อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่ ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน
“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”
คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน
เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง
เจ้าแม่คงคาจะยังปราณีเราอยู่อีกไหม หากเราจะโทษเอาแต่แรงของพายุ ?
ความจริงฉันตั้งใจไปซื้อใบพัดลม ด้วยความซุ่มซ่ามเดินชนมันจนล้มไปวันก่อน ใบพัดลมแหว่งไปแค่อันเดียว แต่พาลไม่หมุนไปทั้งแผง เมื่อกดเปิด ใบพัดลมที่ขาดสมดุลนั้นก็พัดด้วยเสียงกร่ากๆ กร่ากๆ แล้วก็หยุด
ความมุ่งมั่นขณะฝ่าลมพายุออกไปนั้น ชวนให้น่าขบขันตัวเองอยู่ไม่น้อย - ฝ่าพายุไปซื้อพัดลม - แล้วไม่รู้ว่าฝนใกล้จะตกหรือยัง คนขับบิดมอเตอร์ไซค์ให้เร็วขึ้น โชคดีที่ว่าเส้นทางจากบ้านเราไปห้างสรรพสินค้านั้นรถไม่ติด และไม่ต้องผ่านไฟแดง เลียบน้ำไปขึ้นสะพานก็ไปสิ้นสุดยังที่หมายเอาไว้
“หรือว่าเราจะยังไม่ไปซื้อ”
ฉันรำพึงเบาๆ ขณะปัดเอาเศษใบไม้ออกจากเสื้อ
คนขี่มอเตอร์ไซค์ลดความเร็วลงนิดหน่อย แล้วบอกว่า
“ตั้งใจออกมาแล้วนะ แล้วเราก็ไม่ได้ไปซื้อใบพัดลมอย่างเดียวด้วย”
“อื้อ”
ฉันตอบรับด้วยเหตุผลตามนั้น กระพริบตาถี่ๆ จากเศษผงในอากาศที่ปลิวเข้ามา
แต่สักพักก็ต้องรีบหลับตาปี๋ เพราะควันสีขาวที่พวยพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าอย่างแรง ทำให้ทั้งกลั้นหายใจและลืมตาไม่ได้
คนขับจอดรถอย่างด่วน!
“เป็นไง”
“แสบตามาก นี่ควันอะไรกันเนี่ย หรือว่าไฟไหม้”
เราสองคนทำหน้าตระหนกอยู่ในแรงลม หันซ้ายหันขวา แล้วค่อยๆ ออกรถอย่างช้าๆ พร้อมหรี่ตาไปด้วย
จากตรงนั้นไม่นาน ฉันก็ได้เห็น ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีโลกส่วนตัวสูง เขาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ เขาคงไม่อยากฟังข่าวสารบ้านเมืองหรือพูดคุยกับใครเป็นแน่
ในเมื่อเขาพยายามจุดไฟเผาขยะกองโตหน้าบ้าน ท่ามกลางพายุที่กำลังมา !
หรือเขากำลังคิดว่า ลมมันแรง ควันจะได้รีบกระจายหายไป ? หลักกลศาสตร์ แรงดึงดูด ความเร็วลม อะไรต่อมิอะไรในหัวของฉันแล่นไปหาเหตุผล แล้วก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเขาพยายามพัดวีให้กองขยะของเขามีไฟ แต่ก็ดูเหมือนจะมีแต่กลุ่มควัน ขณะที่ใบไม้แห้งกรอบก็ยังโปรยปรายอยู่ถ้วนทั่ว
ในเมื่อเขาเองยังไม่รู้สึกแสบตาที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาคงไม่คิดไปถึงว่าใบไม้ที่ติดไฟจะปลิวไปยังที่ไหนบ้าง
ฉันอยู่ในอาการคิ้วขมวด ขณะที่คนขับจอดรถแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“จะโทรไปไหน” ฉันถาม
“คิดอยู่ว่าจะโทรแจ้ง 191 หรือว่าจะโทรบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาคุยกันก่อน”
“อืม...”
ฉันอ้ำๆ อึ้งๆ ยังเผลอนึกห่วงไปว่า กฎหมายจะมีผลอะไรกับเขาไหม บ้านเรือน ชุมชน และคนแถวนี้ ต่างก็เคยอยู่กันถ้อยทีถ้อยอาศัย และปกครองกันและกันมาตั้งแต่ในอดีต
หรือว่าเราอยู่ในยุคสมัย ที่กฎหมายต้องจัดการไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่การเห็นอกเห็นใจกันอีกต่อไปแล้ว
................
เย็นวันนั้น ฉันกลับมาบ้าน ด้วยการหอบใบพัดลมฝ่าลมพายุมาเหมือนตอนไป แต่สุดท้ายแล้วฝนก็ไม่ตก เสียงประกาศตามสายของผู้ใหญ่บ้านฟังดูเคร่งเครียด และเน้นย้ำตรงคำว่า “ดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด” แต่ไม่รู้ว่าขั้นเด็ดขาดนั้นได้แก่อะไรบ้าง
ถึงบ้านแล้ว ไฟกระชากไปอยู่หลายนาที เมื่อไฟฟ้ากลับมาแล้ว คนที่บ้านจัดแจงแกะอะไหล่พัดลม แยกออกเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ใบพัดเพื่อประกอบเข้าไปใหม่
สุดท้ายแล้วก็พบว่า พัดลมไม่หมุน!
“สงสัยมิเตอร์มันเสียแล้วล่ะ”
“แล้วแบบนี้เราต้องทำยังไงล่ะ”
“ก็ต้องเปลี่ยนมิเตอร์ใหม่ไปเลย ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องซื้อพัดลมใหม่”
“อืมม นั่นสินะ แต่เราก็ต้องลองซ่อมดูก่อนใช่ไหมล่ะ”
“ฮื่อ!”
เขาตอบฉันแบบนั้น เป็นเวลาที่พายุเริ่มต้นสงบลงแล้ว ใบไม้มากมายที่ปลิวโลดแล่นไปมาในอากาศ ตกกระทบกับผืนดินอีกครั้งและอยู่อย่างนิ่งสงบ ขณะมองไปยังกอไผ่ที่มีลำต้นโค่นเอียงมาพาดหลังคาบ้านฉันอยู่ 2-3 ลำ และพรุ่งนี้เราก็ต้องตัดมันทิ้ง
ถ้าโลกกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน เรายังจะซ่อมมันได้ไหม?
แล้วถ้าโลกมันผุพังจริงๆ แบบพัดลมของฉัน
ใครกันนะจะเป็นคนซื้อโลกใบนี้มาเปลี่ยนให้?