จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่า
โงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวัง
เรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ
“หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้น
ฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว ไม่กี่คนที่เหลืออยู่กำลังรอรถอุบล-กรุงเทพฯ เที่ยวสุดท้าย เห็นแสงไฟสว่างอยู่ห่างออกไปตรงป้ายที่เขียนว่า ห้องน้ำ 3 บาท
“เดี๋ยวมานะ” ฉันบอกเธอแล้วลุกเดินไปดู หวังว่าจะมีขนมปังหรืออะไรที่เธอพอจะกินได้บ้าง
หน้าห้องน้ำเป็นแผงขายหนังสือพิมพ์ มีหนังสือนิยายเล่มละสิบบาทกองอยู่บนชั้น กับหนังสือเรื่องย่อละครโทรทัศน์ที่กำลังฉายอยู่ 4-5 เรื่อง มีตู้แช่ใส่น้ำอัดลมกับเครื่องดื่มชูกำลัง และมะม่วงดองอีก 2-3 ถุง ใกล้กันมีแผงเล็กๆ ที่เดาว่ากลางวันอาจจะขายขนมอื่นๆ แต่ตอนนี้ว่างเปล่า
หันกลับไปมอง เธอยังยืนอยู่ที่เดิมและมองตรงมาที่ฉันอย่างไม่วางตา
เดินกลับมาค้นเป้ใบมอมๆ ที่แบกมาตั้งแต่สุพรรณฯ ยันอำนาจเจริญ พอถึงอุบลราชธานีมันก็ยับเยินใกล้หมดสภาพ นอกจากสมุด หนังสือ เทปบันทึกเสียง กับเสื้อผ้าเลอะๆ ที่ยังไม่ได้ซักแล้ว ก็มีแต่ยากับผ้าพันแผล และขวดที่มีน้ำเหลืออยู่ไม่กี่อึก
“ทำไงดีล่ะ” ฉันบ่นกับตัวเอง เห็นเธอขยับตัวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย คงหวังว่าฉันจะยื่นอะไรให้ แต่พอฉันส่ายหน้า บอกว่า “ไม่มีอะไรเลยจ้ะ” เธอก็หน้าสลด
หลังจากยืนอยู่จนแน่ใจว่าไม่ได้อะไรแล้ว เธอจึงค่อยๆ เดินเกร่ไปแถวๆ ถังขยะใบใหญ่ที่สูงกว่าตัวเธอมาก มีถุงขนมปลิวอยู่ที่พื้นใบหนึ่ง เธอใช้เท้าเขี่ยๆ ดู พอเห็นเป็นถุงเปล่าก็เดินข้ามไป ฉันภาวนาขออย่าให้เธอคุ้ยขยะ เพราะกลัวว่าเธอจะถูกใครๆ รังเกียจ แต่อีกใจกลับหวังแทนเธอว่า จะมีใครทิ้งถุงไก่ย่างหรือข้าวผัดที่กินไม่หมดไว้บ้าง
ไม่รู้ว่าคำภาวนาของใครได้ผล รถซาเล้งคันหนึ่งเข้ามาจอดใกล้ๆ ห้องน้ำ เป็นรถขายลูกชิ้นปิ้ง มีหลอดไฟเล็กๆ ติดไว้ดวงหนึ่งพอให้มองเห็นลูกชิ้นในถาด คนขายเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ มีผ้าขาวม้าพาดคอ เขากวาดตามองปริมาณคนที่รอรถอยู่ด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
ฉันรีบลุกไปสั่งลูกชิ้นสี่ไม้ ตาโรยๆ ของเขาดูมีประกายขึ้นนิดหน่อย
“ไม่ต้องอุ่นนะ” ฉันบอกเมื่อเห็นเขาเขี่ยถ่านใกล้มอดในเตาแล้ววางลูกชิ้นลงบนตะแกรงปิ้ง
“ไม่ต้องรีบหรอกคุณ รถเที่ยวท้ายยังไม่มาง่ายหรอก” เขาพูดเนือยๆ
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวร้อนเกินไป อ๊ะ ไม่ต้องจิ้มค่ะ” ฉันรีบบอกก่อนที่เขาจะจุ่มลูกชิ้นลงในโถน้ำจิ้ม
ถือถุงลูกชิ้นไปหาเธอที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ ถังขยะ ยังไม่ทันเรียก เธอก็หันขวับมาหาราวกับจะรู้ ฉันพาเธอไปนั่งหลังเสาต้นใหญ่ ไม่อยากให้คนขายลูกชิ้นเห็น เธอจ้องมือของฉันที่รูดลูกชิ้นออกจากไม้ ตัวสั่นด้วยความหิวและตื่นเต้น
ลูกชิ้นสี่ไม้หมดในพริบตา แต่เธอคงยังไม่อิ่ม หรือไม่ก็หิวมากยิ่งขึ้น เพราะเธอเอาแต่จ้องมองถุงเปล่าในมือของฉันและเลียริมฝีปากไม่หยุด ฉันจึงลุกไปหาคนขายลูกชิ้นอีกครั้ง
“ลูกชิ้นอีกสี่ไม้ค่ะ ไม่ต้องอุ่น แล้วก็ไม่ใส่น้ำจิ้ม”
คนขายมองถุงเปล่าที่ฉันถือติดมือไปด้วย หน้าคล้ำเฉยของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หยิบลูกชิ้นใส่ถุงตามสั่ง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดมือ แล้วถามขึ้นว่า
“เอาไปให้หมาใช่มั้ย”
ฉันสะดุ้ง อ้าว เห็นด้วยแฮะ ไม่พอใจหรือเปล่าเนี่ย
“ใช่แล้ว ก็มันหิวนี่นา สงสารมันน่ะ คงจะไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อกี้มันกินเร็วจนดูไม่ทัน สงสัยมันไม่อิ่ม เลยต้องมาซื้ออีก” ฉันรีบอธิบายยืดยาว ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าลูกชิ้นคุณภาพแย่จนฉันต้องเอาไปให้หมา
แต่ทันใดนั้น เขาก็ยิ้ม เป็นยิ้มใสๆ ที่ทำให้หน้าดำคล้ำนั้นสว่างขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“รู้มั้ย มันเป็นหมาแม่ลูกอ่อนนะ” เขาบอก “มันหิวบ่อยเพราะลูกมันดูดนม”
ท่าทางเขาเหมือนผู้ใหญ่ที่ตั้งใจจะอธิบายอะไรสักอย่างกับเด็ก ทั้งที่เขาคงอายุน้อยกว่าฉันหลายปี
“ใครเอามันมาทิ้งท่ารถก็ไม่รู้ มันออกลูกอยู่ตรงโน้นแน่ะ” เขาชี้ไปแถวๆ ริมกำแพงอีกฟากหนึ่งของสถานีขนส่ง ฉันมองตามมือเขา เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของพุ่มไม้
“ลูกมันมีสามตัว ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น วันไหนผมมาขายแถวนี้ ผมให้มันกินลูกชิ้นทุกทีแหละ ทีละไม้สองไม้ เห็นมันแล้วคิดถึงหมาที่บ้าน”
“แล้วบ้านพ่อค้าอยู่ไหนล่ะคะ” ฉันถาม
“บ้านผมไม่อยู่นี่ ผมคนบ้านโป่ง ราชบุรี ผมมาหางานทำ” เขายื่นถุงให้ฉัน ในนั้นมีลูกชิ้นห้าไม้ ฉันกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็บอกว่า
“ผมแถมไม้นึง เอาให้หมา”
..........
แม่ลูกอ่อนกินลูกชิ้นหมดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอยืนกระดิกหางให้ฉันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเต้านมแกว่ง ข้ามพื้นที่จอดรถของสถานีขนส่งหายไปในเงามืดของกำแพงฟากโน้น คงรีบกลับไปหาลูก
พรุ่งนี้เธอจะได้กินอะไร จะอิ่มบ้างไหม หรือจะวิ่งหิวโหยต่อไป ไม่มีใครบอกได้
คนขายลูกชิ้นถีบซาเล้งจากไป พรุ่งนี้เขาจะยังขายลูกชิ้น หรือจะได้งานใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนใจกลับไปบ้านเกิดที่มีครอบครัวและหมาๆ รออยู่ เขาเองก็อาจจะยังตอบไม่ได้เช่นกัน
ลมต้นฤดูหนาวพัดมาแผ่วๆ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงคนรัก มีกล่องกระดาษใบใหญ่ข้างตัว ม้านั่งปลายสถานีมีผู้ชายคนหนึ่งนอนคู้ตัวหลับอยู่ ทุกคนกำลังรอรถที่จะพาไปสู่จุดหมาย อาจเป็นปลายทางของบางคน และเป็นจุดเริ่มต้นของอีกบางคน
ฉันกลับมานั่งกอดเป้ใบเก่า ใจนึกถึงแม่และสมาชิกบ้านสี่ขา คิดถึงช่วงเวลาอบอุ่นของการกลับบ้าน แล้วก็คิดถึงการทำงานกับการเดินทางที่ไม่รู้จบ
วันพรุ่งนี้ของแต่ละคนอาจมีความหมายไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคงเป็น “ความหวัง” ที่ทำให้เรามีกำลังใจยิ้มรับวันใหม่ที่จะมาถึง รวมทั้งเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่