Skip to main content

 

เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์
 
เกร่ินนำ
 
ก่อนอื่น ขอชื่นชมผลงานนิสิตทุกชิ้น (ไม่ค่อยคุ้นกับการใช้คำว่านิสิตเท่าไรนัก) หากให้ผมเป็นอาจารย์ผู้สอน ผมให้ A ทุกชิ้นแน่นอน บางชิ้นผมว่าทำดีเกินกว่างานนักศึกษาปริญญาเอกที่ผมเคยอ่านจากสถาบันต่างๆ ด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น งานแต่ละชิ้นยังให้ความรู้ใหม่แก่ผมมากมาย อย่างน้อยเอกสารอ้างอิงที่ค่อนข้างครบถ้วน ก็ช่วยให้สามารถไปค้นคว้าต่อได้
 
แต่หากจะยอกันไปก็คงไม่เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ดี ขอให้เข้าใจว่า ผมเพียงต้องการชวนคิดต่อจากที่นำเสนอมา ขออย่าคิดว่าการวิจารณ์นี้จะไปลดทอนคุณภาพของงานที่มีสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้วก็แล้วกันครับ นอกจากนั้น เนื่องจากผมจะใช้มาตรฐานในการวิจารณ์แบบเดียวกับที่ผมใช้วิจารณ์งานวิชาการทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือศาสตราจารย์ผมก็ใช้มาตรฐานนี้ ฉะนั้นไม่ต้องตกใจหากจะพูดอะไรดูรุนแรง แต่ควรภูมิใจว่า ผมใช้มาตรฐานเดียวกับงานวิชาการทั่วไป
 
ก่อนอื่น ขอให้ความเห็นต่อกรอบของการจัดงานว่า การนำผลงานของนิสิตปริญญาตรีมาเสนอนั้นน่าชื่นชมมาก เพราะมีงานจำนวนมากที่มีคุณภาพ ให้ข้อมูลใหม่ๆ มีมุมมองเฉพาะตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวทีแสดงออกของตนเอง
 
แต่ก็จะขอตั้งคำถามท้ิงไว้นิดหนึ่งว่า ทำไมไม่มีบทความของนิสิตหญิงเลย แล้วทำไมมีแต่งานทางสังคมศาสตร์ ไม่มีงานทางมนุษยศาสตร์ (แม้ว่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ก็ตาม) เรื่องวรรณกรรม ศิลปะ ศาสนา ปรัชญาหายไปไหน ที่สำคัญคือ นี่อาจมีส่วนในการจำกัดกรอบและวิธีวิทยาของการศึกษา (นิสิตผู้จัดตอบว่า มีผลงานส่งมาน้อยมาก และนี่เป็นการจัดครั้งแรก จึงขาดตกบกพร่อง)
 
ขอวิจารณ์รวมๆ กันใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ กรอบการศึกษา วิธีการศึกษา และจุดยืนของการศึกษา
 
(1) กรอบการศึกษา
 
งานแต่ละชิ้นอาศัยกรอบที่หลากหลายก็จริง แต่จะทำอย่างไรที่จะหากรอบซึ่งพัฒนาความรู้อาเซียนแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น การเข้าใจองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ จะต้องเข้าใจอะไรเป็นพิเศษ แตกต่างจากการศึกษาการรวมตัวขององค์การร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ ในโลกนี้หรือเปล่า
 
บางทีปัจจัยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจะตอบได้ เช่น การมีสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งน่าจะช่วยอธิบายบทบาทของการใช้เคร่่ืองมือเชิงอุดมการณ์ในภูมิภาค อันเป็นส่วนสำคัญในความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค และการสร้างเครือข่ายการเมืองระหว่างประเทศ) การมีสถาบันการเมืองที่ต่อต้านอาณานิคมตะวันตก (อย่างในประเทศอื่นๆ รอบๆ ไทย อาจมีส่วนในการทำความเข้าใจเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละประเทศในการร่วม ไม่ร่วมอาเซียนแต่แรก) หรือปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองในแต่ละประเทศ อาจช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
 
ดังนั้น ถ้าตั้งคำถามใหม่ เช่น การที่ถนัด คอมันตร์ผลักดันให้เกิดการก่อตั้งอาเซียนเพื่อชิงการนำจากทหารคงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น การที่ถนัดถูกกันออกไปเมื่อพยายามมีบทบาทล้ำหน้าสหรัฐ ไปเจรจากับจีน ชวนให้คิดว่า เงื่อนไขภายนอกยังเป็นเงื่อนไขสำคัญ
 
หากตั้งโจทย์ใหม่ว่า ถนัดเป็นตัวแทนฝ่ายชนชั้นนำพลเรือน ที่พยายามมีบทบาทในเวทีโลกหรืออย่างน้อยคือเวทีภูมิภาคหรือเปล่า แล้วเมื่อเราดูเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็อาจจะพบโครงสร้างเดียวกัน เพราะขณะนั้น สหรัฐเลี้ยงทหารไปหมดทั่วทั้งอุษาคเนย์ ฉะนั้น นี่อาจเป็นหน่อของการเติบโตของอำนาจต่อรองจากพลเรือนในภูมิภาคก็ได้ การก่อตั้งอาเซียนอาจแสดงถึงการเติบโตของภาคธุรกิจเอกชน ที่ต้องการออกจากโครงครอบของการเมืองแบบสงครามเย็น ที่เน้นเฉพาะบทบาทของกำลังทหาร ในอีกทางหนึ่ง มันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจโดยรวมในภูมิภาคด้วย
 
สำหรับบทความเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าและเรื่องการต่อรองระหว่างประเทศอาเซียน เงื่อนไขที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลสำหรับเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคและทฤษฎีเกม อาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญเท่ากับเงื่อนไขเชิงสถาบัน หรือเงื่อนไขเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองต่างหากที่มีผลต่อการตัดสินใจ ลำพังการคิดในกรอบของการตัดสินใจส่วนตน จะไม่ช่วยให้เราเข้าใจการตัดสินใจในระดับองค์รวม
 
การศึกษาการตัดสินใจจึงขัดกับข้อเสนอเชิงวิพากษ์ที่เรียกร้องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่บทความเรื่องการต่อรองในเวทีอาเซียนเรียกร้อง การเข้าใจการตัดสินใจของประชาชนจะใช้กรอบทฤษฎีเกมที่เอาประเทศเป็นหน่วยเชิงปัจเจกวิเคราะห์ไม่ได้เด็ดขาด
 
หากต้องการเข้าใจปรากฏการณ์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือของภูมิภาคอุษาคเนย์ เราจะสร้างกรอบใหม่ๆ ให้แก่การเข้าใจอุษาคเนย์อย่างไรได้บ้าง ผมเคยลองเสนอเรื่อง “เพื่อนบ้านศึกษา” คืออุษาคเนย์ศึกษาที่พัฒนาขึ้นมาในภูมิภาคเอง ทำอย่างไรจะไปพ้นจากการศึกษาแต่ประเทศตนเอง ไปสู่ชายขอบและเพื่อนบ้าน ทำอย่างไรจะนำเอาความเข้าใจร่วมกันและความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนกว่าของคนไกล มาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน และทำอย่างไรจึงจะทำให้ความรู้เพื่อนบ้าน ตอบโจทย์เชิงประยุกต์ ตอบผลประโยชน์ของคนรากหญ้าในอาเซียนได้ดีขึ้น เป็นต้น
 
(2) วิธีวิทยาศึกษาอาเซียน
 
แต่ละบทความใช้การศึกษาหลายวิธี แต่วิธีไหนที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นภูมิภาคได้บ้าง วิธีแบบเศรษฐมิติที่บทความหนึ่งใช้ บางทีไม่สามารถตอบคำถามในเชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ บางคำถามอาจไม่ต้องเสียเวลาวัดเชิงปริมาณ เนื่องจากหลักเหตุผลมันตอบอยู่แล้ว แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ “ทำไม” ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมมันไม่สัมพันธ์กันแบบที่พบในบริบทอื่น คำถามแบบนี้ตอบไม่ได้ด้วยเศรษฐมิติเท่านั้น ส่วนวิธีวิจัยเชิงเอกสารและวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ บางทีก็ถูกจำกัดด้วยกรอบที่ใหญ่กว่า คือการยังติดกับดักการศึกษาในระดับรัฐเดี่ยว
 
ปัญหาใหญ่คือ งานแทบทุกชิ้นยังเน้นประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็น methodological nationalism บางชิ้นเป็น methodological individualism ด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ชิ้นเดียวคือชิ้นที่ว่าด้วยบทบาทอาเซียนและการเจารจาระกว่างประเทศอาเซียน ที่พูดถึงภูมิภาคโดยรวม แต่ก็ยังขาดมิติที่เชื่อมโยงระดับนโยบายกับผู้คน นอกจากนั้น บทความนี้ยังมองประเทศเป็นหน่วยเดียว ราวกับเป็นปัจเจกชนคนเดียว มาเล่นเกมต่อรองกันในทฤษฎีเกม ทั้งๆ ที่ประเทศหนึ่งมีผู้รับผลประโยชน์ ผู้รับผลกระทบ ผู้ต่อรองภายในประเทศที่แตกต่างกันมากมาย
 
ส่วนชิ้นที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียนนั้น ส่วนแรกพูดถึงปัจจัยระดับภูมิภาคก็จริง แต่พอมาถึงส่วนหลัง ปัจจัยภายในที่อธิบายกลายเป็นปัจจัยส่วนบุคคล เน้นปัจเจกมากเกินไป ในแง่หนึ่งอาจใช่ แต่ต้องดูให้ไกลกว่านั้นหน่อย ไม่อย่างนั้นจะอธิบายประเทศฟิลิปินส์ มาเลเชีย อินโดนิเชีย สิงค์โปรได้อย่างไร หรือจะต้องดูเงื่อนไขเชิงปัจเจกของประเทศเหล่านั้นด้วย แม้ว่าจะบอกว่าบทความสั้น ทำไม่ได้หมด แต่หากจะไล่อธิบายแต่ละประเทศจริงๆ ก็จะเห็นเงื่อนไขที่กระจัดกระจาย จนอาจช่วยให้เข้าใจมิติเชิงโครงสร้างขึ้นมา หรือถ้าอย่างนั้นจะอธิบายการเข้าร่วมอาเซียนของเวียดนามและพม่าได้อย่างไร เนื่องจากปัจจัยภายในของสองประเทศหลังที่เข้าร่วมอาเซียน มาจากปัจจัยเชิงนโยบายของรัฐเป็นหลัก
 
ชิ้นที่ว่าด้วยพม่าและชิ้นที่ศึกษาการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า มีร่องรอยของการเชื่อมโยงเกินกว่าประเทศเดียว แต่ทำผ่านทฤษฎีเรื่องกลุ่มชาติพันธ์ุกับรัฐ และการศึกษาประเด็นเดียวกันนี้ในประเทศในเอเชีย อย่างไรก็ตาม หากยังมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่แตกต่าง แล้วก็จะขาดความเข้าใจหรือขาดการตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไมรัฐพม่าจึงจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยไม่เหมือนที่อื่นๆ ในอาเซียน หรือเหมือน ทำไมเหมือน หรือในงานเรื่องสิทธิประโยชน์ ทำไมผู้ประกอบการไทยและรัฐไทยจัดการปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
 
วิธีวิทยาที่สำคัญในการศึกษาภูมิภาคคือ ต้องดูทั้งระดับโครงสร้าง (ไม่ใช่เฉพาะปัจเจก) และควรเปรียบเทียบข้ามรัฐ ไม่ใช่ว่่จะต้องหาลักษณะทั่วไป แต่เพื่อสร้างข้อเปรียบเทียบว่าในเงื่อนไขเดียวกัน แต่ละประเทศจัดการอย่างไร ในเงื่อนไขต่างกัน ทำไมบางทีเหมือนบางทีต่าง บางทีควรเปรียบเทียบข้ามภูมิภาค อย่างคำถามเรื่องการปรับปรุงองค์การอาเซียน น่าจะชี้ข้อเปรียบเทียบกับที่อื่น เช่น อียู
 
(3) จุดยืนเชิงวิพากษ์
 
เมื่ออ่าาจากผลงานของนักวิชาการปัจจุบัน เหมือนกับนักศึกษาจะเลิกสนใจเรื่องจุดยืนทางวิชาการกันไปแล้ว งานบางชิ้นทำเสร็จแล้ว หลังศึกษาจบ ผู้เขียนจะได้งานทำแน่นอน แต่เราจะไปรับใช้ใคร จะรับใช้คนด้อยโอกาส หรือรับใช้รัฐ จะรับใช้ทุนหรือรับใช้ประชาชน จะยืนอยู่ตรงไหน ถ้าตอบได้ งานจะชัดขึ้น แต่เหนืออื่นใด ในฐานะนักวิชาการ จะยืนอยู่ตรงไหน หากรู้ตัว เราจะจัดวางความสัมพันธ์ของเรากับสังคมได้ดีขึ้น เราไม่ควรทำงานวิชาการโดยไม่รู้จุดยืน เพราะถึงอย่างไรเราก็หนีการมีอคติไปไม่พ้น
 
บทความทั้ง 4 ขาดจุดยืนที่ชัดเจน ทั้งๆ ที่ที่จริงแต่ละชิ้นมีจุดยืน แต่มีเพียงชิ้นเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่าเท่านั้นที่แสดงจุดยืนชัดเจน ส่วนชิ้นอื่นๆ ดูจะมีจุดยืนในเชิงวิพากษ์นโยบายรัฐและนโยบายอาเซียน เช่น ชิ้นที่ถามถึงการเชื่อมโยงองค์การอาเซียนกับประชาชน เลขาธิการอาเซียนยังเป็นตัวแทนรัฐมากกว่าตัวแทนประชาชน เสนอว่าควรมีรัฐสภาอาเซียนที่สะท้อนหารเป็นตัวแทนประชาชน
 
งานอีกชิ้น แม้จะมีจุดยืนในการวิพากษ์นโยบายของรัฐอยู่ แต่การไม่ได้ถามคำถามเชิงโครงสร้าง เช่น การเมืองของการใช้สิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร เอื้อประโยชน์ใคร ความลักลั่นของการให้สิทธิประโยชน์การเอื้อประโยชน์ ส่งผลต่อปราะชาชนรากหญ้าอย่างไร
 
ส่วนงานที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียน ดูเหมือนจะมีจุดยืนวิพากษ์ประเทศมหาอำนาจ แต่เมื่อพิจารณาลงมาในระดับในประเทผสไทยแล้ว ทำให้มองไม่เห็นว่างานนี้พยายามวิพากษ์อะไร ผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมือง หรืออย่างไร
 
ประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่งที่ควรให้ความสนใจต่อบทบาทของประชาคมอาเซียนในอนาคตคือเรื่องสิทธิมนุษยชน ล่าสุด การประชุมกันที่กัมพูชาเพื่อร่างประกาศสิทธิมนุษยชนอาเซียนมีข่าวออกมาว่า ในประกาศมีข้อยกเว้นมากมาย เรียกได้ว่าเราจะได้ประกาศสิทธิมนุษยชนในมาตรฐานอาเซียน ไม่ใช่มาตรฐานสากล เนื่องจากยังมีคำว่า “public morality” และ “national and regional particularity” (คำพวกนี้ฟังดูคุ้นๆ นะครับ) ในขณะเดียวกัน การประชุมอาเซียนคู่ขนานขององค์กรประชาชนในกัมพูชาเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ก็ถูกกีดกันจากรัฐบาลกัมพูชา
 
ทำให้ยิ่งต้องตั้งคำถามว่า อาเซียนคงไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนทั่วไปขึ้นมาได้ ข้อนี้แตกต่างอย่างยิ่งกับอียู ซึ่งประชาชนสามารถฟ้องรัฐที่ละเมิดสิทธิตนเองได้ (ดู http://prachatai.com/journal/2011/03/33607)
 
โดยสรุป
 
หากจะศึกษาปรากฏการณ์อาเซียน เราน่าจะพิจารณากรอบการศึกษา วิธิวิทยา และจุดยืนเชิงวิพากษ์ ให้เหมาะสมกับการศึกษาในระดับภูมิภาคให้มากขึ้น ข้อวิจารณ์นี้ไม่ได้พุ่งไปที่นิสิตที่เสนองานเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้แวดวงวิชาการที่สนใจเรื่องอาเซียน เรื่องอุษาคเนย์ เข้าใจมิติเชิงโครงสร้าง มิติของความเป็นภูมิภาค และแสดงจุดยืนปกป้องสิทธิของผู้คนในอาเซียน เพื่อสร้่างอาเซียนยุคต่อไปให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ให้คนได้อยู่อย่างเสมอหน้ากันในภูมิภาค
 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
อย่างที่บอกคือ ผมไม่ใช่คนเชี่ยวชาญเกาหลี จะเล่าเรื่องเกาหลีก็จะต้องมีผิดมีพลาดบ้าง เพียงแต่อยากบันทึกเก็บไว้ แล้วแบ่งปันบ้าง เผื่อใครสนใจหรือช่วยเติมต่อความรู้ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสนใจในการไปเกาหลีทั้งสองครั้ง (ครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน ก็ไปแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน) ก็คือการได้พบเจอผู้คนและได้ไปเดินด่อมๆ มองๆ ตามย่านการค้า ร้านค้า และพบปะพูดคุยดื่มกินกับผู้คน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ได้อยู่นฐานะที่จะมาเขียนอะไรเกี่ยวกับเกาหลี เดินทางไปแค่สองครั้ง ครั้งละไม่กี่วัน ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร แต่ด้วยนิสัยของการชอบบันทึกเก็บไว้ ก็เลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับเกาหลีที่รู้จักเอาไว้อ่านเอง เอาไว้คิดต่อ เอาไว้ก่อนที่จะลืม ก่อนที่จะไม่อยากเขียน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอร่วมรำลึกวาระ 40 ปี 6 ตุลาด้วยการกล่าวถึงงานศึกษาสังคม-วัฒนธรรมไทยที่เป็นพื้นฐานของเหตุการณ์เมื่อ 40 ปีก่อนนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จำเป็นแค่ไหนที่เราจะต้องคิดต่างจากส่วนกลาง ถ้าเราคิดว่าการครอบงำของความรู้ตะวันตกเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าใจตัวตนเราเอง และทั้งยังปิดกั้นความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกเข้าใจจากมุมมองที่ต่างออกไป เราก็จำเป็นที่จะต้องคิดทั้งนอกกรอบตะวันตกและนอกกรอบการครอบงำจากอำนาจศูนย์กลางของรัฐ ความคิดนอกกรอบการครอบงำดังกล่าวส่วนหนึ่งเรียกว่าแนวคิดหลังอาณานิคม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หลายวันมานี้มีเรื่องขันขื่นหลายเรื่องที่สังคมไทยก้าวไม่พ้นเสียที แต่ผมว่าเรื่องพื้นฐานของปัญหาเหล่านี้คือเรื่องการไม่ยอมรับผิด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไปโกเบเมื่อสี่วันก่อน (7 มิถุนายน 59) นอกจากได้รู้จักความเป็นเมืองฝรั่งๆ ของโกเบแล้ว สาระสำคัญของการไปโกเบวันก่อนอย่างหนึ่งคือการไปพิพิธภัณฑ์เครื่องมือช่างไม้แห่งนี้ พิพิธภัณฑ์นี้เป็นของบริษัท Takenaka ที่บอกเล่าว่าตั้งมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 ส่วนพิพิธภัณฑ์นี้เปิดปี 1984 แล้วเข้าใจว่าน่าจะค่อยๆ พัฒนาคอลเล็กชั่นและการจัดแสดงขึ้นมาเรื่อยๆ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ความสุขอย่างหนึ่งของการมาอยู่ที่ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษามหาวิทยาลัยเกียวโตก็คือ การได้รู้จักผู้คนและแลกเปลี่ยนความรู้ในหลายภาษา อีกอย่างคือได้แลกเปลี่ยนความรู้ในหลายบริบท ทั้งในห้องสัมมนา ห้องทำงาน ห้องเรียน และร้านเหล้า ผมถือว่ามันเป็นบริบททางวิชาการทั้งนั้นแหละ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
รู้กันนะครับว่า เวลาที่เราเรียกว่า "หล่อๆ" นี่ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็หล่อได้ เพราะมันหล่อในสำนวน ในการแสดงออก ในท่าที ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่ต้องหล่อก็ได้ แต่หล่อที่คำพูด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่งสอนผมว่า “คำวิจารณ์น่ะ น่าฟังมากกว่าคำชื่นชม เนื่องจากคนที่วิจารณ์เราน่ะ เขาจริงใจกับเรามากกว่าคนที่ชื่นชมเรา ไม่มีใครวิจารณ์เราตามมารยาท แต่คนชมน่ะ บางทีเขาก็ชมเราไปตามมารยาทเท่านั้นแหละ” ดังนั้นเมื่อโลกเขารุมวิจารณ์ไทย เราก็ควรรับฟังเขา เพราะถ้าเขาไม่มีความจริงใจ ไม่อยากเห็นเราปรับปรุงตัวจริงๆ ไม่รัก ไม่ห่วง ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย เขาก็คงไม่ติติงเรา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนแบบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ได้มีแต่พลเอกประยุทธ์เพียงคนเดียว แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีเบื้องลึกของจิตใจแบบพลเอกประยุทธ์ แต่หากจะพูดให้ถูก คนที่มีจิตใจเบื้องลึกที่กักขฬะ อาจจะไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างกักขฬะแบบพลเอกประยุทธ์ แต่ทำไมขณะนี้สังคมไทยจึงยอมให้ความกักขฬะเข้ามาปกครองบ้านเมือง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าพูดอย่างหลวม ๆ คือ พวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวกัน สองชื่อแรกใช้ในประเทศไทย เรียกกลุ่มคนที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ที่จริงพวกเขายังอยู่ในอำเภอเมือง อำเภอหนองหญ้งปล้อง และอำเภออื่น ๆ ของเพชรบุรี แล้วยังกระจายย้ายถิ่นไปในจังหวัดอื่น ๆ ตั้งแต่นครปฐม ชุมพร ไปจนถึงนครสวรรค์ เลย ฯลฯ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงนี้ผมกลับมาไทย 7 วัน ไม่รวมวันเดินทางอีกสองวัน ที่มาเพราะได้รับเชิญมาเสนอความเห็นในการ workshop งานหนึ่ง ผมก็เลยถือโอกาสนี้ใช้ทุนที่ต้องใช้สำหรับทำวิจัย เก็บข้อมูลของมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งก็มีอยู่ไม่มากนัก มาเพื่อใช้เดินทางไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมด้วยเลย