Skip to main content

"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน



ฉันย้อนนึกไปถึงยามนั้นเมื่อ
2 ปีก่อน ตอนที่อยู่ในร้านข้างถนน เจ้าแมวน้อยเดินมา ร้องแอ๊วๆ ใช้มือเล็กๆ เขี่ยกางเกง มันกางเล็บอย่างเผลอตัว หน้าตาไม่ไว้วางใจใคร แต่แววตาก็ร้องขออาหารและการดูแลเอาใจใส่

เจ้าของร้านที่เห็นเข้า ก็เดินปราดเข้ามาทันที เขาใช้เท้าเขี่ยยี่เป็งให้ไปเสียพ้นๆ พอฉันถามไปว่าเป็นลูกแมวของร้านหรือเปล่า เขารีบส่ายหน้า แล้วรำพึงปรับทุกข์ว่าไม่รู้จะจัดการกับแมวจรจัดพวกนี้อย่างไร ทั้งเอาน้ำฉีดมันก็แค่หลบสักพักก็มาใหม่ บางครั้งเลยเอาถังน้ำเทใส่ทั้งถัง จะได้เข็ดจำไม่กลับมาอีก บางทีก็ทั้งไล่ ทั้งตี หรือไล่แจกชาวบ้านที่ต้องการเลี้ยงดู แต่ก็มีแต่คนส่ายหน้า


ฉันพยักหน้าเข้าใจ แล้วจึงขออนุญาตเก็บมันไปเลี้ยง เจ้าของร้านทำหน้าตาดีใจมาก อวยพรฉันเสียยกใหญ่ว่าเป็นการทำบุญ ฉันตั้งชื่อเป็นที่ระลึกถึงวันที่พบกับยี่เป็ง พอเรียกชื่อมันก็หันมามอง คิดในใจว่ายี่เป็งช่างเรียนรู้ได้เร็วเหลือเกิน แค่เรียกชื่อไม่กี่ครั้งก็จำได้


แต่จากวันนั้นมา ตลอด
2 ปีที่ฉันเรียนรู้กลับไม่ได้เป็นแบบที่คิด ไม่ว่าเราจะเรียกชื่อว่า “ยี่เป็ง” “พี่แม้ว” ต้นข้าว ใบไม้ ผีเสื้อ หรือชื่ออะไรก็ตาม ยี่เป็งจะหันมามองและเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆ เหมือนรู้สึกว่า นั่นคือการเรียกให้เข้ามาหา


ความที่ฉันมีแมวอยู่แล้วตัวหนึ่ง และเป็นแมวไฮเปอร์ที่อยู่ไม่สุข ยี่เป็งจึงเป็นโลกอีกใบที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ การเดินที่เชื่องช้า สายตาสั้น มองอะไรไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยชัด เมื่อหยิบจานข้าวไปวางให้กิน กว่ายี่เป็งจะเยื้องย่างมาถึง ดมกลิ่น เลีย นั่งมอง แล้วลงมือกิน แมวอีกตัวก็อิ่มและวิ่งไปไหนต่อไหนแล้ว แต่ด้วยความฝังใจในตอนเด็กที่ยี่เป็งไม่ค่อยมีอาหารกิน มันกลับเป็นแมวที่ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินเอาไว้ก่อนไม่ให้เหลือ ราวกับมันไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะมีให้กินอีกหรือเปล่า


เมื่อยี่เป็งกินเสร็จแล้ว ก็ต้องการนอน ยี่เป็งใช้เวลานานมากกว่าจะหาที่นอนได้ ทั้งที่ปูผ้าใส่กล่องไว้แล้ว หรือจะเป็นเบาะนุ่มๆ ที่ฉันอนุญาตให้อยู่ร่วมกันได้ทุกเวลา แต่ยี่เป็งก็จะมัวแต่หันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูก บางทีก็ไปกองอยู่ข้างประตู เหมือนเป็นผ้าขี้ริ้วชิ้นหนึ่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมมไม่ทำความสะอาด มีแมวอีกตัวที่พยายามเลียขนให้ สอนให้เช็ดหน้า และฉันที่คอยเช็ดขี้ตาเกรอะกรังนั้นให้ทุกเช้า



สุขภาพของยี่เป็งไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในหน้าหนาว ยี่เป็งมีอาการหายใจติดขัด ต้องรับการฉีดยาและวัคซีนเป็นประจำ เคยเป็นหนักขนาดปอดอักเสบ ซึ่งพี่แม้วแมวอีกตัวพยายามสอนยี่เป็งให้ฝึกกินหญ้า แมวสองตัววนเวียนอยู่ในสวนหลังบ้าน แล้วก็พบว่าพี่แม้วทำหน้าเซ็งๆ เดินออกมาและหนีไปอยู่คนเดียว ส่วนยี่เป็งเดินทำหน้างงๆ มาเสมอ แล้วกระโดดขึ้นตัก พร้อมจะหลับไม่ว่าฉันจะทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือทำงาน หรือกระทั่งนั่งอยู่ในห้องน้ำโดยไม่ได้ปิดประตู


แน่นอนว่าบางครั้ง ฉันจึงเผลอโกรธยี่เป็ง โดยเฉพาะการพยายามควานหาที่นอน ไม่ว่าจะบนโต๊ะทำงาน ปล่อยให้ข้าวของตกหล่นเสียหาย บนโต๊ะกินข้าวที่ไม่สนใจว่าจะมีอะไรวางอยู่ หรือแม้แต่บนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ที่ฉันต้องอุ้มออกไปเป็นประจำพร้อมอาการหัวเสีย ฉันเคยจับยี่เป็งไปโยนไว้ที่โรงรถ ให้หาแมลงสาป ผีเสื้อ ตัวหนอนเล่นไป ก็พบว่ากว่ายี่เป็งจะลุกขึ้นมาไล่จับ สัตว์พวกนั้นก็บินหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ยี่เป็งหาทางออกด้วยการหนีไปเล่นบ้านข้างๆ โดยไม่รับรู้ว่ามีหมาตัวใหญ่ๆ อยู่ข้างรั้ว มีแมวยักษ์ที่พร้อมจะต่อสู้ มีคนที่ไม่ชอบแมว และพยายามจะนั่งตักเขา และทุกวันก็จบด้วยการบาดเจ็บหรือขวัญหนีกลับมาบ้าน



แต่ยี่เป็งก็ไม่เคยเข็ด สามารถเดินเข้าไปหาเจ้าแมวยักษ์แล้วล้มตัวหงายเผละออดอ้อนชวนเขาเล่น ไม่มีสัญชาตญาณว่าสิ่งรอบตัวเป็นภัยหรือไม่ ฉันต้องปวดหัวบ่อยๆ กับการคอยเดินตามยี่เป็ง คอยแยกจากแมวตัวอื่น คอยเรียกเข้าบ้านทั้งวัน กระทั่งขุ่นเคืองที่ยี่เป็งทำเสียเวลาบ่อยๆ และไม่สามารถจัดการกับแมวตัวนี้ได้ ถึงขนาดลงโทษยี่เป็งด้วยการไม่คุยด้วย และตวาดเสียงดังๆ ใส่ยี่เป็งสองสามครั้ง ทำเอายี่เป็งเงียบไปและหายออกจากบ้าน

อากาศตอนนี้หนาวมาก ฉันเจอยี่เป็งอีกครั้งในเช้าวันถัดมา ยี่เป็งตัวสั่น ลำตัวมีแต่บาดแผล แต่ก็ยังดูไม่ค่อยรู้สึกตัวนักแม้จะมีรอยเลือดติดตามขนและลำตัว ฉันอุ้มยี่เป็งมาไว้แนบอก ดวงตาที่มองมานั้นออดอ้อนเหลือเกิน มันซุกหน้าลงบนอกแล้วร้องเบาๆ ฉันจัดการเช็ดตัวทำแผล เมื่อวางบนพื้นเบาะยี่เป็งหันมามองหน้า เหมือนจะถามว่า ฉันขอนอนใกล้ๆ ได้ไหม อย่าให้ฉันไปไหนเลย


ฉันน้ำตาคลอๆ พายี่เป็งไปนั่งผิงแดดอุ่นอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้ ให้นอนบนตักจนหลับไป ฉันอ่านหนังสือจบไป
1 เล่ม ยี่เป็งก็ยังนอนนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน กระทั่งฉันขอตัวไปทำงาน ค่อยๆ อุ้มยี่เป็งจากตักวางไว้บนเสื่อ เนิ่นนานผ่านไปจนถึงบ่าย ยี่เป็งฟื้นตัวอีกครั้ง เดินเข้ามาหาข้าวกินอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปนอนอยู่มุมหนึ่งของบ้าน



อากาศข้างนอกหนาวเหลือเกิน หนาวเหมือนหัวใจข้างใน ยามที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรผิด แต่ในความหนาวเย็นนั้นก็อบอุ่นเสมอ หากเราได้เรียนรู้จากความผิดเหล่านั้น ฉันเข้าไปอุ้มยี่เป็งมาไว้แนบตัก จัดที่นอนบนเบาะนุ่ม วางลงและห่มผ้าให้ พิจารณาตัวอุ่นๆ ที่หายใจเบาๆ พุงกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ แล้วก็คิดได้ว่า บางทียี่เป็งก็เป็นแค่แมว แต่ยี่เป็งไม่ได้เป็นแมวทั่วๆ ไป


เหมือนคนๆ หนึ่ง ที่ไม่สมบูรณ์นักในการมีชีวิต เหมือนของมีตำหนิที่ไม่มีใครอยากได้ หากใจแข็งเราก็มักทิ้งของเหล่านั้นไปเสีย ไม่เก็บไว้ให้รกบ้าน แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้กับสิ่งที่มีชีวิต ไม่ว่ายี่เป็งจะเป็นอย่างไร มันก็คือเพื่อนของฉัน และซ้ำยังเป็นเพื่อนที่สอนให้ฉันรู้จักให้อภัยมากกว่าสิ่งอื่นๆ ที่ฉันได้พบ สอนให้ฉันหัวเราะทั้งที่ต้องเก็บกวาดอึและฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง สอนให้ฉันปล่อยวางเวลาข้าวของเสียหายและหามาใหม่โดยไม่สามารถเรียกความเสียหายจากมันได้ เหมือนเรื่องอื่นๆ อีกมากในชีวิต ที่เราต้องยอมเสียใจและอย่าไปคิดที่จะเอาคืน


ไม่มีการคาดหวัง ไม่มีความทุกข์จากสิ่งที่เราอยู่ร่วม นั่นคือสิ่งที่ยี่เป็งกำลังสอนฉัน ผ่านไป
2 ปี โลกที่หมุนช้าๆ ของยี่เป็ง ทำโลกหมุนเร็วของฉันให้ช้าลงไปด้วย และฉันกลับพบความรักอีกรูปแบบหนึ่ง รักสิ่งที่มีตำหนิชิ้นนี้ และชิ้นอื่นๆ อีกมากในโลก โดยไม่คาดหวังให้มันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกสมบูรณ์มากที่สุด


ในตัวของฉันเอง

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…