ท่ามกลางเสียงเป่านกหวีด เสียงตะโกนโห่ร้องของผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุน กปปส. สิ่งที่เห็นคือมีการใช้สัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทยได้อย่างหลากหลายและสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้าธงชาติที่โบกปลิวเยี่ยงธงรบ หรือธงชาติประยุกต์เข้ากับการแต่งกาย เครื่องใช้สอย เครื่องประดับ หรือบนใบหน้า ตามแต่จะคิดสร้างสรรค์ได้ หรือการนำศาสนจักรมาค้ำชูอาณาจักรอย่างที่แกนนำพระองค์หนึ่งได้ประกาศเจตนารมณ์ออกสื่ออย่างชัดเจน และที่พบเห็นจนเป็นเรื่องปกติในกลุ่มผู้ประท้วงช่วงสิบปีที่ผ่านมาคือสัญลักษณ์ รูปภาพ และข้อความของสถาบันสูงสุดของคนไทย
ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจุดประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองในบทความนี้ เพราะเราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองมานานจนบางท่านอาจจะสะอิดสะเอียน ถ้าเปิดโทรทัศน์มาเจอข่าวการเมือง ก็คงรีบเปลี่ยนช่อง แต่ถ้าเปิดมาก็เจอทุกช่อง ก็ปิดโทรทัศน์แล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่า หลายท่านคงมีอารมณ์แบบนี้ แต่ลึกๆ ในความขัดแย้งที่คนไทยจำนวนมากก็สับสนว่าตกลงเราสู้กันเพื่ออะไรกันแน่ เพราะประเด็นการต่อสู้ครั้งล่าสุดนี้มันมากมายจนกลายเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของกลุ่มผู้ประท้วง แต่ถ้านำประเด็นต่างๆ มาทำให้ระเหยจนตกผลึกก็จะพบว่า คำถามลึกๆ ในใจ คือในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราจะเอายังไงกันดีกับ “ความเป็นไทย” หรือเป็นวิกฤตของความเป็นไทยก็ว่าได้
จะเอาประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือจะเอาประชาธิปไตยแบบสากล จะเอาระบบราชการแบบไทยๆ หรือจะเอาระบบราชการแบบอิงประสิทธิภาพแบบเอกชน จะเอาระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ หรือจะเอาระบบแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะเอาระบบการเกื้อกูลแบบเป็นหนี้บุญคุณแบบไทยๆ หรือจะเอาระบบรัฐสวัสดิการที่ไม่มีใครเป็นหนี้ใคร จะเอาระบบการศึกษาแบบท่องจำแบบไทยๆ หรือจะเอาระบบการศึกษาที่ให้เด็กไปคิดเองแบบอารยประเทศ จะเอาวิถีชีวิตแบบไทยๆ แบบพออยู่พอกินหรือจะเอาวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมที่ทุกคนต้องกินต้องใช้เหมือนๆ กัน จะเอาวัฒนธรรมแบบไทยๆ หรือจะเอาวัฒนธรรมตะวันตกผสมเกาหลี พูดง่ายๆ ว่าทุกอย่างที่เราประสบพบเจออยู่ขณะนี้ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่าจะรักษาความเป็นไทยแบบดั้งเดิม หรือจะเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง ปรับปรุง ผสมผสาน หรือไม่เอาเลยจะดีกว่า เพราะหลายคนอยู่กับความเป็นไทยมานานจนเห็นข้อเสีย ช่องโหว่ ความไร้ประสิทธิภาพ จนถึงกีดกันโอกาส และเป็นภัยต่อตัวเองและสังคม แต่ก็มีคนไทยบางคนที่คิดว่ามันดีอยู่แล้ว สิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุจากการที่เราไม่เอาความเป็นไทยนั่นเอง เพราะเหตุนี้กระมังที่ทางออกของประเทศไทยยังคงอยู่ริบหรี่
บทความนี้ต้องการให้คนไทยตระหนักว่า “ความเป็นไทยที่ไม่ปรับตัวจะทำให้ไม่เหลือความเป็นไทย และจะไม่มีความเป็นไทยถ้าไม่เหลือคนไทยอีกแล้ว” ดังนั้นการรักษาความเป็นไทยต้องรักษาให้ถูกทาง ถูกวิธี และมองยาวๆ
ประเด็นแรก ที่หยิบยกขึ้นมาให้ฉุกคิดคือ
โลกทางกายภาพกำลังทรุดโทรมลงด้วยปัญหาสภาพอากาศหรือโลกร้อน สภาพอากาศวิปริตทั่วโลกมีให้เห็นเป็นประจำ สหรัฐฯ ประเทศที่ว่าแน่ๆ ไม่เข้าร่วมพิธีสารเกียวโต ตอนนี้เจอทั้งพายุเฮอริเคน พายุหิมะ และภัยแล้งขั้นอุกฤษฎ์ ในไม่ช้าก็คงทนแรงกดดันจากคนอเมริกันเองไม่ไหวและมาเดินเรื่องโลกร้อนเต็มสูบ น้ำทะเลก็สูงขึ้นทุกปีและเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ สรุปคือผืนดินที่ให้คนไทยหลับนอนกำลังจะหดหายไป ขณะที่จำนวนคนไทยเพิ่มมากขึ้น สถานการณ์การแย่งแผ่นดินกันอยู่คงเกิดขึ้นแน่ แม้จะยังอีกนาน แต่คนไทยคิดเตรียมการไว้หรือยัง คำถามคือจะไปแย่งแผ่นดินของประเทศอื่นอย่างไร และจะป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นมาแย่งแผ่นดินเราอย่างไร คิดกันบ้างไว้หรือยัง
ความไม่เที่ยงเป็นสัจธรรมที่ไม่มีอะไรต้านทานได้แม้แต่ดาวเคราะห์
ตอนนี้สหรัฐฯ ส่งยานไร้คนขับไปวิ่งบนดาวอังคาร 4 คันแล้ว และพบหลักฐานมากมายที่ยืนยันว่าดาวอังคารเคยมีน้ำอยู่แบบเดียวกับโลก ทุกคนคงสงสัยว่าน้ำบนดาวอังคารหายไปไหน ผู้เขียนคงบอกได้แต่เพียงว่ามันหายไปตามกาลเวลา
ดาวอังคารในอดีตสมัยที่ยังมีน้ำอยู่ โดยศิลปินวาดขึ้นตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ดาวอังคารในปัจจุบันที่เหลือน้ำอยู่เพียงเล็กน้อยและแห้งแล้งดังที่เห็น
ส่วนโลกของเราในปัจจุบัน ถ้าใครยังมีผู้สูงอายุหลงเหลืออยู่ในบ้าน โดยเฉพาะในชนบท ลองไปถามท่านว่าในอดีต บ้านเราอุดมสมบูรณ์แค่ไหน มีสิงสาราสัตว์ชุกชุมแค่ไหน แค่ออกไปหลังบ้านก็เหยียบขี้ช้างแล้ว แต่แค่ไม่ถึงร้อยปีก็ดูสภาพในปัจจุบัน แล้วคิดว่าอีกร้อยปีถัดไปจะเป็นอย่างไร หากอัตราการทรุดโทรมของโลกเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตโลกเราก็คงไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่ ใครไม่เชื่อก็ดูตัวอย่างของดาวอังคารไว้
โลกในปัจจุบัน
โลกในอนาคต จะเป็นดังในรูปเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา
ทรัพยากรกำลังเป็นที่ต้องการในอัตราเร่งที่แปรผันตามการเพิ่มจำนวนประชากรและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ การแย่งทรัพยากรระหว่างรัฐกระทำกันมายาวนานแล้ว ทั้งแบบใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง เมื่อทรัพยากรในโลกร่อยหรอจนเหลือน้อยเต็มทน แต่ละประเทศคงกอดรักษาทรัพยากรของตนไว้อย่างเต็มที่ ถึงเวลานั้นวิธีเดียวที่จะได้มาก็คงเป็นการใช้กำลัง ประเทศไทยเตรียมพร้อมรับมือบ้างหรือยัง
ประเด็นต่อมา ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากผลของประเด็นแรกคือเราอาจไม่ต้องรอให้ทรัพยากรร่อยหรอจนถึงจุดที่ต้องใช้กำลังแย่งชิงกัน แต่อาจจะมีวิกฤตระหว่างทางที่ฉุดให้คนในโลกรบรากันจนบางประเทศอาจจมหายไปจากแผ่นดินหรือหายไปจากแผนที่โลก
หากการเติบโตของจีนยังอยู่ในระดับนี้ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งทรัพยากรในจีนคงหมด แค่จีนเริ่มพัฒนากองทัพเรือแค่นั้น ญี่ปุ่นและสหรัฐก็เต้นเหย็งๆ ออกมาตอบโต้แล้ว แล้วถ้าวันหนึ่งเศรษฐกิจญี่ปุ่นแพ้จีนและเกาหลีใต้อย่างราบคาบหละ ญี่ปุ่นจะอยู่เฉยๆ หรือ ? แล้วถ้าวันหนึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ พังหละ เศรษฐกิจโลกก็คงพังตามไปด้วย แล้วจะไม่เกิดสงครามใหญ่แบบเดียวกับสงครามโลกครั้งที่สองหรือ ? ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ก็อยู่ใกล้ๆ บ้านเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ อินเดีย และปากีสถาน แล้วประเทศที่แอบๆ มีหละ เขาบอกเรามั้ย เมื่อมีปืนอยู่ในมือ โอกาสเอาปืนไปไล่ยิงคนจึงไม่เป็นศูนย์อีกต่อไป เช่นกัน เมื่อมีอาวุธนิวเคลียร์เต็มไปหมด โอกาสนำมาใช้จึงไม่เป็นศูนย์อีกต่อไป ในสภาพแบบนี้ ประเทศที่อ่อนแอก็คงเป็นเหยื่อประเทศที่แข็งแรงกว่า ถึงจุดหนึ่งยูเอ็นก็เป็นเสือกระดาษ ส่วนประเทศมหาอำนาจที่เราหวังพึ่งก็พร้อมจะใช้ประเทศเราแลกกับผลประโยชน์ที่ประเทศตนจะได้รับอยู่แล้ว การพึ่งตนเองจึงดีที่สุด แล้วประเทศไทยพึ่งตนเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากปิดประเทศแล้วให้คนไทยทำเศรษฐกิจพอเพียง อาจเป็นการพึ่งตนเองมากที่สุด แต่จะมีที่ดินพอให้คนไทยทุกครอบครัวทำกินไหมกับการเพิ่มจำนวนประชากร แล้วก็วกไปประเด็นแรกคือต่างชาติจะเกรงใจเราไหมหากเขาต้องการทรัพยากรจากเราจริงๆ แล้วการปิดประเทศแบบนี้จะทำให้เราแข็งแกร่งในด้านอื่นๆ หรือไม่
การรักษา “ความเป็นไทย” ต้องคิดยาวๆ ต้องร่วมมือกันพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านจึงจะอยู่รอดได้ เพราะหากไม่มีแผ่นดินไทย ไม่มีคนไทย แล้วใครจะมารักษาความเป็นไทยให้เรา
ความมั่นคงในอนาคต “แบบยาวๆ” จึงเป็นความมั่นคงในทุกๆ ด้าน ไม่ใช่แค่ความมั่นคงทางทหารอย่างเดียว เพราะแต่ละด้านต่างเกื้อกูลกัน
ด้านเกษตรกรรม เราต้องคิดค้นการเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตปริมาณมากเพื่อรองรับวันที่ประชากรล้นโลก โดยยังรักษาสิ่งแวดล้อม เราเริ่มคิดกันหรือยัง ?
ด้านอุตสาหกรรม เราต้องมีอุตสาหกรรมทั้งหนักทั้งเบาและในทุกๆ ด้าน เพราะเป็นพื้นฐานของการผลิตเพื่อป้อนคนจำนวนมาก เป็นฐานของการรักษาและพัฒนาเทคโนโลยีไปในตัว เรามีรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ยี่ห้อไทยๆ ขายแข่งกับเขาหรือยัง ?
ด้านเทคโนโลยี อาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจของความอยู่รอดของประเทศและความเป็นไทยในระยะยาวๆ เพราะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการป้องกันประเทศ ดูผิวเผินแล้วประเทศไทยเราดูเจริญและมีเทคโนโลยี แต่อันที่จริงเป็นเทคโนโลยีที่ซื้อมา ไม่ใช้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง อนาคตการแข่งขันทางเทคโนโลยีจะยิ่งเข้มข้นขึ้น ประเทศที่ตกรถไฟแบบประเทศไทยก็คงได้แต่มองและซื้อ ยิ่งเทคโนโลยีอวกาศแล้ว ยังไม่รู้ว่าบ้านเราจะนับหนึ่งเมื่อไหร่
ด้านการป้องกันประเทศ ในประวัติศาสตร์เราเคยพ่ายแพ้สงครามเพราะเทคโนโลยีอาวุธสู้ไม่ได้มาแล้ว แต่ไม่มีการนำมาเป็นบทเรียน อุตสาหกรรมอาวุธบ้านเรายังอยู่ในชั้นอนุบาล ขณะที่มาเลเซียอยู่ชั้นประถม สิงคโปร์อยู่ชั้นมัธยม อินเดีย จีน เกาหลี อยู่ชั้นมหาวิทยาลัย ญี่ปุ่น สหรัฐ รัสเซียและยุโรปเป็นอาจารย์ดอกเตอร์ อนาคตราคาอาวุธต่อหน่วยจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการใส่เทคโนโลยีที่คิดค้นได้ใหม่ๆ เข้าไปทุกวัน เราคงหมดปัญญาซื้อ คงซื้อได้แต่ของตกรุ่น โละสต๊อกเพื่อให้ได้จำนวนมากพอกับโครงสร้างหน่วยรบ คงไม่สามารถซื้อรถถังรุ่นใหม่ล่าสุดแต่มีกำลังซื้อได้คันเดียวเพื่อตั้งเป็นกองพลรถถังได้ ในประเด็นแรกที่พูดไป จะเห็นว่าในอนาคตยาวๆ เราต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องมิให้ประเทศอื่นมาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศเรา และอาจถึงขั้นออกไปแย่งชิงทรัพยากรนอกประเทศเพื่อความอยู่รอด แต่ถ้าขาดยุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีและไม่มีเทคโนโลยีอาวุธเป็นของตนเอง ภารกิจดังกล่าวก็เป็นอันล้มเหลว เราเริ่มคิดที่จะสร้างอาวุธเองอย่างจริงจังหรือยัง เตรียมคนไว้ใช้อาวุธยากๆ หรือยัง มีการบริหารจัดการเพื่อภารกิจยาวๆ อย่างที่ว่าหรือยัง ?
แต่ด้านที่ต้องพัฒนาเป็นอันดับแรกคือด้านทรัพยากรมนุษย์ แต่เป็นโจทย์ที่ยากเกินไปที่ผู้เขียนจะกล่าวถึง เพราะคนไทยมีความซับซ้อน เข้าใจยาก และเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ จนอาจจะเป็นความเป็นไทยอย่างหนึ่ง หากวันหนึ่งเราแยกความเป็นไทยออกจากตัวคนไทยได้ เราอาจจะแก้ปัญหาเฉพาะของคนไทยต่างๆ ได้สักที
สุดท้าย ในวันที่โลกถึงกาลอวสาน มนุษย์ต้องอพยพไปอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น ก็หวังว่าประเทศที่มียานอวกาศจะมีจิตใจดีแบบเดียวกับโนอาห์ ยอมรับคนไทยหญิงชายคู่หนึ่งขึ้นยานอวกาศไปด้วย เพื่อสืบทอดความเป็นไทยให้ยั่งยืนยาวนานคู่กับเอกภพและจักรวาลต่อไป