สายลมเริ่มพัดเปลี่ยนทิศจากเหนือลงใต้ ฤดูฝนใกล้พ้นผ่านแล้ว ฤดูหนาวกำลังเดินทางมาแทน ขณะอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าถัดจากกระท่อมหลังสุดท้ายตรงหาดทรายไปไม่ไกล คนจำนวนมากกำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บเครื่องมือทำงาน หากนับตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ก็ล่วงเข้าไป ๔ วันแล้วที่ช่างในหมู่บ้านถูกไหว้วานให้มาช่วยกันทำเรือไฟ เพื่อให้ทันใช้ในวันออกพรรษา หลังจมอยู่กับงานมาทั้งวัน เมื่อโรงงานต่อเรือไฟปิดประตูลงในตอนเย็น โรงมหรสพริมฝั่งน้ำก็เข้ามาแทน
ทันทีที่แสงสุดท้ายลับจากฟ้า กองไฟจึงถูกจุดขึ้น สายลมพัดโชยมาครั้งใด เปลวไฟจากกองไฟก็วูบไหวไปตามแรงลม รอบกองไฟคนกลุ่มใหญ่กำลังสนุกสนานด้วยเสียงร้องลำทำเพลง นอกจากเสียงร้องเพลงแล้ว ดูเหมือนว่าเสียงแคนจะดังกลบเสียงดนตรีชนิดอื่น หลังเสียงแคนเงียบลง พ่อเฒ่าผุยก็วางแคนลงด้านข้างแล้วหันไปหยิบห่อยาเส้นจากพกข้างเอวขึ้นมาโรยลงบนใบตองกล้วยสีน้ำตาลเข้ม จากนั้นก็ใช้มือม้วนตองกล้วยเข้าหากัน หลังเสร็จพ่อเฒ่าผุยยื่นมือไปจับเอาท่อนฟืนมาจุดกับด้านปลายของบุหรี่ เปลวไฟแดงวาบขึ้นมาจากด้านปลายบุหรี่แล้วควันสีขาวหม่นก็ลอยล่องผ่านความมืดขึ้นไปยังท้องฟ้า
หลังสูดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ พ่อเฒ่าผุยก็ดึงบุหรี่ออกมาจากปากแล้วพูดขึ้น
“กูว่าอีกไม่นานหรอก พวกมึงคงพากันลืมความเก่าความหลังกันหมด โดยเฉพาะเสียงแคน เสียงลำ แคนนี่มันไม่ได้มีไว้ให้คนรุ่นเก่าอย่างกูเป่าอย่างเดียวดอกบักหลาน คนรุ่นพวกมึงถ้าสนใจจริงก็เป่ากันได้ แต่พวกมึงนี่ไม่ได้สนใจเลยไปฟังแต่เพลงอะไรไม่รู้ แม้แต่หมอลำก็ไม่เป็นเหมือนก่อน ลำไปลำมาจะพากันลงต่ำอยู่เรื่อยๆ เอาแต่เรื่องใต้สะดือมาเป็นกลอนลำ”
พอพูดจบพ่อเฒ่าผุยหยิบแคนขึ้นมาเป่าอีกครั้ง เสียงแคนเนิบช้าสลับกับรวดเร็วสนุกสนาน เสียงแคนในจังหวะเนิบช้าอ้อยอิ่งฟังแล้วช่างเศร้าสร้อยเสียเต็มประดา เหมือนว่าคนเป่าอยู่ในห้วงอารมณ์ของความเศร้า ขณะบางคนเมื่อได้ฟังพร้อมจะร้องไห้
พระจันทร์ผ่าครึ่งซีกสีเหลืองนวลกระจ่างตาอยู่บนท้องฟ้า ดาวเหนือกระพริบแสงครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงไก่ขันดังแว่วมาจากหมู่บ้าน และอีกฝั่งของสายน้ำ ดวงดาว และดวงจันทร์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เวลากลางคืนกำลังใกล้ผ่านพ้น
ทุกครั้งที่เสียงแคนเงียบลง พ่อเฒ่าผุยจะได้รับรับแก้วเหล้าที่ชายหนุ่มนั่งอยู่เบื้องหน้าส่งให้ รับมาแล้วก็ยกขึ้นจรดกับริมฝีปากก่อนจะกลืนลงคอรวดเดียวหมด น้ำในแก้วใสเหมือนตาตั๊กแตนค่อยๆ ผ่านลำคอจนหายไปอยู่ในกระเพาะ แม้ว่าจะคุ้นเคยกับรสชาติ แต่ก็ชวนให้ร้อนวูบวาบตามลำคอ หลังเหล้าไปนอนนิ่งในกระเพาะ พ่อเฒ่าผุยก็ยื่นมือไปหยิบเนื้อปลาปิ้งที่เพิ่งยกออกมาจากกองไฟใส่เข้าไปในปาก
“พ่อเฒ่าอย่ากินเหล้ามากนัก เดียวไม่มีใครมาเป่าแคนให้พวกผมฟัง”
“ไม่ต้องมาแช่งกู พวกมึงอยากให้กูตายกันนักหรือไง ถ้ากูตายไปจริงๆ แล้วพวกมึงจะรู้สึก”
“พูดเล่นเฉยๆ พ่อเฒ่า พวกผมอยากฟังเสียงแคนอยู่เลยไม่อยากให้กินเหล้าเยอะ”
สิ้นเสียงคำพูดของชายหนุ่มคนนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น หลังเสียงหัวเราะเงียบลง พ่อเฒ่าผุยก็ถามคนที่นั่งล้อมวงรอบกองไฟว่า
“มีใครรู้ไหมว่าลายแคนก่อนหน้านี้เป็นลายอะไร”
“พวกผมไม่ใช่หมอแคนไม่รู้หรอกพ่อเฒ่า แต่ถ้าถามเพลงสตริง เพลงเพื่อชีวิตนี่พอรู้” หลังพูดจบคนหนุ่มหลายคนพากันหัวเราะ
“กูคิดแล้ว พวกมึงไม่รู้เรื่องอย่างนี้หรอก เพราะพวกมึงพากันลืมโคตรเหง้า ลืมสาแหรกทางวัฒนธรรมของตัวเองไปหมด”
หลังพูดจบ พ่อเฒ่าผุยนั่งนิ่ง และเพ่งมองออกไปยังความมืดข้างหน้า เหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวอะไรบางอย่าง...
หลายปีมาแล้วที่เสียงหัวเราะของคนต่างรุ่นแห่งหมู่บ้านไม่ได้ดังขึ้นตรงริมแม่น้ำแห่งนี้ เนื่องเพราะคนในหมู่บ้านต่างเร่งรีบหาอยู่หากิน ยิ่งคนหนุ่มคนสาว นับวันพวกเขายิ่งออกจากหมู่บ้านไปดิ้นรนทำมาหากินต่างถิ่นมากขึ้นทุกวัน แม้ว่าหมู่บ้านจะอยู่ไกลซอกหลีก เงินยังเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าอย่างอื่นสำหรับทุกคน
ช่วงแห่งการจากบ้าน หลายคนไม่รู้ว่าแม่น้ำใกล้หมู่บ้านที่พวกเขาเคยลงอาบ เคยหาปลา และเก็บผักริมน้ำมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง บางคนรู้แต่เพียงว่าปีที่ผ่านมาน้ำในแม่น้ำแห้งขอดลง ซ้ำร้ายในบางวัน น้ำก็ขึ้น-ลงเหมือนน้ำทะเล ปกติน้ำจะขึ้นมากในช่วงเข้าพรรษา และแห้งลงในช่วงหน้าแล้ง แต่ปีนี้น้ำในแม่น้ำกลับเปลี่ยนแปลง ทั้งที่เป็นหน้าแล้ง น้ำกลับเอ่อขึ้นมาเหมือนหน้าฝน เพราะน้ำขึ้น-ลงไม่เป็นเวลานี่เอง ในปีที่ผ่านมาคนปลูกผักตามหาดทรายต้องเผชิญกับภาวะของความเจ็บช้ำ เพราะผักที่ปลูกโดนน้ำท่วมเสียหายไปไม่ใช่น้อย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยิ่งดึกวงเหล้าริมฝั่งน้ำคนยิ่งเหลือน้อย บางคนทนง่วงไม่ไหวขอตัวกลับบ้านพักผ่อน สำหรับคนที่กลับบ้านไม่ได้ก็อาศัยนอนในเพิงพักของคนหาปลาใกล้ๆ สำหรับหลายคนที่เมามายเสียเต็มประดาจนหาทางกลับบ้านไม่เจอ เรือที่จอดอยู่ตรงท่าน้ำกลายเป็นเรือนนอนแทนบ้าน
พระจันทร์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เสียงไก่ขันตอนค่อนแจ้งดังแว่วมา พ่อเฒ่าผุยจับแคนขึ้นมาเป่าอีกครั้ง ท่วงทำนองของลายแคนนี้พวกหมอลำเรียกว่า ‘ลายแคนล่องของ’ อันหมายถึงการลำลา หากว่าหมอแคนคนเป่าแคนลายนี้เมื่อใดก็หมายความว่า การแสดงทั้งหมดใกล้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า แคนถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในโลกเมื่อใด และลายแคนแต่ละลายก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจอันใด แต่ลายแคนแต่ละลายได้รับการสืบสานจากคนรุ่นต่อรุ่น
เรื่องราวการสืบสายลายแคน พ่อเฒ่าผุยเคยบอกว่า ถ้าคนใดจะเรียนเป่าแคน คนนั้นต้องมีขันตั้ง--ยกครูเสียก่อน ค่ายกครูสำหรับครูบางคนก็แพง แต่สำหรับบางคนเพียงเหล้าขาวหนึ่งขวดก็เกินพอ ค่ายกครูมีไว้พอเป็นพิธี แต่นัยยะสำคัญอยู่ตรงที่ว่า อาจารย์กับลูกศิษย์จะทำข้อตกลงกันเบื้องต้นว่า ถ้าต้องการอยากเป่าแคนเป็นต้องตั้งใจเรียน ถ้าไม่ตั้งใจเรียนอาจารย์จะไม่สอน เพราะการสืบสายลายแคน คนจริงเท่านั้นถึงจะสืบทอด และสืบสานกันต่อไปได้
ลายแคนแต่ละลายมีที่มาต่างกัน คุณลักษณะของเส้นเสียงจึงต่างกันไปด้วย การนำลายแคนแต่ละลายมาใช้จึงเป็นไปตามลำดับอย่างมีขนบแบบแผน อย่างลายแคนลมพัดพร้าวนั้นแสดงออกถึงความม่วนซื่นสนุกสนาน ถ้าเป่าไปจีบสาวแล้วจะสนุกสนานกว่าเป่าให้พวกผู้ชายด้วยกันฟังหลายเท่า ยิ่งในช่วงมีงานบุญ เหล่าบรรดาหมอแคนจึงไม่พลาดที่จะหอบหิ้วเอาแคนของตัวเองทั้งแคน ๗ แคน ๘ ออกมาเป่าบรรเลงให้คนได้เสพอรรถรสแห่งเสียงของแคนตัวเอง
สายน้ำหลั่งไหลไปเช่นใด ฤดูกาลก็ผ่านไปเช่นนั้น เมื่อมีวันเข้าพรรษา ก็มีวันออกพรรษา และช่วงวันออกพรรษาใกล้เดินทางมาถึง พระหนุ่มบางรูปหัวใจเต้นตึกตัก เพราะวันลาสิกขาใกล้เดินทางมาถึง บางรูปที่บวชก่อนเบียดยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะหลังลาสิกขาแล้วจะได้เบียดในช่วงหน้าหนาวพอดี
เสียงค้อนกระทบไม้ และเสียงคนพูดคุยถามไถ่หาสิ่งของดังมาจากสันดอนทรายตรงริมฝั่งน้ำอยู่เป็นระยะ ช่วงนี้งานไหลเรือไฟใกล้เข้ามาเท่าใด ทุกคนต้องลงมือลงแรงกันอย่างรีบเร่ง เพื่อช่วยกันสร้างเรือไฟ เพราะเรือไฟที่จะไหลในช่วงวันออกพรรษาต้องทำให้เสร็จก่อนวันงาน ยิ่งปีนี้จะมีการประกวดยิ่งต้องเร่งทำให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม ข่าวว่าปีนี้ผู้คนจากทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาดูการประกวดไหลเรือไฟ และมาชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่ริมฝั่งน้ำจะมากกว่าปีที่ผ่านมา เรือไฟที่เคยทำแบบธรรมดาตามประเพณี ในปีนี้ต้องแต่งดาให้สวยงามกว่าเดิม
พ่อเฒ่าผุยเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกจากคนในหมู่บ้านให้เป็นนักแสดงร่วมขบวนแห่เรือไฟ หน้าที่ของแกคือเป่าแคนให้จังหวะกับเหล่านางรำตลอดค่ำคืนแห่งการไหลเรือไฟ
เมื่อได้รับหน้าที่ พ่อเฒ่าผุยก็กลับมานั่งพิจารณาแคนหลายเต้าของตัวเอง แต่ดูไปดูมาแกกลับรู้สึกว่าแม้จะมีแคนอยู่มากเพียงใด แต่ยังไม่มีเต้าไหนเสียงดีพอออกงานได้ ในห้วงเวลานั้นแกก็คิดถึงแคนเสียงดีของเสี่ยวเก่าผู้อยู่แขวงคำม่วน แล้วหมายกำหนดการเดินทางไปแขวงคำม่วนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง
ยามบ่ายของวัน ขณะหลายคนกำลังสาละวนอยู่กับการทำเรือไฟ ไม่ไกลจากท่าน้ำแห่ง นั้น คนหาปลา ๓-๔ คนกำลังไหลมองอยู่ ไม่นานนักคนหาปลากลุ่มนั้นก็กลับเข้าฝั่งพร้อมกับปลาตัวใหญ่ ทุกคนต่างวางมือจากการทำงาน และเดินมามุงดู
“พวกเราจะทำอะไรกับปลาตัวนี้ดีจะต้มหรือว่าลาบ” ช่างบางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเพ่งมองปลาใหญ่ชั่วครู่
“จะทำอะไรกินก็ได้ทั้งนั้น แต่ปลาชนิดนี้คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนบอกไว้ว่าห้ามไม่ให้กินตับของมัน โดยเฉพาะคนป่วยนี้กินไม่ได้เด็ดขาด ตับมันมีพิษ” พ่อเฒ่าผุยออกความเห็น
“ปลาอะไรนี่พ่อเฒ่า เหมือนปลาเทโพเลย” เด็กหนุ่มวัยไม่เต็ม ๑๘ เอ่ยถาม
“ปลาเลิม”
เมื่อการมุงดูปลาใหญ่ผ่านไปไม่นาน ปลาตัวนั้นก็ถูกนำไปชำแหละทำอาหารแบ่งปันกันกิน อาหารการกินในวันนี้ถือว่าสมบูรณ์กว่าวันอื่นๆ มีทั้งต้มยำปลา ลาบปลา ห่อหมก รวมทั้งหลามใส่กระบอกไม้ไผ่ ทุกชิ้นส่วนของปลาถูกนำมาทำอาหารจนหมด ยกเว้นตับ เพราะความเชื่อที่ว่าตับของปลาเลิมนี้มีพิษ ตับจึงถูกขุดหลุมฝังอย่างดี
ตะวันคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ เครื่องมือทำงานหลายชิ้นถูกเก็บเข้าที่อีกครั้ง เวลาแห่งการงานอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่เปี่ยมด้วยความสุขเสร็จสิ้นลงอีกวัน หลังทุกคนวางมือจากงาน วงเหล้าวงเดิมถูกตั้งขึ้นมาเช่นเดิม แล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาเลิมก็ถูกนำกลับมาเล่าอีกครั้ง
“ปลานี้กูไม่เห็นนานแล้ว คิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่วันนี้ก็ได้เห็น นอกจากจะได้เห็นยังได้กินด้วย สมัยก่อนปลาเลิมนี่ไม่ใช่หาง่ายๆ กว่าจะได้ก็เสียเหงื่อพอสมควร เพราะต้องใช้เบ็ดดวงใหญ่เอาไม้ไผ่ ๓-๔ ลำเป็นคันเบ็ดจึงจะเอาปลาเลิมอยู่ เหยื่อเบ็ดนี่ใช้ลูกปลาก่าตัวเกือบ ๒ กิโลเป็นอย่างต่ำ” พ่อเฒ่าคำมี คนหาปลาวัยไม้ใกล้ฝั่งเอ่ยขึ้น
เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็น มหรสพริมฝั่งน้ำก็เริ่มขึ้นพร้อมกับการเดินทางมาของเสียงแคน เสียงพิณ เสียงลำ เหล้าขาวต้มกลั่นหอมกรุ่นถูกรินแจกจ่ายกันเช่นเดิม แม้ว่าลมหนาวของปลายฤดูฝนจะพัดมาเพียงใด แต่ความหนาวเย็นก็ถูกดับลงด้วยความร้อนจากกองไฟที่ส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา
“พ่อเฒ่าผมได้ยินคนบ้านใต้บอกว่า ปีนี้เขาได้แคนเสียงดีมา เขาจะเอาแคนมาประชันกับพ่อเฒ่า--พ่อเฒ่าคิดว่ายังไง”
“เรื่องแคนนี่แข่งกันไม่ได้หรอก เพราะไม่มีใครตัดสินว่าใครเป่าแคนได้ดีกว่าใคร แต่กูยืนยันว่าปีนี้พวกมึง และเหล่านางรำได้สนุกสนานกันเต็มที่แน่”
พ่อเฒ่าผุยพูดจบแกก็หยิบแคนขึ้นมาเป่าอีกครั้ง เสียงแคนเริ่มขึ้นในจังหวะเนิบช้า และรุนแรงรวดเร็วขึ้นตามลำดับ เหมือนกระแสน้ำยามหน้าฝนที่พุ่งไปกระทบกับฝั่ง และแก่งหินกลางลำน้ำ
“พ่อเฒ่า เขาว่าสุดยอดของลายแคนคือ ลายสุดสายแนนใช่หรือเปล่า” เด็กหนุ่มช่างสงสัยเอ่ยถาม
“ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ แต่กูว่าว่าลายแคนสุดสายแนนนั้น คนเป่าแคนเป่าได้ทุกคน แต่ถ้าเป็นลายแคนทางบ้านเรา มันต้องเป็นลายแบบผู้ไทหรือที่เขาเรียกว่า ‘ลายแคนทางลาว’ หมอแคนบ้านเราเป่าได้ดีกว่าหมอคนบ้านอื่นทีเดียว”
พ่อเฒ่าผุยบอกกับทุกคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ดวงจันทร์ใกล้วันเพ็ญลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เสียงแคนสลับเสียงพิณ เสียงลำยังคงสร้างความสนุกสนานให้กับคนที่อยู่ริมน้ำแห่งนั้น แต่ในความสนุกสนานไม่มีใครรู้ได้ว่าในใจของพ่อเฒ่าผุยคิดอะไรอยู่
“เสี่ยวเอย เฮาคึดว่ามื้ออื่นโตคงสิเอาแคนเสียงดีจากเมืองท่าแขกมาส่งเฮาทันเด้อ”
พ่อเฒ่าผุยเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับหันหน้าไปมองพระธาตุศรีโคตรตะบองที่อยู่ทางฝั่งซ้ายพระธาตุพนม ก่อนจะหยิบแคนขึ้นมาเป่าในจังหวะเศร้าสร้อยอ้อยอิ่งอีกครั้ง...