Skip to main content

“ฝนกำลังตกซิๆ”
เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้

คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง

วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย” มันเป็นประโยคเตือนสติให้ยอมรับว่าบางครั้ง สิ่งที่น่ารำคาญในชีวิตคนเรา กลับเป็นเรื่องที่จบได้ยาก

“อ้าว ทำไรอยู่ เงียบไป” เพื่อนหนุ่มทักท้วงมา อาจพอรู้ได้ว่าฉันปล่อยความคิดไปไกลเกินไป เขาดึงฉันกลับมาด้วยเหตุการณ์น่าระทึกขวัญพอสมควร เกี่ยวกับกลับบ้านเที่ยวนี้
“พ่อผมโดนรถชน ขาหักสามท่อน ตอนนี้ยัดเหล็กเข้าไป แล้วนอนอยู่โรงพยาบาล”
“ตายจริง”
ฉันอุทานออกมา คราวนี้สติกลับมาอยู่ครบถ้วน นึกไปยังใบหน้าเรียวเล็กของเขา กลับแววตาเลื่อนลอยครั้งหลังสุดก่อนจะย้ายกลับไป

“ผมว่ามันเป็นชะตากรรมนะ จำได้ไหม ผมบอกว่าผมควรจะกลับบ้าน อย่างน้อยก็กลับมาตั้งหลัก ว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต ผมได้กลับมาทันดูแลพ่อ”
“แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้เขาก็รู้สึกตัวอยู่บ้าง แต่ขยับร่างกายไม่ได้ ก็ต้องมานอนเฝ้า เช้ามาปล่อยให้เขาอึ เขาฉี่ เราก็คอยเช็ด คอยเก็บ แล้วก็ป้อนข้าว เช็ดเนื้อตัว พอบ่ายๆ ก็ถึงเวลานอน ผมก็จะมีเวลาส่วนตัวแบบนี้มาโทรศัพท์”

“แล้วหมอว่ายังไงบ้าง ต้องรักษาตัวนานไหม”
ฉันถามอย่างเป็นห่วง เรื่องราวของพ่อเขาซึ่งรับรู้มาเรื่อยๆ พ่อกับแม่นั้นแยกทางกันนานแล้ว แต่ก่อนอาศัยอยู่กับน้องชาย แต่ตอนนี้น้องชายเขาแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปแล้ว เท่ากับว่าพ่อเองก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังนั้น

“หมอบอกว่าคงต้องรักษาตัว 2-3 เดือน แต่ไม่รู้เขาจะให้เราอยู่โรงพยาบาลนานหรือเปล่า ดีขึ้นก็อาจต้องไปรักษาตัวที่บ้าน”
“อืม ค่าใช้จ่ายคงเยอะเนอะ”
ฉันอดรำพึงไม่ได้ แต่เพื่อนหนุ่มกลับหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลหรอก ญาติพี่น้องพอมีช่วยเหลือกันได้อยู่ ตอนแรกกะว่าทุนรอนที่พอมี จะลองทำสวนดูสักตั้ง ว่าจะปลูกสมุนไพร”
“อ๋อๆ ที่เคยเล่าไว้ใช่ไหม แล้วจะทำยังไงต่อ”
“ก็คงต้องใช้รักษาพ่อเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน เพราะยังไงที่ดินให้คนอื่นเช่าอีกหลายเดือนกว่าจะหมดสัญญา”

ฉันไม่อยากคิดว่า ในระหว่างที่เหมือนจะมีเรื่องร้ายๆ แต่บางอย่างก็กลับลงตัว ในเมื่อที่ดินยังไม่ได้คืน ทุนรอนก็ยังไม่พอ และพ่อก็ยังต้องรักษาตัวอยู่ ทุกอย่างถูกจัดวางราวกับกำหนดไว้แล้ว แน่นอนว่า เขายังเริ่มต้นความฝันนั้น ยังไม่ได้

“ก็คงค่อยเป็นค่อยๆ ไปนะ กลับไปคราวนี้จะได้ไม่ต้องใจร้อนรีบกลับมา”
ฉันเอ่ยแซวกึ่งให้กำลังใจ เพื่อนชายหัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน
“กลัวจะเห็นผมหอบผ้าผ่อนไปอีกน่ะสิ โอ้ยคราวนี้ไม่ต้องห่วง อยู่อีกนานเลยแหละ ถึงพ่อจะถอดเหล็กได้แล้ว ก็ไม่รู้จะเดินได้หรือเปล่า น้องชายก็อยู่คนละบ้าน แวะมาบ้างแต่เขาก็ต้องทำงาน ใครจะไปเฝ้าพ่อได้ทุกวัน”

น้ำเสียงนั้นไม่เจือปนความน้อยใจ หรือไม่มีร่อยรอยของการกังวลแม้สักนิด ฉันไม่อยากคิดไปเองว่า น้ำเสียงเหงาๆ และแววตาเหม่อๆ ก่อนเขาจะไปวันก่อนนั้น มันหายไปหมดแล้ว

“งั้นแค่นี้ก่อนนะ พ่อกำลังหลับ ผมจะไปซักผ้า ทำกับข้าวที่พ่อชอบมาให้เขากิน อาหารโรงพยาบาลไม่ถูกปากพ่อ เขากินไม่ค่อยลง”
“อืม ดีๆ ยิ่งคนแก่ด้วยแล้ว ของไม่ชอบเขาก็ไม่กิน”
ฉันสำทับตามประสบการณ์
“เอ๊ะ อ้าว แล้วฝนกำลังตกไม่ใช่เหรอ” นึกขึ้นได้อีกครั้ง
“อืม ก็มันตกซิๆ ยังไงก็คงไม่หยุดง่ายๆ ขืนรอฟ้าฝนคงไม่ได้ไปกันพอดี”
เขาเอ่ยพร้อมหัวเราะเบาๆ ฉันพยักหน้าโดยที่เขาไม่เห็น

“งั้นก็ขับรถดีๆ ใส่หมวก หรือเอาอะไรคลุมหัวด้วยล่ะ” บอกไปตามประสาการเป็นห่วง เขารีบตอบเสียงดังมาว่า
“โอ้ย แค่นี้สบาย ดีแล้วจะได้ไม่ร้อน อยู่ใต้ฟ้าไม่กลัวฝน ตกหนักๆ ก็แวะพักแถวนี้แหละ คนรู้จักกันทั้งนั้น”
ฉันเผลออมยิ้ม ก่อนจะวางสายโทรศัพท์ คงอีกนานกว่าเขาจะโทรมาเล่าสารทุกข์สุกดิบอีก เพราะฉันมักจะเป็นฝ่ายลืมโทรหาเขาก่อนทุกที แต่ก็ไม่เป็นไร และฉันกำลังรู้สึกได้ว่า

ไม่ว่าสามเดือนข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร สวนสมุนไพรจะได้ทำหรือเปล่า ทุนรอนจะหาพอไหม หรือเขาอาจจะต้องกลับเข้าเมืองมาอีกครั้ง

แต่ฉันเชื่อว่า ในเวลานี้
ฉันว่าเขาได้พบ “ที่ๆ เราควรจะอยู่” สำหรับวันเวลาขณะนี้แล้ว

 

20080409 001

20080409 002

20080409 003

20080409 004

20080409 005

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…