Skip to main content

"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
\\/--break--\>
พ่อเฒ่าวัย  85  ปี  เหยียดลำตัวผอมบางเก้งก้าง  เอนกายนอนบนเรือนไม้ที่โล่งสบายหลังกินข้าวมื้อเย็น  เขานอนมองท้องฟ้าจากชานเรือน  ปล่อยให้สายลมพัดผ่านผิวกายอย่างสบายใจ  อยู่กับลมกับฝนแล้วเขารู้สึกว่าปลอดภัยกว่าอยู่กับคน  ไม่ถึงกับชิงชัง  แต่เขาแค่รู้สึกว่า  มนุษย์นั้นมีความต้องการมากมายเหลือเกิน  บ่อยครั้ง  ความต้องการของพวกเขาก็ล่วงละเมิดชีวิตของคนอื่น 

ผู้เฒ่าคิดว่า  ต่อให้รู้ว่าเขาสุขภาพไม่แข็งแรง  เดินเหินไม่ได้เหมือนแต่ก่อน  เขาก็ไม่เคยรู้สึกทุกข์ร้อนกับการมีอาศัยอยู่บนที่ดินผืนเล็กๆ  และบ้านไม้เก่าซอมซ่อ 
  ซึ่งหลายคนบอกเขาว่า  มันไม่คู่ควรกับสถานะของการเป็นผู้เฒ่าในหมู่บ้าน 

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา  เขาทำกิจกรรมมากมาย  ผ่านร้อนผ่านหนาวตามประสาชายหนุ่ม  จนมีลูกมีหลาน  ใครจะว่าอะไรก็ช่าง  ยามที่เขาดุดันด่าว่าลูกเล็กเด็กแดง  ก็ในเมื่อเขาผ่านน้ำร้อนมาก่อน  มีอะไรก็ต้องสอนสั่งให้รู้เท่าทันคน  แต่พอพวกเขาโตก็พากันย้ายไปอยู่ที่อื่น  ปล่อยให้เขาอยู่กับบ้านไม้โย้เย้ที่สร้างเอาไว้เมื่อ  30  ปีก่อน  แต่ก็ช่างเถิด  ผู้เฒ่าคิดว่า  มนุษย์นั้นจิตใจซับซ้อน  เดินตามความต้องการของคนอื่นก็มีแต่จะเป็นทุกข์ 

แน่นอนว่า  หลายปีผ่านมานี้  พ่อเฒ่าจึงไม่อยากคุยกับใคร  ไม่อยากสุงสิงหรือรับฟังเรื่องคนอื่น  บ้านไม้หลังนั้นกับชายชราที่เดินไม่ได้  นับวันจึงมีคนเข้าออกน้อยลงไปทุกที 
....................

ท้องฟ้าเป็นสีแดงจัด  ฉันรู้สึกอย่างนั้น  ตอนที่ขับรถกลับมาจากตลาด  แต่สักครู่  สีแดงเหล่านั้นก็โบยบินจางหายไปจากท้องฟ้า  สีครามแปดเปื้อนไปถ้วนทั่วอย่างไร้ระเบียบ 

"ท้องฟ้าหน้าร้อน  เอาแน่เอานอนไม่ได้"  คนข้างตัวฉันบอก
"อ้าว  แล้วท้องฟ้าหน้าฝนล่ะ"  ฉันถามเสียงสูง
"นั่นไว้ใจไม่ได้มากกว่าอีก  แต่เรารู้ยังไงล่ะว่าหน้าฝนยังไงก็ต้องระวัง  หน้าร้อนคนไม่ค่อยระวังหรอก"
"อ้อ..."
ฉันพยักหน้า  ที่เขาว่าก็มีเค้าอยู่จริง  เรารีบทำกับข้าว  เตรียมตัวทานมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยจากพืชผักสดใหม่ที่ได้จากตลาด  แต่แย่เหลือเกินที่แก๊สดันหมด  เราสองคนจึงต้องคว้ากระเป๋าตังค์ออกไปหาอะไรกินข้างนอก

เราขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าหมู่บ้าน  ลานอเนกประสงค์วันนี้มีการประชุมอะไรสักอย่าง  ฉันรู้สึกทุกครั้งที่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมกับพวกเขา  ความรู้สึกนั้นอธิบายไม่ได้  อาจเพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้ไม่ค่อยมีธุระร่วมกับใคร  ทำได้ก็เพียงแค่ส่งยิ้มและทักทายกันไปตามประสาคนชุมชนเดียวกัน

อาหารวันนี้อร่อยดี  จบลงด้วยการกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำข้างตลาด  ท้องฟ้าส่งเสียงดังอยู่ชั่วครู่  ตามมาด้วยลมแรงที่พัดหอบใบไม้ปลิวได้ไกลกว่าที่เคย

"รีบเข้าบ้านดีกว่า"
ฉันว่า  พร้อมกับเสียงประกาศตามสายของหมู่บ้านดังแว่วมาในเวลาค่ำ  ผู้ใหญ่บ้านประกาศว่า  มีแนวโน้มว่าพายุฟ้าฝนจะเข้า  ขอให้พี่น้องบ้านเราเก็บข้าวของ  ระวังฟืนไฟให้ดี  เราทุกคนรับทราบตามนั้น 
ขณะคนข้างบ้านของฉันบ่นเบาๆ  ว่า
"ประกาศอีกแล้ว  มันก็เป็นแบบนี้ของมันทุกปี"
................ 

 

ผ่านช่วงลมแรงไปเกือบชั่วโมงแล้ว  แต่ฝนก็ยังไม่ตก  ท้องฟ้าร้อนครืนๆ  แปลกประหลาด  ฉันกวาดตามองหาเจ้าแมวที่วิ่งเล่นไปมา  แล้วหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง  แมวของฉันกลัวเสียงฟ้าร้องและกลัวฝน  แต่รู้ว่าเวลาที่ท้องฟ้าแปรปรวนหนักจริงๆ  มันสองตัวจะยอมวิ่งฝ่าสายฝนกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพเปียกมะล่อกมะแล่ก

เกือบสองทุ่มแล้ว  ลมที่แรงก็ยังแรงอย่างต่อเนื่อง  ผู้ใหญ่บ้านขี่จักรยานฝ่าคลื่นลมที่พัดกองฝุ่นปลิวตลบอบอวลไปยังศาลาประกาศของเขา  เสียงดังฟังชัดจากลำโพงโดยไม่ต้องมีบทเพลงมาเกริ่นนำ  แจ้งให้ทราบว่า  ตอนนี้ลมแรงกว่าที่คิด  ให้พี่น้องบ้านเราช่วยกันเป็นหูเป็นตาแทนกัน 

"คนไหนดูท่าไม่ค่อยดีให้หลีกเลี่ยง  อย่าอยู่ที่โล่งแจ้ง  ถ้าบ้านสภาพไม่ดีก็ออกมาอาศัยบ้านคนอื่นก่อน"
เขาว่าแบบนั้น  ฉันจึงมองสภาพบ้านของตัวเอง  มันเป็นบ้านแข็งแรงที่ใช้ได้  ต้นไม้ของเราหนาทึบ  มีทั้งมะม่วง  ขนุน  มะยม  ลำไย  กอไผ่  อย่างน้อยก็คงจะช่วยปกป้องไม่ให้ลมมากวาดอะไรจากเราไปได้

แต่บ้านของผู้เฒ่าไม่ได้เป็นแบบนั้น...

  

ชายชราคิดว่าเขาไม่อยากออกจากบ้าน  ทิ้งตรงนี้ไปใครเขาจะหาว่าขี้ขลาด  คนข้างบ้านเดินมาเตือน  มามอง  แกก็ไล่ไปเสีย  จนกระทั่งแกรู้สึกตัวว่า  ผนังบ้านทั้งสี่ด้านของแก  เริ่มหลุดออกจากเสา  ปลิวตามแรงลมไปทีละด้าน 

ทั้งหลังคาก็ปลิวหลุดหายไปทีละส่วน  ช่วงที่ลมแรงที่สุดนั้นสั้นเหลือเกิน  หายใจได้ไม่กี่นาที  แกก็พบตัวเองนอนอยู่บนเรือน  ซึ่งไม่มีผนัง  ไม่มีหลังคา  สมบัติเสื้อผ้าที่มีก็ปลิวไปกับลม  ผู้เฒ่าไม่ได้ออกจากบ้านมานับหลายปีแล้ว  แกจึงจำสมาชิกในหมู่บ้านได้ไม่หมดด้วยซ้ำ  ตอนที่ทุกคนมาช่วยกันอุ้มแกลงจากเรือน

หลายๆ  มือโอบล้อมร่างผอมบางนั้นแล้วยกลงมาอยู่ในที่ปลอดภัย  มองเห็นพายุที่กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปต่อหน้า  ไม่สามารถมีใครหยุดยั้งมันได้  ผู้เฒ่านอนระทวยอยู่ในบ้านเพื่อนบ้านหลังถัดไป  ขยี้ตามองเรือนไม้ของแกกลางพายุ  แล้วน้ำตาก็ไหล

ไม่มีใครรู้ว่าน้ำตาพ่อเฒ่าไหลไปมากเท่าไหร่  ตลอดทั้งคืนที่รอคอยให้พายุสงบลง

รู้แต่ว่าในตอนเช้า  เมื่อสิ้นเสียงพ่อหลวงประกาศให้ไปช่วยกันซ่อมแซมบ้านให้พ่อเฒ่า  คนละไม้ละมือ  หอบไม้กันมาคนละท่อนสองท่อนประกอบเรือนไม้หลังนั้นให้กลับคืนมาเป็นสภาพใหม่  ผู้คนที่แกเคยปฏิเสธจะสุงสิงและเคยถูกแกด่าทอ  ก็ปล่อยอดีตให้ปลิวหายไปกับพายุ  ต่อให้เคยเกลียดชังกันขนาดไหน  ยามเดือดร้อนมีหรือที่ใครจะนิ่งนอนใจได้

ฉันเก็บมะม่วงที่หล่นเพราะพายุได้  2  กะละมัง  สำรวจต้นขนุนที่หักโค่นลงมาทั้งสองต้น  ไม้ไผ่ที่พาดมายังหลังคาบ้าน  แล้วเตรียมตัวจดบันทึกเพื่อไปแจ้งแก่พ่อหลวง  ผ่านไปยังบ้านของผู้เฒ่า  ยิ่งนานเข้าคนก็ยิ่งมาก 

"ผู้เฒ่าปลอดภัยใช่ไหมคะ"
ฉันถามใครคนหนึ่ง  เขาชี้นิ้วไปยังร่างบอบบางที่นอนอยู่บนแคร่  มองผ่านแว่นสายตาไปยังความอลหม่านที่อยู่บริเวณนั้น
ฉันว่าฉันเห็น...ผู้เฒ่ายิ้ม 
และเป็นยิ้มที่สวยงามที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งผ่านพายุฤดูร้อนมาขนาดหนักแบบนั้น.

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…