเดินย่ำไปบนเส้นทางสู่ร้านอาหารเลิศหรู เมนูไข่คาเวียกับบรั่นดีแก้วทรงสูงดัดจริตวางรอ ผู้ดีน้ำครำละเลียดเมรัยรสคมผ่านลำคอ และละเลียดไข่คาเวียที่มีอยู่นับจำนวนได้บนจานราคาแพงกว่าการขึ้นห้องกับปอง ของโฉน ไพรำ ผู้ดี น้ำครำมองออกไปนอกหน้าต่างสูงลิบของห้องอาหารโรงแรมเสียดฟ้า เบื้องล่างแม่น้ำไหลเอื่อยเหนื่อยปานจะขาดใจตาย ผู้ดีน้ำครำละเลียดไข่คาเวียราคาแพง เพื่อเลิศหรูมีหน้ามีตา…
สุมาตร ภูลายยาว
สายลมหนาวพัดมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยสายลงมา ว่ากันว่านี่คือฝนหลงฤดู! กาแฟแก้วของวันเป็นคาปูชิโน่ร้อนสองแก้ว แต่ไม่ใช่ของผมเป็นของลูกค้าต่างชาติ รสชาติของกาแฟเป็นอย่างไรในเช้านี้ ผมไม่อาจรู้ เพราะไม่ได้ชิม หลังสตรีมนมสดจนร้อนได้ที่ กลิ่นกาแฟสดหอมกรุ่นโชยออกมา และพร้อมแล้วสำหรับการดื่ม-กิน
สุมาตร ภูลายยาว
เนิ่นนานหลายปีแล้วที่ผมพเนจรจากบ้านเกิด แต่หลายๆ ความรู้สึกเกี่ยวกับบ้าน ผมไม่มีทางลืมได้เด็ดขาด บางค่ำคืนที่มีโอกาสอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ด้วยความสงบเงียบ ภาพบ้านเกิดจะย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ-ความทรงจำในวัยเยาว์เกี่ยวกับบ้านเกิด
สุมาตร ภูลายยาว
เวลาผ่านไปเร็ว ยามที่เราโตขึ้น เราเชื่อเช่นนั้น เพราะเราโหยหาเวลาของวัยเยาว์ เมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นลำดับมีหลายความรู้สึกของวัยเยาว์ที่หล่นหายไปอย่างไม่อาจเรียกคืนกลับมา ราวกับสายน้ำที่ไหลไกลออกไปทุกทีๆ มิอาจหวนกลับมาเป็นสายน้ำได้เช่นเดิม แต่กลายเป็นสายฝนพรำลงมาแทน หากพูดถึงอดีตแล้ว บางด้านที่เลวร้าย เราอยากผ่านเลย แต่กลับจำได้ฝังใจ...
สุมาตร ภูลายยาว
บุนทะนอง ซมไซผล แปลโดย สุมาตร ภูลายยาว    ๑.ผลน้ำเต้าบุ่ง และวรรณคดีพื้นเมือง ถ้าจะให้พูดถึงความสัมพันธ์ไทย-ลาว ความเชื่อมโยงด้านวรรณคดีของชนชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำของ สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิดถึงคือ น้ำเต้าบุ่ง
สุมาตร ภูลายยาว
ดอกเกดเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ลำต้นมีลักษณะเหมือนต้นปาล์ม เวลาออกดอก ดอกจะส่งกลิ่นหอม คนเฒ่าคนแก่จะนิยมนำไปบูชาพระและนำมาทัดหู ผมไม่รู้เหมือนกันว่าดอกไม้ชนิดนี้จะมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยหรือมีเฉพาะที่ภาคอีสานและประเทศลาว
สุมาตร ภูลายยาว
จากใบไม้ใบสุดท้ายถึงซิ่นไหมผืนเก่าๆ: ๒ เรื่องสั้นซีไรต์บนแผ่นดินเบื้องซ้ายแม่น้ำของ (โขง) เมื่อพูดถึงวรรณกรรมบนแผ่นดินฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแล้ว หลายคนคงอดที่จะพูดถึงวรรณกรรมชิ้นคลาสสิกเช่น ‘สังสินไซ’ ไม่ได้ เพราะสังสินไซเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงรู้จักมากที่สุดชิ้นหนึ่ง นอกจากสังสินไซแล้ว ผลงานของนักเขียนลาวหลายคนในความรับรู้ของคนไทยคงหนีไม่พ้นผลงานเขียนของท่านมหาสีลา วีระวงค์ ผู้รจนางานมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ในนาม ‘ท้าวฮุ่งและขุนเจือง’