Skip to main content

20080226 วางภาพประกอบ 1

อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน

“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”
คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน

เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง

เจ้าแม่คงคาจะยังปราณีเราอยู่อีกไหม  หากเราจะโทษเอาแต่แรงของพายุ ?

ความจริงฉันตั้งใจไปซื้อใบพัดลม  ด้วยความซุ่มซ่ามเดินชนมันจนล้มไปวันก่อน ใบพัดลมแหว่งไปแค่อันเดียว แต่พาลไม่หมุนไปทั้งแผง เมื่อกดเปิด ใบพัดลมที่ขาดสมดุลนั้นก็พัดด้วยเสียงกร่ากๆ กร่ากๆ แล้วก็หยุด

ความมุ่งมั่นขณะฝ่าลมพายุออกไปนั้น ชวนให้น่าขบขันตัวเองอยู่ไม่น้อย - ฝ่าพายุไปซื้อพัดลม -  แล้วไม่รู้ว่าฝนใกล้จะตกหรือยัง คนขับบิดมอเตอร์ไซค์ให้เร็วขึ้น โชคดีที่ว่าเส้นทางจากบ้านเราไปห้างสรรพสินค้านั้นรถไม่ติด และไม่ต้องผ่านไฟแดง เลียบน้ำไปขึ้นสะพานก็ไปสิ้นสุดยังที่หมายเอาไว้

“หรือว่าเราจะยังไม่ไปซื้อ”
ฉันรำพึงเบาๆ ขณะปัดเอาเศษใบไม้ออกจากเสื้อ
คนขี่มอเตอร์ไซค์ลดความเร็วลงนิดหน่อย แล้วบอกว่า
“ตั้งใจออกมาแล้วนะ  แล้วเราก็ไม่ได้ไปซื้อใบพัดลมอย่างเดียวด้วย”
“อื้อ”


ฉันตอบรับด้วยเหตุผลตามนั้น กระพริบตาถี่ๆ จากเศษผงในอากาศที่ปลิวเข้ามา
แต่สักพักก็ต้องรีบหลับตาปี๋ เพราะควันสีขาวที่พวยพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าอย่างแรง ทำให้ทั้งกลั้นหายใจและลืมตาไม่ได้
คนขับจอดรถอย่างด่วน!

 

20080226 วางภาพประกอบ 2

“เป็นไง”
 “แสบตามาก นี่ควันอะไรกันเนี่ย หรือว่าไฟไหม้”

เราสองคนทำหน้าตระหนกอยู่ในแรงลม หันซ้ายหันขวา แล้วค่อยๆ ออกรถอย่างช้าๆ พร้อมหรี่ตาไปด้วย

จากตรงนั้นไม่นาน ฉันก็ได้เห็น ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีโลกส่วนตัวสูง เขาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ เขาคงไม่อยากฟังข่าวสารบ้านเมืองหรือพูดคุยกับใครเป็นแน่
ในเมื่อเขาพยายามจุดไฟเผาขยะกองโตหน้าบ้าน ท่ามกลางพายุที่กำลังมา !

หรือเขากำลังคิดว่า ลมมันแรง ควันจะได้รีบกระจายหายไป ? หลักกลศาสตร์ แรงดึงดูด ความเร็วลม อะไรต่อมิอะไรในหัวของฉันแล่นไปหาเหตุผล แล้วก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเขาพยายามพัดวีให้กองขยะของเขามีไฟ แต่ก็ดูเหมือนจะมีแต่กลุ่มควัน ขณะที่ใบไม้แห้งกรอบก็ยังโปรยปรายอยู่ถ้วนทั่ว

ในเมื่อเขาเองยังไม่รู้สึกแสบตาที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาคงไม่คิดไปถึงว่าใบไม้ที่ติดไฟจะปลิวไปยังที่ไหนบ้าง

20080226 วางภาพประกอบ 3

ฉันอยู่ในอาการคิ้วขมวด  ขณะที่คนขับจอดรถแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“จะโทรไปไหน” ฉันถาม
“คิดอยู่ว่าจะโทรแจ้ง 191  หรือว่าจะโทรบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาคุยกันก่อน”
“อืม...”


ฉันอ้ำๆ อึ้งๆ ยังเผลอนึกห่วงไปว่า กฎหมายจะมีผลอะไรกับเขาไหม บ้านเรือน ชุมชน และคนแถวนี้ ต่างก็เคยอยู่กันถ้อยทีถ้อยอาศัย และปกครองกันและกันมาตั้งแต่ในอดีต

หรือว่าเราอยู่ในยุคสมัย ที่กฎหมายต้องจัดการไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่การเห็นอกเห็นใจกันอีกต่อไปแล้ว

................

เย็นวันนั้น ฉันกลับมาบ้าน ด้วยการหอบใบพัดลมฝ่าลมพายุมาเหมือนตอนไป แต่สุดท้ายแล้วฝนก็ไม่ตก  เสียงประกาศตามสายของผู้ใหญ่บ้านฟังดูเคร่งเครียด และเน้นย้ำตรงคำว่า “ดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด” แต่ไม่รู้ว่าขั้นเด็ดขาดนั้นได้แก่อะไรบ้าง

ถึงบ้านแล้ว ไฟกระชากไปอยู่หลายนาที เมื่อไฟฟ้ากลับมาแล้ว คนที่บ้านจัดแจงแกะอะไหล่พัดลม แยกออกเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ใบพัดเพื่อประกอบเข้าไปใหม่

สุดท้ายแล้วก็พบว่า  พัดลมไม่หมุน!

“สงสัยมิเตอร์มันเสียแล้วล่ะ”
“แล้วแบบนี้เราต้องทำยังไงล่ะ”
“ก็ต้องเปลี่ยนมิเตอร์ใหม่ไปเลย ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องซื้อพัดลมใหม่”
“อืมม นั่นสินะ แต่เราก็ต้องลองซ่อมดูก่อนใช่ไหมล่ะ”
“ฮื่อ!”


เขาตอบฉันแบบนั้น เป็นเวลาที่พายุเริ่มต้นสงบลงแล้ว  ใบไม้มากมายที่ปลิวโลดแล่นไปมาในอากาศ ตกกระทบกับผืนดินอีกครั้งและอยู่อย่างนิ่งสงบ ขณะมองไปยังกอไผ่ที่มีลำต้นโค่นเอียงมาพาดหลังคาบ้านฉันอยู่ 2-3 ลำ และพรุ่งนี้เราก็ต้องตัดมันทิ้ง

ถ้าโลกกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน  เรายังจะซ่อมมันได้ไหม?
แล้วถ้าโลกมันผุพังจริงๆ แบบพัดลมของฉัน
ใครกันนะจะเป็นคนซื้อโลกใบนี้มาเปลี่ยนให้?
    

20080226 วางภาพประกอบ 4

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…