Skip to main content

 

 
แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากเข้ามาและออกไปจากเฟซบุคเป็นประจำ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า การออกไปจากเฟซบุคของผมเป็นเสมือนการฆ่าตัวตายไปจากโลกของเฟซบุค อย่างน้อยก็เป็นการฆ่าตัวตายในฐานะของบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่เพจที่สร้างขึ้นมาปลอมๆ เล่นๆ เพื่อนๆ ถามกันพอสมควรว่า ทำไมผมจึงเลือกทำเช่นนั้น
 
เมื่อเร็วๆ นี้มีเพื่อนคนหนึ่งเสียชีวิตไป คือลาจากโลกนี้ไปจริงๆ เพื่อนคนนี้มีเฟซบุคเพจอยู่ เขาไม่ได้ยกเลิกเพจของตนเองก่อนตาย ก็ใครจะรู้ว่าตนเองจะตาย และใครจะเตรียมตัวตายกันขนาดต้องยกเลิกเฟซบุคก่อนจะตาย แต่ที่ทำให้เพื่อนๆ ตกอกตกใจคือ เมื่อเพื่อนๆ ไปงานศพ เฟซบุคเพื่อนคนนี้กลับตอบมาว่า "ขอบคุณทุกๆ คนที่ไปงานศพเรา" แน่นอนว่าไม่มีทางที่ผีจะมาเขียนเฟซบุค เป็นลูกชายของเขาเองนั่นแหละที่เขียนคำขอบคุณแทนพ่อ เพียงแต่ลืมบอกลุงๆ ป้าๆ ไปว่าตนเองคือลูกชาย
 
แต่หากจะพูดถึงการตายในเฟซบุค คือตายจากไปจากเฟซบุคล่ะ จะเป็นอย่างไร
 
ผมเพิ่งเริ่มใช้เฟซบุคอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อสัก 6 เดือนมานี่เอง ส่วนหนึ่งเพราะอยากรู้จักโลกนี้ เนื่องจากมีนักศึกษากำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้กับผม และมีนักศึกษาอีกจำนวนมากสนใจศึกษาเรื่องเฟซบุค แน่นอนว่า ปรากฏการณ์เฟซบุคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันได้ดึงดูดผมเข้าสู่โลกของมัน
 
เริ่มแรกผมไม่มีเพื่อนมากมาย มีเฉพาะคนรู้จักมักคุ้นกันในโลกออนไลน์ พอเริ่มแสดงความเห็นที่ถูกใจคนจำนวนมาก ก็เริ่มมีคนขอเป็นเพื่อนมากมาย แรกๆ ก็พยายามจัดกลุ่มเพื่อน แต่พอมากเข้ามากเข้า ก็เริ่มไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เริ่มจัดการไม่ได้ ทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้วมีเพื่อนไม่มากมายนัก คือสัก 1,600 กว่าคน กับคนที่ subscribe (ซึ่งผมมาเปิดเอาเมื่อไม่เกิน 3 เดือน) อีกราว 600 กว่าคน ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มาขอผมเป็นเพื่อน มีเพื่อนจำนวนน้อยมากที่ผมเป็นผู้ไปขอเป็นเพื่อนเขา แม้ว่าจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจเขา ไม่อยากรบกวนพื้นที่เฟซบุคของเขา
 
ตลอดระยะเวลาที่ใช้ ผมจำแนกกลุ่มเพื่อนๆ ออกดังนี้
 
1) Friends จำนวนมากของผมเป็นคนที่ทำงานทางด้านการศึกษา นอกจากนักศึกษาแล้ว จำนวนมากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ครู กระทั่งอาจารย์ผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงวิชาการหลายๆ ท่านที่มาขอเป็นเพื่อนเองก็มี ที่น่าภูมิใจคือ มีนักเรียนระดับมัธยมปลายส่งข้อความขอเป็นเพื่อน ผมซักถามแล้วได้ความว่า แม่ของเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีเดียวกับผมเลย
 
2) Friends อีกจำนวนหนึ่งเป็นนักเขียน คนในแวดวงวรรณกรรม แวดวงหนังสือ แวดวงศิลปะ และวงการสื่อมวลชน ทั้งกระแสหลักและกระแสรอง มีหลายคนที่ผมนิยมชมชอบงานเขาอยู่แล้ว และยิ่งดีใจที่เขามาขอเป็นเพื่อน ผมได้เรียนรู้การเขียนหนังสือ การเขียนรูป ความคิดในการสื่อสาร จากเพื่อนๆ กลุ่มนี้มากมาย
 
3) Friends อีกจำนวนหนึ่งเป็นคนที่มีความสนใจทางการเมืองในแนวทางเดียวกัน คนเหล่านี้ติดตามกิจกรรมทางการเมืองของผม ติดตามกิจกรรมสาธารณะของผม เพื่อนกลุ่มนี้มักนำเสนอข่าวสารทางการเมือง นำเสนอทัศนะทางการเมือง ที่หลายครั้งทำให้ผมเข้าใจความคิดของสาธารณชนกลุ่มหนึ่งได้ชัดเจนขึ้น
 
4) เพื่อนนักเรียนตั้งแต่มัธยมและประถมของผม คนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยมาก อาจจะไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าน้อยที่สุดในจำนวนกลุ่มเพื่อนที่ผมสามารถจำแนกกลุ่มได้ ผมเข้าใจดี และตนเองก็แทบไม่เคยไปขอเพื่อนนักเรียนเป็นเพื่อน ส่วนหนึ่งเพราะเกรงว่าทัศนะทางการเมือง ทัศนะต่อโลก ต่ออะไรต่างๆ ของผม จะรบกวนพื้นที่ของพวกเขา และเพราะผมรู้ดีว่า เพื่อนเก่าของผมส่วนใหญ่ ไม่น่าจะนิยมความคิดความเห็นแบบของผม
 
ข้อสังเกตเบื้องต้นจากประสบการณ์บนเฟซบุคของผมคือ
 
ประการแรก ข้อดีที่ผมได้จากการใช้เวลาบนเฟซบุคจึงได้แก่การอ่านข่าวสาร การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคนจำนวนมาก ทั้งที่รู้จักตัวตนจริง และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ที่น่าสังเกตจากการปะทะสังสันท์กันนั้นคือ ในแง่หนึ่ง เฟซบุคทำให้คนในสังคมนี้ต้องมีมารยาทต่อกัน แม้บางคนจะไม่มีมารยาทนัก แต่ผมเห็นว่าส่วนใหญ่คนมีมารยาทที่ดีต่อกัน ไม่ก้าวก่ายวิพากษ์ ล้อเลียน แซวเล่นไปเรื่อยเปื่อยกันง่ายๆ นัก ผมเองยังต้องยับยั้งชั่งใจบ่อยๆ ในการแสดงความเห็นต่อทัศนะของคนอื่น แม้ว่าจะสนิทกันดี
 
จึงน่าสนใจว่า แม้บนพื้นที่ที่คนอาจจะก้าวก่ายกันมากมาย คนในเฟซบุคก็มีมารยาทพอที่จะไม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัว ที่สร้างขึ้นมาจากเนื้อหา เรื่องราว ประเด็นที่ถกเถียงกันในพื้นที่ที่ดูเหมือนจะ "สาธารณะ"
 
ประการที่สอง เฟซบุคอนุญาตให้คนแสดงความเห็นของตนเองหรือแบ่งปันความเห็นของคนอื่นได้อย่างอิสระในขอบเขตของกฎหมาย โดยแทบจะไม่ต้องสนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ แน่นอนว่าหลายคนเลือกที่จะแสดงความเห็นหรือแบ่งปันความเห็นอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกระทั่งต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ของเขา ผมมักเขียนอะไรยาวๆ ลงบนเฟซบุค เมื่อเขียนแล้วพบว่ามีคนชอบอ่าน ก็ยิ่งชอบเขียน ที่ดีคือ การเขียนโดยมีคนอ่านหรือแสดงว่าอ่านหรือแสดงว่าอยากอ่านในแทบจะทันทีทันใดที่เขียนจบ เป็นเสน่ห์ของโลกของการแสดงออกที่ไม่มีในการเขียนในโลกของการตีพิมพ์
 
เฟซบุคจึงให้ประสบการณ์การแสดงออกของผมที่แปลกใหม่ และกระตุ้นให้ผมสร้างสรรค์งานเขียนและภาพในลักษณะต่างๆ ที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อนมากมาย ทั้งการเขียน วิธีเขียน และการเขียนรูป ทั้งในรูปแบบและทักษะที่เคยและไม่เคยใช้มาก่อน
 
เนื่องจากเป็นพื้นที่ของ "เรา" เอง จึงไม่ต้องมากังวลกับเนื้อหา (หากทำในขอบเขตของกฎหมาย) ไม่ต้องกังวลกับเงินทองที่จะได้ค่าเรื่องหรือไม่ ไม่ต้องกังวลว่าจะเขียนทันเวลาส่งต้นฉบับหรือไม่ การเขียนแบบนี้จึงอิสระมากกว่าการเขียนให้แหล่งพิมพ์ทั่วๆ ไป
 
ประการที่สาม น่าสังเกตว่าการแสดงออกในเฟซบุคนำไปสู่การแสดงอารมณ์ได้ง่ายดาย คนจำนวนมากแสดงอารมณ์ผ่านเฟซบุค ราวกับว่าเฟซบุคเป็นพื้นที่ส่วนตัว เสมือนว่าเมื่ออยู่หน้าเฟซบุค คนยับยั้งความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าในที่สาธารณะอื่นๆ นี่อาจเป็นเพราะเราคิดว่า "เพื่อนๆ" ในเฟซบุคคือคนที่สนิทกับเรา เราจึง "คิดดังๆ" ในเฟซบุคบ่อยๆ บางครั้ง แม้แต่เพื่อนๆ ที่รู้จักกันนอกโลกเฟซบุคด้วยกันเองยังอีดอัดกับการแสดงตัวตนส่วนตัวของเพื่อนๆ ออกมาในเฟซบุค
 
การแสดงอารมณ์ความรู้สึก "ส่วนตัว" ในที่สาธารณะจึงมีส่วนทำให้ความเป็นส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะพร่ามัวลง
 
ประการที่สี่ ความจริงมีข้อสังเกตจากเนื้อหาสาระที่น่าสนใจจากการนั่งอ่านหน้า feed ของตนเองมากมาย เอาไว้ค่อยมาบันทึกใหม่ แต่อยากบอกเวลานี้ว่า บางสาเหตุที่เลิกใช้เฟซบุคเพราะเฟซบุคไม่อนุญาตให้ผมสามารถจัดการกับความสัมพันธ์บนเฟซบุคได้ดีนัก แม้ว่าระยะหลังเฟซบุคจะออกแบบให้มีระบบการแยกแยะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้น แต่ความสัมพันธ์บนเฟซบุคก็แตกต่างจากความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์
 
ที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์บนเฟซบุคมันใกล้ชิดและเชื่อมโยงต่อเนื่องกันมากกว่าความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์ นี่คือเรื่องตลกที่ว่า เฟซบุคออกแบบมาให้คนใกล้กันมากกว่าในความสัมพันธ์ที่คนมีกันนอกโลกออฟไลน์ด้วยซ้ำ
 
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเก่า ที่ว่าโลกออนไลน์ไม่จริง เป็นแค่โลกเสมือน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่จะบอกว่า โลกออนไลน์จริงไม่น้อยไปกว่าโลกออฟไลน์ แต่โลกออนไลน์แบบที่เฟซบุคออกแบบมาก็ทำให้เกิดความใกล้ชิดกันมากเสียจนยากที่จะจำกัดการรับรู้ของคนที่เราติดต่อสื่อสารกัน เช่น โลกเฟซบุคปล่อยให้คนล่วงรู้ความเป็นไปของคนอื่นโดยที่คนอื่นไม่รู้ตัว หรือไม่สามารถปกป้องได้หมด หรือหากได้ คนจำนวนมากก็อาจไม่รู้วิธีการอันซับซ้อนที่จะปกป้องตนเอง โลกเฟซบุคทำให้คนที่ไม่ได้สัมพันธ์กันในฐานะ Friends เลย กลับสามารถล่วงรู้ความเป็นไปของคนอื่นได้ ผ่านการเป็นเพื่อนของเพื่อน เป็นต้น
 
โลกเฟซบุคจึงสร้างความสนิทสนมกันจนเกินพอดี ในแง่หนึ่งอาจเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อแก้ต่างให้กับข้อวิพากษ์ที่เคยมีต่อโลกออนไลน์ว่า โลกออนไลน์สร้างความห่างเหินระหว่างคน ทำให้คนเข้าสู่โลกเสมือนจริง ลดการติดต่อกันจริงๆ เฟซบุคก็เลยออกแบบมาให้เชื่อมต่อผู้คนกันเสียจนเกินพอดี เป็นความสัมพันธ์แบบสนิทกันจนล้นหลาม
 
ข้อสังเกตเหล่านั้น บางอันอาจดูขัดกันเอง ไม่ไปเป็นไปในทางเดียวกัน แต่ความซับซ้อนขัดแย้งกันเองไปมาก็เป็นลักษณะทั่วไปของโลกปัจจุบันไม่ใช่หรือ แต่ถึงผมจะชื่นชม ยอมรับ และพยายามเข้าใจเฟซบุคในหลายๆ มิติ ในที่สุดผมก็อัตวินิบาตกรรมจากโลกเฟซบุค เนื่องจากไม่สามารถอยู่กับความขัดแย้งยอกย้อนเหล่านั้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากธรรมชาติของเฟซบุค แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือน่าจะมาจากธรรมชาติของผมเองที่เข้ากับเฟซบุคไม่ได้ อย่างน้อยก็ในขณะนี้
 

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีวันหนึ่ง อาจารย์อคินเดินคุยอยู่กับอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมเดินตามทั้งสองท่านมาข้างหลังอย่างที่ทั้งสองท่านรู้ตัวดี ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา หรือไม่ก็เรียนจบกลับมาแล้วนี่แหละ อาจารย์อคินไม่รู้จักผม หรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่ก็จำหน้าไม่ได้ ผมแอบได้ยินอาจารย์อคินเปรยกับอาจารย์อีกท่านว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คืนวาน วันฮาโลวีน นักศึกษาชวนผมไปพูดเรื่องผี ปกติผมไม่อยู่รังสิตจนมืดค่ำ แต่ก็มักใจอ่อนหากนักศึกษาชวนให้ร่วมเสวนา พวกเขาจัดงานกึ่งรื่นเริงกึ่งเรียนรู้ (น่าจะเรียกว่าเริงรู้ หรือรื่นเรียนก็คงได้) ในคืนวันผีฝรั่ง ในที่ซึ่งเหมาะแก่การจัดคือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา เพราะมีของเก่าเยอะ ก็ต้องมีผีแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าน่าสนุกเหมือนกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ถึงกับต่อต้านกิจกรรมเชียร์อย่างรุนแรง เพราะคนสำคัญใกล้ตัวผมก็เป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์งานบอลประเพณีฯ ด้วยคนหนึ่ง และเพราะอย่างนั้น ผมจึงพบด้วยตนเองจากคนใกล้ตัวว่า คนคนหนึ่งกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของมหาวิทยาลัยมันเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของพัฒนาการของแต่ละคน แต่ก็ยังอยากบ่นเรื่องการเชียร์อยู่ดี เพราะความเข้มข้นของกิจกรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างยิ่งจากในสมัยของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลวิจัยเรื่องการรู้หนังสือแบบดั้งเดิมของ "ลาวโซ่ง" ในไทยที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ได้ราว 2 วัน ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจ แต่ก็ได้อย่างอื่นมาด้วยไม่น้อยเช่นกัน เรื่องหนึ่งคือความรู้เกี่ยวกับปลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันก่อนปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาโท-เอกของคณะ ในฐานะคนดูแลหลักสูตรบัณฑิตศึกษาทางมานุษยวิทยา ผมเตรียมหัวข้อมาพูดให้นักศึกษาฟัง 4 หัวข้อใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนมา รู้อยู่แล้วว่าปากีสถานช่วงเดือนนี้คือเดือนที่ร้อนมาก และก็เพิ่งรู้ว่าเดือนนี้แหละที่ร้อนที่สุด แต่ที่ทำให้ “ใจชื้น” (แปลกนะ เรามีคำนี้ที่แปลว่าสบายใจ โดยเปรียบกับอากาศ แต่ที่ปากีสถาาน เขาคงไม่มีคำแบบนี้) คือ ความร้อนที่นี่เป็นร้อนแห้ง ไม่ชื้น และจึงน่าจะทนได้มากกว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ครึ่งวันที่ผมมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรมไทย บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมลองเอากรณีทุบรถกับทุบลิฟมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็เห็นความแตกต่างกันมากหลายมุม ได้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่สนใจกรณีทั้งสองอย่างไม่สมดุลกัน แต่สุดท้ายมันบอกอะไรเรื่องเดียวกัน คือความบกพร่องของสถาบันจัดการความขัดแย้งของประเทศไทย 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนรุ่นใหม่ครับ...